ลู่หมิน ซีรีส์ The Writer 3 / SINK 3.2 (จมรัก)








































มินซอกคลายอ้อมกอดแล้วหอมที่แก้มอุ่นๆของแม่ฟอดใหญ่

"ลูกขึ้นห้องแล้วนะ แม่อย่านอนดึกนะครับ"

"จ่ะ เดี๋ยวจบรายการนี้แม่ก็นอนแล้ว เออจริงสิ แม่ว่าจะถามก็ลืม คนที่ลูกรับมาช่วยงานที่ร้านเป็นไงบ้างลูก"

มินซอกชะงักฝีเท้า หันกลับมานั่งตรงที่เท้าแขนโซฟาที่ตัวเองเพิ่งลุกไป

"ทำงานดีครับช่วยได้เยอะมากๆ แม่ไม่ต้องห่วง"

"งั้นก็ดีแล้ว แต่เห็นลูกบอกตอนแรกว่าเขาทำแค่สองเดือนใช่มั๊ย พอเขาออกก็ให้แม่กลับไปที่ร้านซะทีเถอะนะ ลูกค้าคิดถึงเค้กของแม่แย่แล้ววมั้งป่านนี้"

"เอาไว้เขาออกจริงๆค่อยว่ากันครับ เค้กก็ให้ยุนกิทำไปก่อนได้ ถ้าแม่ดื้อลูกจะฮุบร้านไว้คนเดียว"
มินซอกทำหน้าทะเล้น ก่อนจะบีบมือบางขึ้นกระดูกเบาๆแล้วผละขึ้นห้องนอน

หญิงวัยกลางคนที่ใบหน้าซูบเซียวเพราะเพิ่งจบการรักษาอย่างยาวนานจากโรคร้าย มองตามลูกชายจนลับตา อดที่จะแอบถอนใจไม่ได้ที่ตัวเองต้องปล่อยให้ลูกชายเหนื่อยอยู่คนเดียวมานาน







ร่างเล็กทิ้งตัวลงกับที่นอน คว้าถุงหนังสือที่หัวเตียงมาเปิดดู

ดวงตาโตปลายรีไม่มีชั้นไล่สายตาไปเรื่อยๆ ไปสะดุดกับคำขอบคุณของผู้แต่งที่ดูเหมือนเป็นการขอบคุณคนรัก



"ขอบคุณครับดวงใจของผม"


.....ดวงใจของผม...มินซอกเผลอเบ้ปากให้กับวลีที่เขารู้สึกว่าน้ำเน่าเหลือเกิน พลางคิดไปว่าเรื่องที่ลู่หานแต่งก็คงน้ำเน่าไม่ต่างจากนี้







เสียงปลุกจากโทรศัพท์ที่ตั้งไว้เตือนว่าถึงเวลาต้องไปที่ร้านแล้ว มินซอกปิดหนังสือนิยายเล่นหนาที่อ่านไปได้เกินครึ่งค่อนเล่ม เอาวางที่หัวเตียงแล้วใช้นิ้วปาดน้ำใสๆที่เอ่อตรงปลายตาลวกๆ ไม่อยากจะยอมรับว่าเรื่องน้ำเน่าจะทำให้ตัวเองรู้สึกหน่วงข้างในได้ขนาดนี้





.................................



...............




เจ้าของร้านร่างเล็กมองด้านหลังคนที่กำลังผสมแป้งอยู่ด้วยความรู้สึกที่แปลกไปกว่าเดิม ตัวหนังสือในเรื่องแต่งทำให้เขาเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ลึกเข้าไปในตัวของผู้ชายตรงหน้านี้ทั้งความอ่อนโยน ความละเอียดลึกซึ้งในการมองโลกในแบบที่เขานึกไม่ถึง เขารู้สึกว่าลู่หานเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเยอะมาก

มินซอกเผลอมองไม่วางตาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนชายหนุ่มวางกล่องน้ำตาลแล้วหันมายิ้มให้ ประกายตาวาวสดใส สันจมูกเด่นคมเพราะแสงเงาของไฟเพดานทำมุมพอดิบพอดี รอยยิ้มที่เกิดจากการเหยียดปากออกนิดๆ และผมดัดอ่อนๆที่เสยไว้ลวกๆ




.....มัน


เป๊ะ


มาก...


นี่มันพระเอกในนิยานที่อ่านค้างไว้เลย....มินซอกขาอ่อนขึ้นมาซะเฉยๆ ทำเป็นยกมือทักทายก่อนจะเอามายันชั้นวางของเพื่อประคองตัวให้ยืนถนัดๆ พอคิดว่าจะเดินไปดูตู้พักแป้ง ลู่หานก็หันมาอีกรอบ

"กาแฟมั๊ยครับ....ไส้ขนมชุดแรกผมทำเตรียมไว้แล้ว แป้งโดว์ก็ต้องพักอีกครึ่งชั่วโมง ยังพอจะมีเวลา"

มินซอกกระพริบถี่ๆเหมือนมีอะไรเข้าตา ทำเป็นพยักหน้ารับแบบเสียไม่ได้แต่เกร็งจนคอขึ้นเส้นเอ็น

เขารีบหมุนตัวเดินออกไปนั่งรอบนเค้าน์เตอร์ใกล้ซิ้งค์ที่ประจำ ทำเป็นจัดของข้างๆตัวไปด้วย

จนกลิ่นกาแฟลอยใกล้เข้ามา

"ขอบคุณนะ" มือเล็กอูมรับแก้วกาแฟลายโพโรโระมาแล้วจิบทันที


คนที่ส่งแก้วให้ดันตัวขึ้นนั่งที่เค้าเตอร์ข้างซิ้งค์อีกด้าน



มีแต่ความเงียบและกลิ่นหอมของกาแฟ





"ผม.."

"ผม..."


"คุณพูดก่อนเถอะครับ"

ลู่หานเกี่ยงพลางทำท่ารอฟัง มินซอกเลยไม่มีทางเลือก

"ผมแค่จะบอกว่า ผมลองอ่านนิยายของคุณไปนิดนึง"

"เป็นไงบ้างครับ"

"อืม..ก็ดี...ดีนะ" เรื่องอะไรจะบอกว่ากลั้นร้องไห้แทบตาย โตมานี่เคยร้องไห้ที่ไหน เสียฟอร์มแย่

"ขอบคุณครับ"

ดวงตาเป็นประกายที่ส่งมาพร้อมรอยยิ้มที่แสดงความปลาบปลื้มใจอย่างเปิดเผย ทำเอามินซอกต้องแกล้งเสมองไปทางอื่น ที่กะว่าจะถามเรื่องคำขอบคุณหวานเลี่ยนที่คาใจก็เลยไม่กล้าขึ้นมา

"..แล้ว...คุณจะพูดอะไรเมื่อกี้" มินซอกรีบยิงคำถามเพราะไม่อยากให้มีเดธแอร์ให้รู้สึกอึดอัด แต่สายตายังมองไกลออกไปนอกร้าน

"คือผมรู้สึกว่า ร้านมีบางกลิ่นหายไปน่ะครับ"

"กลิ่น?" หัวกลมๆหันขวับกลับมาหาคู่สนทนา

"ใช่ครับ บางกลิ่นที่ไม่ใช่กลิ่นยีสต์จากขนมปัง"

"......คงเป็นกลิ่นขนมหวาน ขนมเค้กพวกนั้นมั้ง"

"อ่า...ใช่ครับ"

"คือ...จริงๆที่ร้านมีเบเกอรี่หลายอย่าง แม่ผมเป็นคนทำมียุนกิเป็นผู้ช่วย แต่ยุนกิก็ติดสอบแล้วก็มีธุระที่บ้านต่างจังหวัดด้วยเลยต้องพักการขายพวกนี้ไปก่อน แล้วแม่ผม...ยังไม่ค่อยแข็งแรง แต่นี่ยุนกิสอบเสร็จแล้วอีกวันสองวันผมจะให้เขาเริ่มทำขายเหมือนเดิม"

สีหน้าและน้ำเสียงที่ดูอ่อนลงไปทำให้ลู่หานเผลอจ้องใบหน้าด้านข้างของเจ้านายตัวเล็กของเขา ภาพที่เจ้าตัวนอนเพ้องอแงเพราะความเมาแต่น่ารักจนเขาอดใจไม่ได้ แอบละเมิดสิทธิส่วนบุคคลไปซ้อนทับเข้ามากระทันหัน...เหมือนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังขึ้นมา เขายกกาแฟขึ้นจิบช้าๆหวังให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายขึ้น



"ผมขอถามเรื่องคุณแม่คุณได้มั๊ยครับ"

"อืม...แม่เป็นมะเร็งลำไส้น่ะ ยังดีที่เป็นแค่ระยะที่สอง รักษาไปตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็พักฟื้นอยู่ที่บ้าน"

"ผมพูดเผื่อไว้นะครับ ถ้ามีปัญหาอะไรคุณบอกผมได้เลย พ่อผมมีเพื่อนเป็นหมอที่โรงพยาบาลเกี่ยวกับมะเร็งโดยเฉพาะ ผมพอจะแนะนำให้ได้"

"ขอบคุณมากนะ"



ดวงตาที่บังเอิญหันมาสบกันระหว่างความรู้สึกซาบซึ้งใจของคนหนึ่ง กับความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยของอีกคนหนึ่ง 





.....ในที่สุดก็มีเดธแอร์


แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างที่ควรจะเป็น เป็นความรู้สึกที่อธิบายลำบาก เหมือนเวลาง่วงมากๆแต่อากาศเย็นเกินไปจนเริ่มหนาว แล้วมีคนช่วยห่มผ้าให้พอดีอุ่น นอนต่อได้หลับสบายทั้งคืน



บางสิ่งที่เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่ายๆบ่อยๆ

และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราก็รู้สึกเป็นคนพิเศษขึ้นมา





........................................


....................




วันนี้ลูกค้าไม่เยอะเท่าไหร่ มินซอกเลยมีเวลานั่งอ้อยอิ่งกินข้าวเย็นกับน้องสาวที่แทบไม่ได้เจอกันเลยเกือบสามเดือนที่ผ่านมา


"แม่เป็นไงบ้างพี่"

"นึกว่าจะไม่ถาม" พี่ชายกระแทกเสียงนิดๆ

"โธ่พี่อะ แม่ทั้งคนนะ"

"ก็นั่นสิ แม่ทั้งคนป่วยแต่ไม่เคยเห็นไปดูแลบ้าง"

"พี่อย่าแบบนี้ดิ พี่ก็รู้ว่าแม่เป็นไง ขืนเห็นหน้าลูกสาวได้ทรุดลงไปอีก" ซอลมีส่ายหัวเอือมระอา เธอไม่ได้พูดอะไรแก้ตัวมากกว่านั้น แม้ว่าจริงๆตลอดเวลาที่แม่อยู่โรงพยาบาลเธอแอบไปเยี่ยมทุกอาทิตย์แต่ได้แค่แอบมองๆอยู่หน้าห้อง

"ก็เมื่อไหร่จะเลิกทำเรื่องที่แม่ไม่ชอบล่ะ"

"ก็นี่ไงจะเลิกแล้ว ติดอยู่นิดเดียว"

"หยุดเลย ที่ชวนมากินข้าวนี่มีเรื่องมาให้ช่วยใช่มั๊ย"

"พี่ไม่คิดว่าฉันก็รักลูกอยากมีพ่อดีๆให้มินจุน อยากมีครอบครับอบอุ่นเหมือนคนอื่นเขาเหรอ"

"ก็ทำตัวให้มันดีสิ วิ่งไล่จับผู้ชายไปวันๆจะเจอคนดีๆรึไง" มินซอกกระแทกหลังลงกับพนักพิง หน้างำ้

"พี่ฟังฉันก่อน ตอนนี้ฉันได้งานใหม่แล้วบริษัทมั่นคงกว่าเดิมมากเงินเดือนสวัสดิการณ์ก็ดีทุกอย่าง  มินจุนโตขึ้ทุกวันทำไมฉันจะไม่เห็นแก่อนาคตลูก ฉันเป็นแม่นะ" ซอลมีเริ่มเสียงเครือ

ความจริงจังทั้งสีหน้าและน้ำเสียง ทำให้มินซอกรู้สึกว่าน้องสาวฝาแฝดที่หน้าตาคล้ายคลึงไม่ถึงกับเหมือน แต่นิสัยต่างกันอย่างสิ้นเชิงคนนี้น่าจะเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว


"แล้วมีอะไร...ว่ามา" ถึงจะใจอ่อนแล้วแต่ยังเก็กท่าทำเสียงเข้มต่อไป

"คือ...ฉันเจอผู้ชายคนนึงจากบริษัทจัดหาคู่"

พอเห็นพี่ชายจะชักสีหน้าอีกรอบ ซอลมีจึงรีบยกไม้ยกมือให้ฟังตัวเองก่อน

"คนนี้ดีจริงๆนะ เขาแค่ขี้อายไปหน่อยเลยยังโสด เรานัดเจอกันหลายครั้งแล้วหน้าที่การงานดี พื้นฐานครอบครัวก็ดีด้วย ฉันกับเพื่อนช่วยกันสืบมาจนแน่ใจแล้ว"

"แล้วไง"

"คือ...พ่อกับแม่เขาจะแวะมาหาจันทร์นี้ เขาอยากให้ฉันไปเจอ ฉันลางานได้แล้วแต่มันติดที่มินจุนน่ะ"

"ก็เอามินจุนไปด้วยสิ พ่อแม่ทางนั้นเขาเห็นหลานต้องหลงรักแน่ๆ"

"ตอนแรกฉันก็ตั้งใจแบบนั้น แต่มินจุนไม่ยอมหยุดเรียน พอดีมันเป็นวันกิจกรรมประจำปีน่ะพี่ ผู้ปกครองต้องไปร่วมงานทำกิจกรรมร่วมกับเด็กด้วย"

"แค่นี้ฉันไปแทนได้ วันจันทร์ร้านปิดอยู่แล้ว" มินซอกยักไหล่

"พี่รับปากแล้วนะ"

"เออ"

"ห้ามผิดสัญญานะ เป็นหมานะ"

"แมวได้ม่ะ...จะอะไรนักหนาล่ะ แค่ไปเป็นผู้ปกครองให้หลานน่ะ"











................................







มินซอกถึงหน้ายู่คิ้วติดกัน เขาเอามือยีหัวตัวเองจนสภาพเหมือนแว๊นซ์มอเตอร์ไซค์ฝ่าพายุเฮอริเคนมา เมื่อรู้เรื่องราวแบบเคลียร์ชัดในคืนวันอาทิตย์ที่ตัวเองเแวะมาหาหลาน ก่อนจะต้องเป็นผู้ปกครองพาไปงานโรงเรียนในเช้าวันจันทร์

"ทำไมแกทำกับฉันแบบนี้"

"พี่คิดว่าฉันอยากทำเหรอ แต่มินจุนไม่ยอมจริงๆ ฉันพูดกับลูกจนปากจะฉีกถึงหูแล้ว"

คุณลุงแก้มยุ้ยหันไปหาหลานชายตัวกลมวัยห้าขวบที่กอดกระดาษแข็งสามแผ่นที่ตัวเองวาดไว้เพื่อไปเล่านิทานในวันงานไว้แนบอก แต่ตากลมๆจ้องที่คุณลุงแบบคาดคั้น

"จุนนี่ครับ ถึงคุณลุงกับแม่หนูจะดูคล้ายกัน แต่ลุงเป็นผู้ชายนะ จะแต่งตัวแบบแม่หนูไม่ได้ เป็นผู้ชายก็ต้องใส่เสื้อผ้าแบบนี้นะครับ" มินซอกชี้ที่เสื้อกับกางเกงของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืนหมุนตัวให้เห็นชัดๆ

"แต่งแบบนี้เหมือนพ่อ จุนนี่ไม่เอา จุนนี่รักแม่ ....ฮรึก"

ปากบางๆประกบแน่นกลั้นเสียงร้องไห้ แต่น้ำตาหยดอาบแก้มแล้ว คุณลุงร่างเล็กถึงกับทรุด รีบเข้าไปกอดหลานปลอบไม่ให้ร้อง แต่เขาเองต่างหากที่อยากจะแหกปากร้องไห้ให้ลั่นหมู่บ้าน







"ฉันยังเก็บชุดทำงานตอนท้องอ่อนๆไว้ เอวประมาณยี่สิบแปดพี่น่าจะใส่ได้ วิกผมอันที่พี่ใส่งานแฟนซีสมัยมัธยมก็ยังอยู่"

มินซอกพยักหน้าช้าๆเหมือนคนหิวขาวหมดแรง มองชุดทำงานที่วางเรียงอยู่บนที่นอนตาละห้อย น้องสาวได้แต่ตบบ่าเบาๆแล้วเดินออกจากห้องไปให้พี่ชายได้ลองชุดสะดวกๆ














....................................................



......................








เดรสสีขาวผ้าพริ้วลายดอกบ๊วยช่อเล็กๆสีชมพูอ่อน มีสายผูกเป็นโบว์หลวมๆที่ด้านหลังกับถุงน่องสีขาว ผมยาวที่รวบไว้ครึ่งเดียวผูกไว้ด้วยโบว์ลูกไม้สีเดียวกับดอกบ๊วย และเมคอัพระดับโปรฝีมือซอลมีทำให้มินซอกกลายร่างเป็นสาวออฟฟิศสวยหวานเก๋ไก๋ แต่รองเท้าส้นเตี้ยหัวแหลมสีม่วงเปลือกมังคุดที่น้องสาวยืมเพื่อนมาให้แม้ความยาวเท้าจะเท่ากัน แต่ปลายเท้าก็บีบเกินไปสำหรับเท้าผู้ชาย มันบีบจนเขาเริ่มปวดตุบๆแถวๆนิ้วเท้าแล้ว

มินซอกพยายามยืดตัวเดินให้ปกติแล้วจูงหลานขึ้นเวทีเมื่อสิ้นเสียงประกาศคิวการแสดง

พอนั่งประจำทีเรียบร้อยได้มองสบตากับบรรดาผู้ปกครองและเด็กนักเรียนระดับชั้นอนุบาลเป็นร้อย ก็ชักไม่ค่อยมั่นใจ แผงขนตาที่น้องสาวประโคมติดมาให้เป็นแพใหญ่ก็เหมือนจะหนักจนกระพริบตาไม่ได้ เขาพยายามหายใจลึกๆ ค่อยๆคลี่ยิ้ม เอียงหน้า ใช้ปลายนิ้วทัดผมหลังใบหูแบบคุณแม่ใจดีที่เคยเห็นในละคร

พอเริ่มตั้งสติได้ก็หันไปพยักหน้าให้หลานเป็นสัญญาณเริ่มการเล่านิทานที่ซักซ้อมกันมาค่อนคืน มินจุนส่งยิ้มกลับมาไม่มีความกังวลในแววตาแม้แต่นิดเดียว ทำให้มินซอกพลอยมีกำลังใจคลายความกังวลลงไปได้


นิทานเรื่อง "มินจุนกับคุณแม่ไปสวนสัตว์" เริ่มขึ้นอย่าสดใสคึกคัก


มินซอกต้องให้เสียงคุณแม่และสัตว์ตัวโตๆ ส่วนมินจุนพากย์เป็นตัวเองกับสัตว์ตัวเล็กๆ คุณหลานกับคุณลุงเข้าขากันเป็นอย่างดี มินซอกแอบหยอดมุกตลกแบบเด็กๆจาการ์ตูนที่เขาชอบดูให้เข้ากับเนื้อเรื่อง เด็กบางคนถึงกับยืนขำปรบไม้ปรบมือชอบใจ ผู้ปกครองและคุณครูพลอยอมยิ้มไปด้วย สายตาของผู้ใหญ่บางคนที่แอบมองเขาแปลกๆในตอนแรกไม่มีให้เห็นอีกแล้ว



นิทานจบเรื่องอย่างสวยงามได้รับเสียงปรบมือหนาแน่น คู่หูต่างวัยลุกขึ้นยืนโค้งขอบคุณผู้ชมพร้อมกัน ยิ้มโชว์เหงือกตาหยีเป็นวงพระจันทร์ทั้งคู่




มินซอกไม่รู้ว่ามีการประกวดด้วย แม้ว่ามินจุนจะไม่ชนะแต่ก็ได้รางวัลขวัญใจผู้ชม ได้เหรียญโลหะสีแดงรูปหัวใจเล็กๆขอบสีทองติดให้ที่หน้าอก เด็กน้อยดูจะชอบใจมากเดินยืดอกตลอดเวลาจนจบงาน




ก่อนพาไปส่งบ้านมินซอกพาหลานแวะสนามเด็กเล่นตามคำขอ ร่างกลมป้อมวิ่งดุ๊กๆไปที่ชิงช้าสีมิ้นซีดๆ มินซอกเห็นว่ามีแก้วกาแฟวางอยู่กำลังจะบอกให้หลานมานั่งที่ชิงช้าอันอื่น แต่ก็ไม่ทันมืออูมๆหยิบเอาแก้วกาแฟไปทิ้งถังขยะแล้วกลับมานั่งสบายใจ


"ชอบชิงช้าอันนี้เหรอครับ"

หัวหลมๆผงกแรงจนแก้มสั่น เด็กน้อยทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เอียงคอถามเสียงใส

"ขวัญใจ หมายถึงอะไรคับคุงลุงมิงซ๊ก"

"หมายถึง...คนที่น่ารักสมควรที่จะถูกรัก เวลาเรารักใครเขาก็เป็นขวัญใจของเรา อย่างเหรียญที่จุนนี่ได้มาก็เพราะคนที่ฟังนิทานรักจุนนี่ จุนนี่เลยเป็นขวัญใจไงครับ" มินซอกยิ้มเอานิ้วลูบที่โลหะรูปหัวใจที่อกหลานชายแล้วเดินไปหาที่ร่มๆยืนคอย

เด็กๆและผู้ปกครองเยอะพอสมควร บางคนก็มองยิ้มๆ มินซอกได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆตอบไป ทนเขินทนเจ็บเท้าอยู่พักใหญ่จนได้รับข้อความจากน้องสาว ก็ถึงเวลาพาหลานกลับบ้านเสียที



บ้านของน้องสาวห่างสนามเด็กเล่นแค่ร้อยกว่าเมตร แต่มินซอกระบมเท้าไปหมดแล้ว ทนเขินมาได้ทั้งวันคนจะมองเพราะเดินเท้าเปล่าเขาก็ไม่สนแล้วตอนนี้

"จุนนี่ เดี๋ยวลุงขอถอดรองเท้าก่อนครับ"

มินซอกก้มไปพูดกับหลานก่อนจะปล่อยมือที่จูงอยู่ ยกเท้าขึ้นมายืนกระต่ายขาเดียว รองเท้ามันคับจนเขาต้องออกแรงดึงมากกว่าปกติ เท้าข้างเดียวที่รับน้ำหนักอยู่ก็ระบมจนยืนไม่ถนัดนัก เซไปหน้าทีหลังทีจนเสียสมดุลย์ข้อเท้าพลิก......

ใจหล่นวูบ สองมือคว้าได้แต่อากาศ คิดว่าเจ็บตัวแน่ๆแล้ว เขาหลับตาปี๋ยอมรับชะตากรรม


สัมผัสที่นุ่มนวลเกินกว่าจะเป็นพื้นถนน และความอุ่นพอดีที่มาจากร่างกายคนไม่ใช่แดดจ้า ดวงตาที่หลับปี๋จนหนังตายับย่นจึงค่อยคลายออก


อ้อมแขนที่ประคองหลังอยู่ออกแรงดันให้คนที่เกือบลงไปนอนกับพื้นขึ้นมายืนในท่าปกติ มินซอกสะดุ้งยกเท้าเปล่าของตัวเองก่อนค่อยๆแตะลงกับพื้นแบบลงน้ำหนักแค่ครึ่งเดียว

" เจ็บมากมั๊ยครับ"

มินซอกเชิดหน้า ส่ายหัว ไม่สบตา ไม่ได้หยิ่งแค่อยากวิ่งหนีถ้าไม่ติดว่ามีมินจุน น้ำตาจะไหลถึงแม้ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นแค่ไม่เข้าใจว่าโลกจะแคบอะไรนักหนา



ลู่หานเดินไปหยิบรองเท้าที่กระเด็นไปไกลมาถือไว้ ยิ้มให้เด็กตัวกลมที่ยืนแอบอยู่หลังคุณลุงตัวเล็กก่อนจะพูดต่อ

"คุณจับบ่าผมไว้นะ ผมจะถอดอีกข้างให้"

มินซอกพยายยามจะยกมือห้ามแต่ก็ไม่ทันแล้ว ชายหนุ่มย่อตัวลงเตรียมพร้อม  เขาจึงต้องจำยอมรวบชายกระโปรงไว้มือนึง อีกมือก็จับบ่าตามที่บอก สัมผัสอุ่นๆที่ข้อเท้าวิ่งปรู๊ดเข้าหัวใจกระตุ้นการสูบฉีดของเลือดแต่กลับรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก

ลู่หานส่งรองเท้าให้มินซอกถือแล้วย่อตัวนั่งยองๆหันหลังให้ ชายหนุ่มแก้มแดงกรอบหน้าชุ่มเหงื่อหันซ้ายหันขวาหน้าเลิ่กลั่ก

"ขึ้นมาเถอะครับคุณมินซอก ถุงน่องคุณขาดแล้วเดี๋ยวแผลถลอกจะติดเชื้อนะครับ"

ไม่ได้ตั้งใจพูดให้น่ากลัวเข้าไว้หรอกแต่ลู่หานเป็นห่วงมินซอกจริงๆ แต่คำว่า "มินซอก" ก็ทำให้มินซอกตกใจจนเกือบช็อคไปแล้ว


"ผมเห็นคุณตั้งแต่ในสนามเด็กเล่นแล้ว......" ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน จ้องหน้ารอให้อีกคนหันมาสบตาเสียที มินซอกอึดอัดกับการเหมือนถูกไล่ต้อนนิดๆเขาจึงต้องยอมมองสบตาอีกฝ่าย ลู่หานจึงพูดต่อ "ผมก็ตกใจไม่ต่างจากคุณหรอก แต่ตอนนี้คุณต้องทำตามที่ผมบอกก่อนนะครับ อากาศมันร้อนคุณไม่ควรยืนเท้าเปล่านานๆ อีกอย่างสงสารน้องด้วย" ชายหนุ่มพยักหน้าไปทางมินจุน

ลู่หานกลับลงไปนั่งยองๆอีกรอบ มินซอกถอนใจเบาๆหันไปพูดกับหลานก่อนจะขึ้นหลังลู่หานแล้วมินจุนก็เกาะข้อเท้าคุณลุงตามที่รับคำแล้วเดินตาม






เดินเงียบๆกันมาพักใหญ่ ลู่หานก็หยุดฝีเท้าเอี้ยวตัวมาหาเด็กตัวกลม

"เหนื่อยมั๊ยครับ"

หัวกลมๆส่ายเบาๆเป็นคำตอบ ลู่หานเลยหันมาคุยกับคนที่อยู่บนหลัง


"ผมขอโทษนะ"


มินซอกเงียบ มองสถานการณ์ไม่ออก ไม่แน่ใจกับคำขอโทษของลู่หาน




"ตอนยืนแอบมองคุณที่สนามเด็กเล่น พอจำได้ว่าเป็นคุณมินซอกผมอยากจะเดินหลบออกมาเพราะกลัวคุณเห็นผมแล้วจะเขิน แต่ภาพฝังใจตอนสมัยเรียนก็แว๊บเข้ามา วันที่ผมสร้างวีรกรรมแย่ๆทิ้งไว้ก่อนไปเรียนต่อ.......ถึงเรื่องมันจะนานมาแล้วแต่ผมไม่เคยลืม ยังรู้สึกผิดมาตลอด ไม่รู้คุณจะจำได้มั๊ย...ผมขอโทษคุณจริงๆนะครับ"

ได้ฟังความรู้สึกของลู่หานแบบนี้ มินซอกก็พูดอะไรไม่ออก คำพูดที่แสนอ่อนโยนจากผู้ชายด้วยกัน ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ กับกลุ่มเพื่อนที่เคยมีจนตอนนี้เหลือเพื่อนซี้อยู่สองคนพูดคำด่าคำจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

"ผมจำได้....ผมก็มีเรื่องจะขอโทษ" มินซอกกระแอมแก้เขินก่อนจะพูดต่อ"ขอโทษที่เตะคุณแรงไปหน่อยจน....สลบ.....แต่...แต่ผมก็เตะคนบ้าช่วยคุณที่ร้านหนังสือนะ คุณจำไม่ได้เองแล้วผมก็ยังรับคุณทำงานที่ร้านอีก" เสียงเล็กๆเหมือนจะงอแงขึ้นมา ลู่หานถึงกับต้องกลั้นขำ

"ผมจำได้ ที่ผมมาที่ร้านตอนแรกกะจะมาขอบคุณที่ช่วยผมไว้นั่นแหละ"

"อ้าวววววว แล้วทำไมไม่พูดอะไรเลย ผมนึกว่าคุณจำไม่ได้เลย...เลยเฉยๆอะ เดี๋ยวจะหาว่าทวงบุญคุณ" มินซอกเสียงแหวขึ้นมา ลู่หานถึงกับต้องเอียงหน้าหนีบ่นงึมงัม "แก้วหูทะลุแล้ว"

มินซอกเลยแกล้งหนีบเข่ารัดเอวลู่หาน อีกคนไม่ทันได้ตั้งตัวร้องเสียงลั่นแต่หน้ายิ้มแฉ่ง

"โอ้ยยย งงไปหมดแล้วเนี่ย ใครจำได้จำไม่ได้ตอนไหนยังไง แล้วสุดท้ายมาสมัครงานเฉย คุณนี่มัน......."


"ลูกคุณน่ารักมากนะ" จู่ๆลู่หานก็เปลี่ยนเรื่อง

"ลูกอะไร หลานต่างหาก ก็น่ารักเหมือนลุงนั่นแหละ" มินซอกถอนหายใจพูดตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ

แต่ลู่หานกลั้นขำไม่อยู่แล้ว เขาหัวเราะเสียงลั่นจนคนอยู่บนหลังต้องรีบเอามือปิดปาก

"ขำอะไรนักหนาล่ะ..คนมองนะ ผม...ผมอาย"

มินซอกรอจนอีกคนเลิกขำถึงยอมเอามือออก

"โอเค...โอเคๆ ผมขอโทษ ก็น่ารักจริงๆนั่นแหละ แต่งตัวแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ หน้าอกนิ่มดีด้วย"

"เดี๋ยวก็ถอดมาอุดปากซะเลย"

จริงๆลู่หานแกล้งแหย่เพราะอยากฟังเสียงน่ารักๆข้างๆหูนานขึ้นอีกหน่อย แล้วก็ได้ผล มินซอกบ่นอะไรอีกยาวเหยียดทั้งเรื่องที่ต้องแต่หญิงเป็นผู้ปกครองให้หลาน เรื่องน้องสาวฝาแฝดที่ตัวเองแพ้พนันกินรามยอนรสเผ็ดเลยต้องใส่กางเกงในแมวยิ้มในตำนาน ลากยาวไปถึงเรื่องโพโรโระ

จากที่พยายามเกร็งตัวไม่ทิ้งน้ำหนักให้เป็นภาระกับคนแบกมากไป ตอนนี้มินซอกเผลอปล่อยตัวตามสบาย ยกไม้ยกมือทำท่าประกอบไปด้วย

ชายหนุ่มไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย ความสุขจากการได้ฟังใครนหนึ่งพูดเรื่องหยุมหยิมด้วยน้ำเสียงจริงจังเหมือนเด็กเล็กๆ เขาอยากเห็นหน้าคนบนหลังเขาตอนนี้เหลือเกิน ปลายจมูกมนๆคงจะยู่แบบที่ชอบทำ ปากที่ชอบเผยออกจากกันก็คงจะเม้มแน่นและยื่นออกมาในจังหวะที่เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยชอบใจ



....จู่ๆน้ำตาก็เอ่อขึ้นมา คิดถึงเหลือเกิน ความสุขแบบนี้ ความสุขเล็กๆในชีวิตที่สำคัญต่อหัวใจ.......











......................................



น้องสาวฝาแฝดยืนมองหนุ่มนักเขียนรูปหล่อที่ตัวเองเคยไปยืนรอขอลายเซ็นครึ่งค่อนวันมาแล้ว ปฐมพยาบาลพี่ชายตัวเองด้วยใบหน้าอิ่มเอิบสีแดงเป็นลูกตำลึง

"เรียบร้อย ยังไงวันสองวันนี้อย่าเพิ่งโดนน้ำนะครับ แล้วก็พรุ่งนี้คุณพักเถอะผมกับยุนกิช่วยกันดูร้านได้ ไม่มีอะไรต้องห่วง" ลู่หานที่นั่งยองๆอยู่ช้อนหน้าขึ้นมองจนอีกฝ่ายยอมพยักหน้ารับ จึงหันมาหาหญิงสาวที่ทำตาบลิ้งๆรออยู่

"ผมคงต้องกลับก่อน ลาเลยนะครับ"

"ไม่อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนเหรอคะ"

"คงไม่รบกวนครับ พอดีผมมีธุระที่อื่นต่อ ขอบคุณมากๆเลยครับ"

"ต้องขอบคุณ คุณลู่หานต่างหากค่ะ เป็นเกียรติจริงๆที่ได้ใกล้ชิด ได้เห็นคุณทำแผลให้พี่ชายแบบนี้อันซีนเอ็กซ์คลูซีพที่สุดในชีวิตค่ะ"

มินซอกจ้องหน้าน้องสาวที่เจื้อยแจ้วตัวบิดเป็นเกลี้ยวตาเขม็ง แต่เหมือนโลกสีชมพูจะมีเกราะกำบังที่แน่หนาสายตาเขาเลยทะลุทะลวงไปไม่ได้  เจ้าตัวเลยต้องเสียมารยาทพูดตัดบทซะเอง

"กลับดีๆนะแล้วผมจะโทรไป"

ลู่หานหันมายิ้ม แต่ผู้หญิงที่หน้าคล้ายกันหันมาแยกเขี้ยวใส่ มินซอกเลยยิ้มตอบก่อนแล้วแยกเขี้ยวตอบอีกคนตามลำดับ ชายหนุ่มโค้งลาเจ้าของบ้านแล้วหันไปโบกมือยิ้มๆให้เด็กตัวกลมที่นั่งยิ้มรออยู่แล้วเดินออกไปโดยมีซอลมีเดินตามไปส่งแบบใกล้ชิด

พอลู่หานลับตามินซอกก็ถึงกับล้มตัวลงกับโซฟานอนแผ่หมดแรง ทั้งๆที่ขี่หลังคนอื่นมาแต่รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน

แต่ซอลมีไม่ยอมให้พี่ชายได้พักง่ายๆ เธอเดินมาเอาก้นเบียดให้พี่ชายขยับตัวให้ตวเองมีที่หนั่งถนัดๆแล้วตีเบาๆที่ต้นแขน

"พี่ไปเจอเขาได้ยังไง แล้วทำไมเขาแบกพี่มายังกะพระเอกซีรีส์แบบนั้น"

"เขาทำงานที่ร้านพี่" มินซอกตอบเสียงเอื่อยๆ ก่อนจะขยับตัวหันหน้าเข้าพนักโซฟาแต่น้องสาวก็ดึงแขนไว้อีก

"เดี๋ยวพี่ หมายความว่าไงอะ"

"โอ้ยยยยยย อะไรกันนักหนาเนี่ย ก็เขาทำงานที่ร้านมาทำแค่ชั่วคราว รอแม่หายดีก่อน"

"นี่คุณลู่หานนะ นักเขียนดาวรุ่งชื่อดังทั้งหล่อทั้งรวยนะพี่ "

"ก็แล้วไงอะ ก็เขาอยากทำ ฉันจะรู้เรื่องเขาได้ไงนิยายก็ไม่เคยอ่านแต่งตัวก็ปอนๆแถมมาขอทำงานหน้าละห้อย เขาบอกจะเอาไปเป็นข้อมูลเขียนนิยายอะไรไม่รู้ มันเรื่องของเขาม่ะ" มินซอกสะบัดแขนหนีมือน้อง นี่ถ้ายัยน้องสาวตัวยุ่งรู้ว่าเคยมีอดีตอะไรกันมาตั้งแต่มัธยมคงยุ่งกว่านี้อีกหลายเท่า



"แฟงคุงลุงล้อหล่อ"

เสียงเล็กๆที่ดังมาจากโซฟาเดี่ยวข้างๆทำเอาสองพี่น้องยุติสงครามย่อยๆแบบฉับพลัน หันมามองเป็นตาเดียวกัน

"แฟนอะไรครับ จุนนี่รู้เหรอแฟนคืออะไร"

"ลู้ จุนนี่ก็มีแฟง" คนเป็นหลานตอบยิ้มๆเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆของเด็กวัยห้าขวบไม่ต่างจากการดื่มนมทุกเช้า

มินซอกหันมามองหน้าน้องสาวแต่ก็ได้รอยยิ้มไม่ต่างจากหลานชาย เลยลุกขึ้นมาเข็กหน้าผากสั่งสอนไปเบาะๆ

"เออ เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก แก่แดดแก่ลมทั้งคู่ นี่ถ้าหลานฉันมีเมียก่อนเรียนจบ ฉันกะแม่เอาเธอตายแน่"

น้องสาวตัวดีเอาเอามือถูหน้าผากคลายเจ็บแต่เม้มปากแน่นแบบคนกลั้นยิ้มสุดๆ แล้วเฉไฉเดินไปหาลูกชายที่นั่งยิ้มแป้นแล้นอยู่

"มินจุนไม่กวนคุณลุงนะลูก ไปอาบน้ำกันนะ ลุงเขาเขิน...เอ้ยเหนื่อยแย่แล้ว" ซอลมีพูดกับลูกแต่สายตาจ้องที่พี่ชายแบบตั้งใจล้อเลียน

มินซอกชี้หน้าน้องสาวแบบคาดโทษแล้วล้มตัวลงนอนอีกรอบหมดแรงจะต่อกรอะไรอีก











.............................................



....................






ร่างเล็กในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อยืดพอดีตัวนอนเหยียดยาวอยู่กับพื้นหน้าทีวีที่ไม่ได้เปิด สายตาไล่ตามตัวหนังสือในมืออย่างจดจ่อหัวคิ้วย่นนิดๆอยู่ตลอดเวลา มีน้ำตาเอ่อขึ้นมาเป็นระยะๆเจ้าตัวต้องพยายามกลืนก้อนหนักๆที่จุกอยู่ที่คอด้วยความลำบาก แต่ก็ยังเปิดหนังสือเล่มหนาหน้าต่อหน้าต่อเนื่องมาเกินชั่วโมงแล้ว

เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวถูกปล่อยให้ดังอยู่นาน ก่อนที่เจ้าของจะยอมวางหนังสือมาสื่อสารกับคนปลายสาย

"กูนึกว่ามึงตายไปแล้ว"

"ไอ้หมีควาย"มินซอกตอบกลับเสียงเอื่อยไม่ได้ตั้งใจจะใส่อารมณ์อะไร เขาพลิกตัวนอนคว่ำวางแขนเอียงแก้มหนุนลงไป

"กูไปที่ร้านไม่เจอมึง ตีนเป็นอะไร"

"รองเท้ากัด" ตอบพลางยกหัวหันไปมองเท้าตัวเองที่มีผ้าก็อตพันอยู่ที่นิ้วโป้งกับนิ้วก้อยทั้งสองข้าง

"แค่เนี๊ยยยยยย" จงอินเสียงสูง

"เอ่อ ล่ะไมอะก็กูเจ็บอะ มึงมีไร"

"ไอ้หมาชวนกินเหล้า ฉลองที่งานแม่งผ่านซะที"

"กูกินไม่ได้ เจ็บตีนอยู่"

"เกี่ยวตรงไหน"

"เดี๋ยวแผลอักเสบ"

"ใครบอกมึง"

"ก็ลู่ หะ...ก็....กูรู้ล่ะกัน"

"แล้วมึงรู้ม่ะ เวลาพวกทหารในสนามรบบาดเจ็บไม่มียาฆ่าเชื้อเค้าก็เอาเหล้านี่แหละราดแผลโว้ย"

มินซอกเงียบไป ก็อยากจะเชื่อลู่หานหรอกนะก็เจ้าตัวเล่นโทรมาถามอาการแต่เช้าแถมย้ำเรื่องที่ไม่ควรทำระหว่างแผลยังไม่หายซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบ แต่ความอยากเหล้าทำให้ความเชื่อไปทางจงอินมากกว่า

"เออๆไปก็ไป กูเห็นแก่ไอ้แบคหรอกนะ"

"ร้านป้าจุง ทุ่มตรง ต้องให้กูไปอุ้มมั๊ย"

"เออสิ จะให้กูคลานไปรึไง"

"แมวสำออย"

"หมีสำส่อน"

มินซอกถอนหายใจใส่โทรศัพท์ที่เพื่อนเพิ่งตัดสายฉับไป ดีดตัวลุกขึ้นมาลูบนิ้วเท้าไปมาแบบไม่แน่ใจ คิดไกลไปขนาดว่าถ้าแผลเน่าขึ้นมาเพราะเหล้าต้องตัดนิ้วจะทำไง แต่ก็หาข้ออ้างได้ทันควันว่าจงอินไม่เคยโกหก แต่ลู่หานก็คงไม่โกหกแต่อาจจะเข้าใจผิดและไม่เคยดูหนังสงครามก็ได้ หาข้ออ้างให้ตัวเองสบายใจแล้วก็คว้าหนังสือมานอนอ่านต่อ











...........................................



........................




ยังไม่ทันที่แบคฮยอนจะได้สาธยายถึงความโล่งอกหมดทุกข์กับงานช้างค้างปีที่สิ้นสุดลงได้ซะที ทั้งเขาและจงอินก็ได้แต่นังจ้องเพื่อนตัวเล็กตาเขม็งเมื่อจู่ๆเจ้าตัวก็โพล่งบางประโยคออกมา

"กูไม่ใช่กับแกล้ม อย่าจ้องเหมือนจะแดกแบบนั้น"

"เมื่อกี้มึงว่าไงนะ" แบคฮยอนวางตะเกียบเท้าข้อศอกกับโต๊ะประสานมือแน่น

"กูบอกกูไม่ใช่กับแกล้ม"

"มินซอกมึงอย่ากวนตีน"

มินซอกเบ้ปาก กรอกตาหนึ่งรอบ ก่อนพูดประโยคที่เพื่อนต้องการฟัง

"กูบอกว่า กูไม่โกรธลู่หานแล้ว"

"แม่งอ่อน" แบคฮยอนสวนทันควัน

"เออกูอ่อน เขารู้แล้วว่ากูเป็นใคร เรา...เราเข้าใจกันแล้ว"

"เข้าใจกันแล้ว...ไรของมึงเนี่ย ตอนแรกเห็นของขึ้นฉิบหาย"

"เรื่องมันตั้งหลายปีแล้ว กูว่าจบๆไปดีกว่า แค่นี้แหละ อะ..มึงคุยเรื่องของมึงเหอะ"

"กูหมดอารมณ์" แบคฮยอนกระแทกหลังกับพนักเก้าอี้แต่ยังจ้องหน้าเพื่อนไม่วางตา

"อะไรวะ อินอะไรนักหนาไม่ใช่เรื่องของมึงซะหน่อย"

"มึงว่ากูเสือกเหรอ มึงรู้มั๊ยกูนัดกินเหล้าไม่ใช่แค่เรื่องงานกูสำเร็จ แต่กูวางแผนล้างแค้นให้มึงได้แล้วจะบอกมึงเนี่ย"

"เออๆ กูขอโทษ กู....ขอบใจที่มึงตั้งใจจะช่วยกูจริงๆ.....ไอ้หมี...มึงพูดอะไรมั่งดิ๊ จำศีลรึไงร้านเหล้านะมึงไม่ใช่ถ้ำ" มินซอกหันไปหาตัวช่วยเพราะเริ่มรู้สึกผิดแล้วไม่รู้จะแก้ตัวยังไงให้แบคฮยอนพอใจ แต่พอเห็นหน้าจงอินก็รู้ว่าวันนี้คงพึ่งใครไม่ได้แน่

"มึงอยากให้กูพูดจริงๆเหรอ" เสียงแบบหมีเพิ่งออกจากถ้ำจำศีล

"ไม่พูดแล้วกูจะรู้มั๊ยล่า"

"มึงไม่ได้โกรธลู่หานจริงจังหรอกตั้งแต่แรกแล้ว และตอนนี้มึงชอบเขาแล้วด้วย"

"สัส"
"สัส"

"มินซอกกับแบคฮยอนประสานเสียง

"ก็สัสกันหมดเนี่ยแหละ หมี หมา แมว" จงอินตอกกลับนิ่งๆ

"มินซอกมึง..มึงชอบไอ้หื่นนั่นจริงๆเหรอ"

"กู...กูเป็นผู้ชายนะ"มินซอกโต้เสียงอ่อยเพราะรู้ว่าเหตุผลง่อยมากๆ

"กูยังชอบทั้งผู้หญิงผู้ชายแปลกตรงไหน"

"มึงมันระดับโปรนี่"

"ความรักไม่ใช่กีฬานะเว้ย มือสมัครเล่นมือโปรอะไรนั่นไม่มีหรอก มีแต่คนที่รู้ตัวกับไม่รู้ตัว มึงอะรู้จักแต่ยีสต์ในขนมปังกะยีสต์ในเหล้าเบียร์เท่านั้นแหละ"

"ไอ้งิน กูเจ็บนะ"

"เจ็บสิดี จะได้รู้ตัวซะที"


แบคฮยอนมองเพื่อนด้านซ้ายทีขวาที พยายามตามให้ทัน เรื่องชายรักชายอะไรนั่นเขาเปิดกว้างพอเพราะการเป็นเพื่อนกับจงอินคือการได้เรียนรู้ความรักที่ไร้กรอบจนเขาไม่แปลกใจอะไรแล้ว แต่ที่ยังงงๆคือเพื่อนแมวไปชอบลู่หานตอนไหนแล้วเพื่อนหมีรู้ได้ยังไง


"มึงไปทบทวนตัวเองให้ดี กูพูดแค่นี้" จงอินเสียงเข้มก่อนยกแก้วเบียร์ซดอั๊กๆ นึกถึงชายหนุ่มที่เขาเพิ่งถามไถ่เรื่องมินซอกแล้วได้รับคำตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทีเป็นห่วงเป็นใยก็อดหงุดหงิดนิดๆไม่ได้

สมัยมัธยมจงอินเรียนอยู่คนละห้องกับมินซอกและลู่หาน เขาไม่ค่อยสุงสิงกับใครนักเพิ่งจะมาสนิทกับมินซอกก็ตอนที่ช่วยคนตัวเล็กจากการโดนพวกห้องบ๊วยสามสี่คนรุมอัด เพราะฮึดสู้ที่โดนล้อเรื่องกางเกงใน ส่วนกับลู่หานเขาก็แค่รู้ว่าเป็นนักบอลของโรงเรียนและเป็นเด็กเรียนดีแค่นั้น

แต่พอได้มาเจอกันอีกทีตอนโตแบบนี้ เขายอมรับว่าลู่หานเป็นผู้ชายที่ดูดีและมีเสน่ห์จริงๆ การที่มินซอกจะชอบเมื่อได้ใกล้ชิดก็ไม่แปลกหรอก อีกอย่างเรื่องสมัยเรียนนั่นจริงๆมันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเรื่องห่ามๆไร้สาระที่เด็กผู้ชายทำกัน


สำหรับเขาที่ยังรู้สึกเหมือนมีอะไรกวนใจอยู่บ้าง...ก็คือห่วงมากจนหวงเพื่อนนั่นแหละ









.......................................


................





มินซอกโทรบอกที่ร้านว่าจะเข้าไปช่วงบ่าย บ้านกับร้านห่างกันแค่เดินสบายๆถึงได้ใน10นาทีเขาไม่รู้สึกเจ็บมากเท่าไหร่แล้วเวลาเดินลงน้ำหนักแบบเต็มๆเลยคิดว่าเดินไปที่ร้านแบบเดิมได้ เจ้าตัวหนีบเตะเดินฝ่าแดดมาถึงประตูรั้วเปิดออกไปก็ถึงกับสะดุ้ง เมื่อมีมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดอยู่พร้อมชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่คุ้นตา

ลู่หานส่งหมวกกันน็อกสีขาวให้ยิ้มๆก่อนสวมหมวกสีดำของตัวเอง

"เพิ่งจะหายเจ็บอย่าเพิ่งเดินมากดีกว่าครับ"


มินซอกรับหมวกมาใส่เก้ๆกังๆ พยายามล็อกสายรัดที่คางด้วยความลนมันก็ไม่เข้าที่ซะที ลู่หานมองอยู่สักพักก็ลุกจากเบาะมาเงียบๆ


มินซอกรีบลดมือลงหลุบตาต่ำ....ใกล้จนได้กลิ่น ชิดจนรู้สึกถึงไออุ่นของร่างกายอีกคน...มือเล็กเผลอกำชายเสื้อแน่น

มันคงจะไม่แย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ถ้าเป็นชายเสื้อของตัวเอง


ลู่หานขยับปรับสายอย่างเบามือไม่ให้รัดคางมากหรือน้อยเกินไป จนคิดว่าพอดีแล้วจึงถอยหลังจะหันกลับ แต่........


ทั้งสองคนก้มมองที่เดียวกัน มินซอกหน้าร้อนวูบเมื่อเห็นมือตัวเองกำชายเสื้อยืดลู่หานอยู่


เจ้าของเสื้อเหลือบมองแก้มแดงก่ำแล้วรีบจับข้อมือเล็กนั้นไว้ในจังหวะที่อีกคนกำลังจะคลายมือจากชายเสื้อพอดี รั้งเบาๆให้เดินตามมาแล้วตบเบาะด้านหลัง


"นั่งดีๆนะครับ"


เอาจริงๆตอนนี้มินซอกคิดว่าเขาสามารถลอยจาหน้าบ้านไปที่ร้านได้เองด้วยซ้ำ คำพูดของจงอินตีย้อนกลับเข้ามาในความคิด มันออกจะน่าอายที่คนอายุขนาดเขาไม่เคยมีแฟนจริงๆจังๆ พอเรียนจบก็หมกตัวอยู่ในเบเกอรี่กับร้านเหล้า เขารู้จักแต่ยีสต์อย่างที่จงอินพูดจริงๆนั่นแหละ




ลู่หานขี่ช้ากว่าที่เคย แต่ก็ยังมาถึงร้านในเวลาไม่ถึงห้านาที มินซอกรีบลงจากรถแล้วเดินเข้าร้านทันที เขายืนหมุนอยู่กลางห้อง นึกทวนสิ่งที่ต้องทำ แล้วเริ่มเดินไปเช็คของในตู้เก็บอุปกรณ์และส่วนผสม หยิบติตมือบางส่วนมาวางที่โต๊ะยาวกลางห้อง ลู่หานเดินตามเข้ามาแล้วได้แต่ยืมมองยิ้มๆ

อีกคนดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว เขาเลยเดินมาที่โต๊ะจับไหล่มินซอกให้หยุดสิ่งที่ทำอยู่หันมาหาเขา

"ถอดก่อนนะครับ มันหนัก"

มือของลู่หานสัมผัสอยู่แถวบริเวณคางเพื่อคลายสายล็อกหมวกกันน็อกให้ ดวงตากลมชั้นเดียวได้แต่มองที่พื้นเห็นปลายรองเท้าแตะชนกับปลายหัวรองเท้าหนังทรงบู๊ทต่ำสีน้ำตาลแล้วอยากจะขยับถอย แต่ติดที่ตอนนี้ต้นขาตัวเองชิดอยู่กับโต๊ะแล้วถอยไปไหนไม่ได้อีก

ลู่หานค่อยๆดึงหมวกออกเอาไปหนีบไว้ที่แขนด้านในกับสีข้าง แล้วใช้นิ้วเกลี่ยผมสีน้ำตาลเข้มให้เข้าที่เข้าทาง มินซอกอยากจะบอกว่าไม่เป็นเป็นไร เขาจัดการตัวเองได้ แต่พอจะพูดก็ดันสบตากันพอดี ถ้อยคำทั้งหมดเลยติดอยู่แค่คอ ได้แต่อ้าปากโชว์ฟันกระต่ายค้างอยู่อย่างนั้น


เมื่อพอใจแล้วลู่หานก็ละมือจากหัวกลมๆพร้อมละสายตาลงมามองหน้าคนที่ยืนนิ่งอยู่ เห็นแล้วมันอดไม่ได้จริงๆเขาเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบเบาๆให้ริมฝีปากอิ่มที่เผยอค้างอยู่ประกบกัน

"ผมออกไปช่วยยุนกินหน้าร้านก่อนนะครับ" ลู่หานเอาหมวกกันน็อกไปเก็บในล็อกเกอร์แล้วเดินออกไป

มินซอกขยับตัวช้าๆหันไปทางประตูที่คนที่เพิ่งออกไปทิ้งความรู้สึกมากมายเอาไว้






ตั้งแต่โตมามินซอกสบายใจที่ได้ทำขนมปังและมีความสุขเวลาได้ดื่ม

แต่ตอนนี้เขารู้สึกผิดต่อยีสต์ยังไงไม่รู้.....


เพราะเขาชอบความรู้สึกเวลาที่ได้อยู่กับลู่หานมากกว่าตอนทำขนมปังกับดื่มเหล้าซะอีก









"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""



"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""




สวัสดีค่ะ

กว่าจะได้แต่ละตอน สมองโน๊ะ คิดช้าเกิ๊นนนนน

เอาจริงคือไม่มีวันไหนไม่นึกถึงฟิคที่เขียนเลยนะ

แต่มันมีสิ่งที่ต้องแก้ตลอดไม่ลงตัวซะที

แต่ตอนนี้เป็นดร๊าฟสุดท้ายที่ค่อนข้างรู้สึกดีนะคะ อ่านแล้วยิ้มตามไม่รู้สึกติดขัด

แต่ไม่รู้คนอ่านรู้สึกยังไงบ้าง

ไม่มีคนเม้นท์ด้วยเลยยากเหมือนกันที่จะรู้ว่างานตัวเองต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง

ถึงอย่างนั้นก็ขอบคุณมากๆที่อ่านนะคะ


















Create Date : 01 มกราคม 2560
Last Update : 31 มีนาคม 2560 19:58:33 น.
Counter : 662 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2090139
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
มกราคม 2560

2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31