Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
24 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
อำนาจของความโศกเศร้า กับปรากฏการณ์ทางการเมืองของไทย?


     รัฐบาลอภิสิทธิ์ฯ ที่ใช้วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง นอกจากจะใช้วิชาความล่าช้าแล้ว ยังใช้วิธีแก้ปัญหาโดยให้คิดว่าจะให้ความจริงมาปรากฏเอง มากกว่าที่จะพยายามเร่งรัด เพื่อทำให้ความจริงหรือสิ่งที่คิดว่าเป็นความจริงที่ถูกต้องมาปรากฏเองนั่นแหละ

เป็นวิธีการทำงานแบบของรัฐบาลชุดประชาธิปัตย์ ดูเสมือนหนึ่งจะเป็นเครื่องหมายการค้าของพรรคประชาธิปัตย์ ที่รังแต่จะทำให้สถานการณ์อึมครึม กำกวมเข้าไปอีกแทนที่จะรีบทำความจริงให้ปรากฏ ก็เลยยิ่งทำให้ลามปามสะสมความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น และนั่นแหละ...มันจะย้อนกลับมาพันคอรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เหมือนรัฐบาลชุดนายกชวนฯ ที่ได้รับฉายาว่า ชวนเชื่องช้า ที่ีผ่านมาอย่างไรก็อย่างนั้น







ชื่อบทความเดิม "จากเสื้อเหลืองสู่เสื้อแดงกับสิ่งที่ขาดหายไป?: อำนาจของความโศกเศร้า กับ ปรากฏการณ์ทางการเมืองของไทย"


ภูวิน บุณยะเวชชีวิน


*ความรุนแรงที่เกิดจากการชุมนุมประท้วงอย่างต่อเนื่องนับแต่ปี 2548 โดยเฉพาะภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ดูเหมือนว่าจะเพิ่มระดับความรุนแรงและผลกระทบมากขึ้นทุกขณะ คงเป็นสิ่งที่ต้องถกเถียงกันว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะสามารถเรียกว่าเป็น "การเมืองภาคประชาชน" ได้หรือไม่ ในทัศนะของผู้เขียนดูเหมือนคำว่า "การเมืองเรื่องม็อบ" (mob politics) จะเหมาะสมกว่าในการกล่าวถึงปรากฏการณ์ทางการเมืองของไทยในปัจจุบัน

     ปรากฏการณ์การเมืองเรื่องม็อบแบบไทย ๆ นำไปสู่ความรุนแรงหลายระลอกแต่ที่เห็นจะหนักหนาสาหัสเหตุการณ์หนึ่งก็คือ เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันว่าจะถูกบันทึกจากแง่มุมไหนอย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ ความบาดเจ็บ และความสูญเสียของชีวิตหลายชีวิต บางชีวิตได้รับการเชิดชูว่าเป็นวีรสตรีและได้รับเกียรติอย่างสูงจากสถาบันดั้งเดิม แต่ว่าอะไรคือสิ่งที่ขาดหายไป? บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะชวนถกเถียงในประเด็นดังกล่าว และอธิบายการหายไปจากแนวคิดทฤษฎีของนักปรัชญาร่วมสมัยที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อโลกทางวิชาการ

จากตัวอย่างเหตุการณ์ข้างต้นจะพบว่าบางชีวิตที่สูญเสียไปได้รับความโศกเศร้าอย่างยิ่งทั้งจากประชาชน สื่อสาธารณะ แต่ทำไมชีวิตอีกหลายทีชีวิตกลับไม่ได้รับโอกาสดังกล่าว? ทำไมความสามารถที่จะได้รับความโศกเศร้าจึงขาดหายไป? ในแง่นี้จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ทุกชีวิตที่สามารถได้รับความโศกเศร้า หากแต่ความโศกเศร้าเป็นสิ่งที่ถูกแบ่งสรรไว้อย่างจำกัด และอำนาจของความโศกเศร้า (power of mourning) ทำให้คนโศกเศร้ากับความสูญเสียของบางชีวิตในขณะที่ไม่แยแสความสูญเสียของอีกหลายชีวิต การพิจารณาถึงสิ่งที่ขาดหายไปดังกล่าวอาจช่วยให้สามารถมองเห็นความสูญเสียของชีวิตจำนวนมากไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไรที่ถูกละเลยมองข้าม


อำนาจของความโศกเศร้า


     แนวคิดเรื่องอำนาจของความโศกเศร้ามาจากหนังสือ Precarious Life: The Power of Mourning and Violence (2004) ของ Judith Butler เมื่อไหร่คนถึงโศกเศร้า? Butler อธิบายว่าความโศกเศร้าเกิดขึ้นเมื่อคนคนหนึ่งประสบกับความสูญเสีย (loss) ที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง ในแง่นี้เมื่อประสบกับความสูญเสียคนจึงต้องเผชิญกับบางสิ่งบางอย่างที่ยากจะอธิบาย (enigmatic) มิติของความยากจะอธิบายจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ความโศกเศร้าดำรงอยู่ โดยเฉพาะเมื่อความสูญเสียเกิดขึ้นกับคนที่มีความสัมพันธ์กัน หรือ อีกนัยหนึ่งคนที่สูญเสียไปมีส่วนในการประกอบสร้างตัวตนขึ้นมา เมื่อ "ฉัน" (I) สูญเสีย "คุณ" (you) ฉันจึงไม่ได้เพียงโศกเศร้ากับความสูญเสียเพียงอย่างเดียว หากแต่ตัวฉันกลายเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบายกับตัวฉันเอง ฉันเป็นใครถ้าปราศจากคุณ (Who "am" I without you?) เพราะตัวฉันเองก็หายไปเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเราสูญเสียอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่ประกอบสร้างเราขึ้นมา เราจะไม่รู้ว่าเราคือใคร หรือ เราจะทำอย่างไร จึงอาจกล่าวได้ว่าความโศกเศร้าประกอบด้วยความเป็นไปได้ของความเข้าใจรูปแบบการที่บางสิ่งบางอย่างที่เป็นรากฐานของตัวตนถูกนำออกไป (dispossession)

ในแง่นี้ความโศกเศร้าจึงเป็นสิ่งที่ถูกทำให้น่ากลัว ความกลัวของเราสามารถนำไปสู่แรงผลักดันที่จะแก้ไขความกลัวดังอย่างอย่างรวดเร็วอาจด้วยวิธีการที่ใช้กำลังในการฟื้นฟู (restore) ความสูญเสีย หรือ ในระดับของสังคมการเมืองคือทำให้กลับไปสู่ระเบียบที่มีมาแต่เดิม

     ในบริบทของสังคมการเมืองอเมริกาหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ประสบกับความสูญเสียความเป็นโลกที่หนึ่งนิยม (First Worldism) อาจกล่าวได้ว่าความสูญเสียดังกล่าวเป็นความสูญเสียอภิสิทธิ์ (prerogative) ในการเป็นอภิมหาอำนาจหนึ่งเดียวที่สามารถรุกล้ำพรมแดนอธิปไตยของรัฐอื่น และการไม่อยู่ในฐานะที่พรมแดนของตนจะถูกรุกล้ำได้ สหรัฐอเมริกาน่าจะเป็นที่ซึ่งไม่สามารถถูกโจมตีได้และชีวิตน่าจะปลอดภัยจากความรุนแรงจากภายนอก ในแง่นี้การตอบสนองต่อเหตุการณ์ 11 กันยาจึงเป็นความกังวล ความปารถนาความมั่นคงอย่างสุดขั้ว และส่งเสริมการป้องกันต่อต้านสิ่งใดก็ตามที่ถูกรับภาพว่าเป็นต่างชาติ (alien)

การประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้ายซึ่งตามมาด้วยการบุกยึดอัฟกานิสถานและอิรัก นำมาสู่คำถามสำคัญของ Butler คือ ใครถูกนับว่าเป็นมนุษย์ (human) ชีวิต (live) ของใครถูกนับว่าเป็นชีวิต และอะไรสร้างชีวิตที่สามารถได้รับความโศกเศร้าได้ (grievable life) กล่าวคือ สงครามแบ่งประชากรเป็นสองกลุ่มระหว่างผู้ที่สามารถได้รับความโศกเศร้าได้ กับ อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถได้รับได้ Butler อธิบายกระบวนการดังกล่าวว่าเป็นผลของการทำงานของบรรทัดฐาน (norm) ที่กำหนดว่าใครถูกนับว่าเป็นมนุษย์ ชีวิตใดถูกนับเป็นชีวิต และชีวิตของใครที่สามารถได้รับความโศกเศร้าได้

การจะทำความเข้าใจคำถามที่ Butler ตั้งไว้จำเป็นต้องทำความเข้าใจการทำงานของบรรทัดฐานเสียก่อน Butler อธิบายว่าแบบแผนบรรทัดฐานของการสามารถถูกเข้าใจได้ (normative scheme of intelligibility) เป็นสิ่งกำหนดว่าอะไรคือมนุษย์อะไรไม่ใช่ อะไรคือชีวิตที่ดำรงอยู่ได้ และอะไรคือความตายที่โศกเศร้าเสียใจได้ แต่ในบางครั้งแบบแผนบรรทัดฐานทำให้ชีวิตไม่เคยเป็นชีวิต และความตายไม่เคยเป็นความตาย ในแง่นี้ความรุนแรงที่กระทำต่อคนที่ไม่จริง (unreal) จึงไม่ถูกมองเห็นว่าเป็นความรุนแรงเพราะชีวิตเหล่านั้นถูกปฏิเสธ (negate) ไปตั้งแต่แรกเริ่ม และคนที่ไม่จริงเหล่านี้ไม่สามารถได้รับความโศกเศร้าได้ เพราะชีวิตเหล่านี้ไม่เคยดำรงอยู่

     อาจกล่าวได้ว่านี่คือ ความรุนแรงของบรรทัดฐาน (violence of norm) หรือ ความรุนแรงเชิงบรรทัดฐาน (normative violence) ซึ่งสาระสำคัญ คือ เป็นความรุนแรงที่เกิดก่อนความรุนแรงตามความเข้าใจทั่วไป มิติหนึ่งความรุนแรงเชิงบรรทัดฐาน คือ ความรุนแรงปฐมภูมิ (primary violence) ในแง่ที่ว่าทำให้ความรุนแรงในลำดับถัด ๆ มา (derivative violence) สามารถเป็นไปได้ (enable) อีกมิติหนึ่งที่อาจสำคัญกว่า ความรุนแรงเชิงบรรทัดฐานสามารถลบความรุนแรงที่มีอยู่ทั่วไปให้ไม่ถูกมองเห็นได้

อำนาจของความโศกเศร้าจึงถูกขับเคลื่อนด้วยการทำงานของบรรทัดฐาน หรือ ความรุนแรงเชิงบรรทัดฐานที่แบ่งประชากรออกเป็นสองกลุ่มดังที่กล่าวไปแล้ว


จากเสื้อเหลือง สู่ เสื้อแดง กับ สิ่งที่ขาดหายไป


     จากที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าสิ่งที่ขาดหายไป คือ ความเป็นชีวิตที่สามารถได้รับความโศกเศร้าได้ (grievable life) สำหรับทุกชีวิต นับแต่การชุมนุมของฝ่ายเสื้อเหลือง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนถึงเหตุการณ์บุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีชีวิตจำนวนมากที่ไม่มีชื่อ ไม่เคยถูกกล่าวถึง ไม่ได้รับความโศกเศร้าจากประชาชน จากสื่อสาธารณะ หรือจากสถาบันดั้งเดิม ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ทำไมชีวิตของตำรวจที่บาดเจ็บ หรือ สูญเสียไปจึงถูกลดทอนเหลือเพียงความเป็นกลไกของรัฐ การจะตอบคำถามเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องย้อนกลับไปพิจารณาบรรทัดฐานที่ครอบงำการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางการเมืองนั่นคือ อุดมการณ์ราชาชาตินิยม (royal nationalism) ซึ่งเป็นอุดมการณ์กระแสหลักของสังคมการเมืองไทย

ผู้เขียนเชื่อว่าอุดมการณ์กระแสหลักในฐานะบรรทัดฐานทำหน้าที่ความรุนแรงเชิงบรรทัดฐานในการลบบางชีวิตออกไป ทำให้บางชีวิตไม่สามารถได้รับความโศกเศร้าได้ เป็นชีวิตที่ไม่จริงเสมือนว่าชีวิตเหล่านั้นไม่ได้ดำรงอยู่

สำหรับคำถามที่ว่าฝ่ายเสื้อเหลืองสูญเสียระเบียบอะไรจึงต้องออกมาเคลื่อนไหว ในทัศนะของผู้เขียน ความสูญเสียดังกล่าวคือความสูญเสียอำนาจ อภิสิทธิ์ ของกลุ่มชนชั้นนำเดิมและเครือข่ายกษัตริย์ รวมทั้งความหวั่นเกรงของชนชั้นกลางต่อความไม่โปร่งใสของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในแง่นี้ความสูญเสียดังกล่าวจึงเป็นแรงขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวเรียกร้องระเบียบที่เคยเป็นมาอยู่เดิม

     ในกรณีของฝ่ายเสื้อแดง ผู้เขียนเลี่ยงที่จะอธิบายอย่างที่สื่อกระแสหลักส่วนใหญ่อธิบาย คือ เป็นเรื่องที่ถูกชักใยโดยคน ๆ เดียว คือ ทักษิณ ชินวัตร ผู้เขียนคิดว่าคงจะเป็นธรรมกว่าหากจะอธิบายว่าการเคลื่อนไหวของฝ่ายเสื้อแดงเกิดจากการสูญเสียระเบียบเดิมที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่าฝ่ายเสื้อแดงจะมีความชอบธรรมมากกว่าฝ่ายเสื้องเหลืองเท่ากับว่าเราควรอธิบายสาเหตุที่เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย

ความรุนแรงที่เกิดจากการชุมนุมประท้วงในเดือนเมษายน 2552 ถูกประณามจากคนจำนวนมาก และความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับคนเสื้อแดงเป็นสิ่งที่กลุ่มคนเหล่านั้นสมควรได้รับ จริงอยู่ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดงจำเป็นต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นเดียวกับการกระทำของกลุ่มคนเสื้อเหลือง แต่ทำไมชีวิตหลายชีวิตของคนเสื้อแดงที่ต้องบาดเจ็บจึงไม่สามารถได้รับความโศกเศร้าได้?

     ผู้เขียนไม่ได้จะบอกว่าเราไม่ควรโศกเศร้ากับชีวิตที่เราโศกเศร้าเท่ากับว่าเราควรหันไปมองชีวิตอีกหลายๆ ชีวิตที่เรามองข้าม ไม่นับรวมว่าเป็นความสูญเสียซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปนับแต่การชุมนุมของเสื้อเหลืองจนถึงการชุมนุมของเสื้อแดง ผู้เขียนเพียงต้องการให้ทบทวนการแบ่งสรรความโศกเศร้าให้กับชีวิตอื่นๆ และนับรวมพวกเขาในฐานะชีวิตและในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง


สรุป

     อำนาจของความโศกเศร้าทำให้คนโศกเศร้ากับชีวิตบางชีวิต ในขณะที่ไม่แยแสกับความสูญเสียของชีวิตอีกหลายชีวิต ผู้เขียนคิดว่าแนวคิดเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่สังคมการเมืองไทยควรใคร่ครวญเวลาทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผู้เขียนหวังว่าหากบทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ ผู้อ่านจะได้หันมาไตร่ตรองถึงอำนาจของความโศกเศร้าและสิ่งที่กำลังดำเนินไปในสังคมการเมืองนี้อีกครั้งหนึ่ง


ขอขอบคุณ
ที่มา :
ประชาไท 20 เมษายน 2552
ภาพประกอบ : www.talkystory.com


สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์


H O M E



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2552 22:50:21 น. 1 comments
Counter : 921 Pageviews.

 
เห็นด้วยนะครับว่า สิ่งที่คุณเขียนนั้นมันขาดหายไปจริง อีกทั้งที่เหลืออยู่นั้น มันมีแต่ความโลภของนักการเมืองทั้งสิ้น และอีกหลายๆชีวิตที่ตกอยู่ในภาวะที่เป็นของเล่นของนักการเมืองเลว อย่างที่เราเห็นอย่างทุกวันนี้ในสังคมไทย เมื่อไหร่พวกคุณจะมีสติหันมามองทำบ้านให้น่าอยู่ อย่ามัวไปลุ่มหลงกับวัตถุ แล้วเป็นไงล่ะดูไบ ตอนนี้ ตัวอย่างแล้วตัวอย่างเล่าดูเหมือนว่าเราจะไม่คิดไม่เป็น
POOR THAI SOCIETY
ผมก็คนไทยครับ ไม่ได้ด่าแต่นักการเมือง ผมด่าทุกคนครับ


โดย: ชูชาติ อเมริกา IP: 79.233.74.22 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:14:49:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.