เบลเยี่ยม เป็นประเทศเล็กๆ ในยุโรปที่มีตำแหน่งที่ตั้งดี เพราะสามารถเดินทางไปประเทศอื่นๆ ได้สะดวกมาก เราได้มาเยือนเบลเยี่ยมอัพให้ชมไปแล้วในตอนภาคแรก เมื่อเด็กกะโปโล ไปร้องโอ้โห!! ที่ Belgium ตอน 1 พาเที่ยว เมือง Bruges และ Ghent ครั้งนี้ตามมาชมกันต่อในตอนจบกันนะคะ บล็อกนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปเยือน เมือง Antwerp และ Brussels กัน ^^ ช่วงที่เราไปเยือน 21-26 October 2014 อัตราแลกเปลียน 1 ยูโร = 41.55 บาท สภาพอากาศ ฤดูใบไม้ร่วง ที่เจอทั้งฝนทั้งลม สารพัด อุณหภูมิ 9-13 องศา วันที่ 1-2 ผ่านไปแล้วกับการท่องเที่ยวในยุโรปครัังแรกของเด็กกะโปโล วันที่ 3-4-5 กับโปรแกรมที่ตามมาให้ชมกันอย่างไม่ขาดตอน พอมาทำรีวิวบล็อกนี้ต่อ ยังถึงกับอึ้ง และก็อึ้งอีก เพราะว่า สถานที่แต่ละแห่งคล้ายคลึงกันอย่างมาก 555 เราจึงต้องไปค้นหาข้อมูลมาเทียบกันอย่างมึนงง >"< เมื่อพร้อมแล้ว ไปร้องโอ้โห กับเรากันต่อได้เลยค่าาา เช้าวันที่ 3 หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อยร้อย ชาวคณะ 13 ชีวิต พากันเดิน เดิน และก็เดินไปชมเมือง Antwerp กันค่ะ วันนี้ทั้งวันเราจะอยู่ที่เมืองนี้นะคะ อ่านว่า แอนด์เวิร์ป อีกเมืองที่เก่าแก่ที่มีสมบัติ เอ้ย สถาปัตย์เก่าแก่ให้น่าเรียนรู้มากมาย ไกด์พาเดินทั้งบนและใต้ดิน ทะลุทลวงมากันยัง City Hall และ Cathedral ที่เป็นโบสถ์เก่าแก่ภายในอลังการงานสร้าง กับสถาปัตย์เก่าๆ ของใช้โบราณ และภาพเขียนต่าง ๆ มากมาย ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างภายในวังค่ะ ยังคงสภาพดีทุกชิ้น สามารถจับต้องได้ ยกเว้นภาพเขียนและของบางอย่างที่อาจเสียหายจะมีเส้นกั้น เพื่อให้ชมด้วยสายตาได้อย่างเดียว เดินดูบรรยากาศภายในวังบริเวณรอบๆ และสวนโบราณของที่นี่กันค่ะ Brabo Fountain
Brabo Fountain ค่ะ เป็นเรื่องราวของยักษ์ในตำนาน ที่คอยข่มขู่เรือที่ผ่านไปมาให้จ่ายค่าผ่านทาง ถ้าลำไหนขัดขืน เจ้ายักษ์ก็ตัดมือคนในเรือ แต่แล้วก็ถึงคราวซวยของยักษ์มัน เมื่อมาเจอหนุ่มน้อยผู้กล้านามว่า Brabo ที่ตัดมือยักษ์โยนทิ้งแม่น้ำซะให้ หลายคนเชื่อว่าตำนานเจ้าหนุ่ม Brabo นี่เป็นที่มาของชื่อเมือง Antwerp ค่ะ ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะ Antwerpen (ชื่อเมืองในภาษาดัชต์) = handwerpen = hand thrown น่ะสิ!! (อันนี้เราหาข้อมูล ก็อบมาล้วนๆ เห็นน่าสนใจดี อิอิ) จริงๆ ตรงนี้เป็นน้ำพุ นะคะ แต่เราถ่ายติดมาไม่หมด และตอนที่เราไปเขาไม่เปิดน้ำพุก็ว่า ได้ เห็นหินแห้ง ๆ เป็นแ่ท่นอยู่ ขอเต๊ะจุ้ยเป็นที่ระลึกกันดีกว่า สักท่าหนี่ง อิอิ ซูมๆ กล้องขึ้นมาต่อค่า ยิ่งมองฟ้า ยิ่งเห็นความอลังการ ที่เห็นหอคอยสูงเสียดฟ้านั่นก็คือ วิหารที่ใหญ่ที่สุดในเบลเยี่ยม Onze Lieve Vrouwekathedraal (Cathedral of Our Lady)
ส่วนรูปท่านชายท่าทางภูมิฐานที่เห็นนี้ ไม่ใช่นายทหารหรือนายกเทศมนตรีที่ไหนนะคะ แต่เขาคือ Peter Paul Rubens สุดยอดศิลปินบาโร้กแห่งเมือง Antwerp นั่นเอง เดี๋ยวๆ เราจะพาไปชมผลงานภาพเขียนของเขากันค่า ภายในวิหารมีงานระดับมาสเตอร์พีซของ Rubens ให้ชมกันค่ะ Descent from the Cross Rubens นี่ถือเป็นลูกหม้อของเมือง Antwerp อย่างแท้จริง นอกจากเขาจะโตที่ Antwerp แล้ว ภายหลังเขายังเปิดสตูดิโอใหญ่โตที่เมือง Antwerp อีก เนื่องจาก Rubens เคยเดินทางลงใต้ไปอิตาลี ทำให้เขาได้รับอิทธิพลจากศิลปินเลี่ยนมาเต็มๆ โดยเฉพาะ Titian โคตรศิลปินเรเนซองส์จากเวนิส และ Caravaggio จิตรกรบาโร้กจอมขบถ ทำให้งานของเขากระเดียดไปทางพี่เลี่ยน มากกว่า Flemish Primitives โฮะๆ Lunch เนื้อปลาและเค้กชิ้นนีง ชอบคือที่นี่ร้านเค้าตกแต่งได้สวยมากกกกก และก็เป็นช่วงเวลา Free Time ค่ะ เดินออกมาข้างนอก สภาพท้องฟ้าสลับไปมา ฟ้าหม่น ฟ้าหมอง ฝนตก ฟ้าแจ่ม อย่างไร ก็มีหมดในทริปนี้ 555 ใบไม้เปลียนสีเห็นในเมืองไม่ค่อยจุใจจริงๆ นะคะ เรายังอยากเข้าป่าไปถ่ายใบไม้เปลียนสีเลย ชอบๆ อิอิ แต่ในเมืองก็มีให้เห็นชัดในต้นบางต้นเท่านั้นเองค่ะ เดิน เดินกันต่อจ้าาาา
เบลเยียม เมืองช็อคโกแลตอร่อยที่สุด เค้าว่างั้น ตามร้านค้าสองฝากผั่งจะมีร้านช็อคโกแลตมีให้เลือกจับจ่ายกันอย่างละลานตา ในราคาที่ซื้อได้ ถึงราคาที่ซื้อยากค่ะ 555 แบบว่าจะซื้อที่คงคิดหนักประมาณนั้นนะคะ ร้านช็อคโกแลตต่างๆ จะจัดประดับประดาตกแต่งได้สวยงามและมีจุดขายที่โดดเด่นแต่ละร้าน มีรูปร่างแปลกๆต่างกันออกไป เค้าบอกว่า ถ้ามาเบลเยี่ยม ไมไ่ด้ซื้อช็อคโกแลตกลับไปด้วย ถือว่า มาไม่ถึงนะเออ จำได้ว่า ทริปที่เราอยู่เบลเยี่ยมนั้น ไม่มีวันไหนที่เราไม่ได้กินช็อคโกแลตเลย กลับมาถึงกับตะลึงการเปลียนแปลงของน้ำหนักตัวเองอยู่ทุกวันนี้ 555 และเราได้เดินไปต่อยังที่นี่ๆๆ พะ พะ เพชรแท้จ้าาาา ร้านเพชรแท้ๆ แห่ง Antwerp ที่มีแสงประกายวูบวาบเชื้อเชิญกันเข้ามาเยือนถึงถิ่น ข้อมูลที่หามาพบว่า Antwerp ติด Top 10 ในด้านด้านเจียรไนเพชรด้วยนะเออ
ได้มีโอกาสขึั้นไปเยี่ยมชมดูการเจียรไนของเพชรด้วยค่ะ เป็นตู้กระจกที่จะเห็นการทำงานในทุกๆ ขั้นตอนก่อนจะมาเป็นเพชรเม็ดงามๆ โชว์ที่ตู้กระจก ที่เราเก็บภาพมาให้ดูนิดนึงก่อนประกายแสงเพชรจะวูบวาบกระทบดวงดา 555 มองเห็นราคากันโต้งๆ และมาคูณราคาพี่ไทยดูในตู้นี้
สร้อยคอ 11703 ยูโร คูณเลขกลมๆ ของไทยละกันที่ 41 บาท เส้นนี้ 479,823 บาท ต่างหูในตู้ 15536 ยูโร แปลงเป็นราคาไทย คู่นี้ 636,976 บาท รวมราคา 2 รายการ 1,116,799 บาท เห็นราคาแล้วแทบเป็นลมล้มตึง !!! เค้าว่ากันว่า เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เวลาเราดูของหรือจะซื้อของชนิดไหน อย่าเอามาคูณเงินไทยเด็ดขาดไม่งั้นจะทำให้ไม่อยากซื้อทันที แบบนี้ก็จะห้ามความคิดยากหน่อยนะคะ ยกเว้นให้ที่หนึ่งละกัน ฮี่ๆ และเด็กกะโปโลคนนี้ก็ร้องโอ้โห!! กันอีกครั้งที่นี่ !! สุดยอดอลังการงานสร้างของสถานีรถไฟ Antwerp Central Station
โอ้ววว บระเจ้า !! นี่คือสถานีรถไฟค่ะพี่น้อง ที่เป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุด สวยที่สุด แถมมีชานชลาอีก 3 ชั้นต่างหาก เท่สุดๆ ไปเล้ย งงๆ กะเมืองนี้แล้วนะเนี่ย ว่า ตกลง Antwerp ไม่ใช่เมืองหลวงของ เบลเยี่ยมเหรอเนี่ย ที่มีสถานีรถไฟที่ใหญ่ สวยๆ ไฮโซเยี่ยงนี้ และมีร้านเพชรเรียงกันเป็นตับเลย ทำเอาเด็กกะโปโลงงแล้วค่ะ 555 ดูความอลังการ ยิ่งใหญ่กันเต็มๆ ตา แต่ทว่า กล้องเราเก็บภาพมาได้เพียงกระจิ๊กหนึ่งเท่านั้น อิอิ หลังจากที่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง บอกเลยว่า ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ด้านสถาปัตย์ของตัวสถานีรถไฟเอง และวันที่เราไปเที่ยวที่นี่เป็นวันเสาร์ค่ะ คนไม่เยอะอย่างที่คิดไว้เลยค่า Dinner ค่ำคืนนั้น เดินไปทานกันที่ ร้านอาหารจีน ใกล้ๆ โรงแรมที่พักเลยค่า อิ่มๆ กับหลายเมนู แต่จะเริ่มอิ่มตั้งแต่ต้นแล้วด้วยนะ ก็มีเมนูพวกเป็ดกับกุ้งมาในตอนท้ายรายการ >"< คืนที่ 3 เรายังนอนต่อที่ Antwerp ค่ะ รุ่งเช้า เช็คเอาท์และไปเยือนที่ Brussels เมืองหลวงของเบลเยี่ยมกัน
ใช้เวลาเดินทางด้วยรถโค้ช ราว 1 ชั่วโมงกว่าๆ ไปยังจุดหมายแรก Maasmechelen Village เป็นเอ้าท์เล็ตค่ะ ร้านค้าต่างๆ เหมือนบ้านเราเลยนะคะ แต่บ้านเรานี่แหละคงไปทำเลียนแบบบ้านเขามา อิอิ สถานที่นี่เราสังเกตว่าเพิ่งสร้างใหม่ได้ไม่นานนะคะ สังเกตจากต้นไม้ที่เพิ่งเอาลงค่ะ เป็นสถานที่ช็อปปิ้งแบรนด์เนมต่างๆ มาเบลเยี่ยม ขึ้นชื่อเรื่องอะไรเป็นพิเศษ กระเป๋ายี่ห้อ Kipling ที่เป็นลิงๆ พ่วงห้อยโดดเด่นนั่นแหละค่า ที่นี่ขายในราคาที่ถูกกว่าไทยเป็นอย่างมากด้วยนะคะ ส่วนภาพเซลฟี่นี่ไม่เกี่ยวกับช็อปปิ้งไรหรอก เราถ่ายเล่นๆ ในเอ้าท์เล็ตนี่แหละ 555
ใช้เวลาในเอ้าท์เล็ตกันนานมากเลยค่า ปล่อยให้ช็อปปิ้งกันอย่างเต็มที่ ส่วนเราเดินๆแล้วไปรอที่ร้านอาหารอิตาเลียนก่อนใครเลย ได้เห็นการทำพิชซ่าแป้งบาง ถาดอลังการงานสร้างเป็นอย่างมาก แต่เมนูที่เราสั่งมาเองคือ เพนเน่กุ้งไรนี่แหละ จิ้มเพนเน่ชิ้นสองชิ้นก็เลี่ยนล่ะ แหะๆ แต่ดีหน่อย กุ้งไม่มีเหลือนะคะ นะคะ อิอิ จุดหมายต่อไป ของบรัสเซลล์ ที่เราไปร้องโอ้โห!! กันต่อ คือที่นี่ค่ะ ลูกกลมๆ 9 ลูกยักษ์ใหญ่ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 18 เมตร และมีน้ำหนักรวมกันถึง 2,400 ตัน !!
ขึ้นลิฟท์ตรงแกนกลางมาแล้ว ปรู๊ดเดียวถึง ว่ากันว่า เป็นลิฟท์ที่เร็วที่สุดในยุโรปด้วยนะคะ โอ้วววว ภายในลูกกลมๆ แต่ละลูกนั้น จะเป็น จุดชมวิว ห้องอาหาร และห้องแสดงนิทรรศการต่างๆ รอยต่อระหว่างลูกอะตอมกลมๆ แต่ละลูกจะเป็นบันไดเลื่อนหลากสี หรือไม่ก็จะเป็นบันไดธรรมดาเชื่อมต่อกัน เข้าไปอยู่ในลูกกลมๆ แล้วมองลงมา อู้วววว สีสันของใบไม้เปลียนสี ^^
มองอีกฝั่งก็จะเห็น Mini Europe ด้วย ซึ่งเป็นการจัดจำลองสถานที่ท่องเที่ยวแห่งประวัติศาสตร์ของกลุ่มประเทศยุโรปไว้ในที่เดียวกัน ว่าแล้วก็เดินลงไปชมกันค่า อยู่ใกล้ๆนี่เอง มองดูเบื้องล่าง ฝนก็ตกเป็นระยะๆ ด้วยนะคะ เราและชาวคณะได้รับการแจกร่มกันฝนระหว่างเดินชม Mini Europe ท่ามกลางสายฝน ฟินสุดๆ อิอิ
ค่ำคืนนี้เราไป Dinner กันที่ Belga Queen ภายในร้านที่ตกแต่งได้สวยและโรแมนติกที่สุดในสายตาเรานะคะ แต่เราไปแค่ตัวกับท้องเท่านั้น เลยไม่ได้เก็บภาพมาให้ชมกัน ฮี่ๆ และคืนที่ 4-5 เช็คอินที่พักกันที่ The Dominican Hotel
หลังจากทานมื้อเช้า ก้ได้เวลาออกสำรวจ บรัสเซลล์อีกแล้วจ้าาา วันที่ 5 ของทริปเบลเยี่ยม เดินๆ ชมเมืองเช่นเคย จะเห็นร้านอาหารระหว่างทางเดิน จัดตกแต่งสวยๆ เต็มไปหมดเลย ดูตอนเช้าคนไม่เยอะเท่าไหร่นะคะ แต่พอตอนกลางคืนพวกเราจะเดินผ่านมาอีกรอบ บอกได้เลยว่าอย่างกะมีงานมหกรรมแหน่ะเพราะถิ่นนี้คนเยอะมาก ประชากรหนาแน่นกว่าด้วย ดีหน่อยมีร้านอาหารอร่อยปิดท้ายของทริปนี้ อย่าง ร้าน Chez Leon หอยแมลงภู่อบแบบจัดเต็มๆ ที่อร่อยเพราะว่า ชาวคณะ เอาน้ำจิ้มซีฟู๊ดจากพี่ไทยไปเองนะคะ อิอิ ร้านเค้าดังจังจริงๆค่ะ เพราะดูจากจำนวนคนที่มาทานในร้าน และที่นั่งที่ยาวเหยียดมีหลายจุดหลายมุม คนเยอะมากกกก ข้ามมาๆ เล่าภาคเช้ากันต่อ อิอิ เดินๆ ตามมาค่าาา ด้านใน Galeries St-Hubert ค่ะ เป็น arcade หลังคากระจก เราเคยเห็นภาพนี้แบบเป็นโปสการ์ด ถ่ายช่วงทไวไลท์ งดงามยิ่งนัก เห็นแล้วก็อยากถ่ายบ้าง แต่ได้มาถ่ายช่วงเวลาเช้า ๆ และฟ้าขาวเช่นนี้ อิอิ สองข้างฝั่งจะเป็นบรรดาร้านค้าต่างๆ กลั้นใจไว้ให้ดีนะคะ ช็อคโกแลตเอย สินค้าแฟชั่นอีกเพียบ สาวๆ ต้องเอียงคอมองเกือบทุกจุดสิน่า ส่วนเรา มองไม่ได้ๆ ต้องรีบทำเวลาเดินตามคณะเค้าให้ทัน ไม่งั้นหลงอีกก็เสื้อผ้าเล่นสีทึมๆ กันหมดเลย 555ถึงซะที Grand Place!! อันลือชื่อ แห่ง Brussels Grand Place ได้ชื่อว่าเป็นจัสตุรัสที่สวยที่สุดในยุโรป และได้รับการยกย่องให้เป็น เมืองมรดกโลก ในปี 1983 ตึกสวยๆที่ขนาบซ้ายขวานั้นก็คือ อดีตสมาคมอาชีพต่างๆ (Guild Houses) Guild Houses ตรง Grand Place นี่สไตล์บาโร้กจ๋ามาแต่ไกลเลยค่ะ ไม่ได้มีหลังคาเป็นสามเหลี่ยมขั้นบันไดเหมือนที่ Ghent หรือ Bruges นั่นก็เพราะอาคารดั้งเดิมถูกฝรั่งเศสเผาราบไปตั้งกะปี 1695 นู้น พอฝรั่งเศสกลับประเทศไป ทางสมาคมทั้งหลายจึงสร้างอาคารขึ้นมาใหม่ เลยออกมาเป็นสไตล์บาโร้กซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในยุคนั้นพอดีค่ะ ส่วนที่นี่คืออะไรไม่รู้นะคะ เดินผ่านเฉยๆ เห็นว่าสวยดีเลยแชะๆ มาฝาก >"<
ในบรัสเซลส์มีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ ภาพวาดลวดลายการ์ตูนขนาดใหญ่บนผนังตึก เพราะบรัสเซลส์เปรียบเสมือนเมืองหลวงของการ์ตูนยุโรปเลยทีเดียวค่ะ ภาพการ์ตูนเหล่านี้ เราจะเห็นอย่างเด่นชัดบนถนนสายหนึ่ง เห็นแล้วก็อดที่จะเก็บภาพไว้ไม่ได้ ศิลป์ๆ ทั้งน้าน และก็ถึงคิวไฮไลต์ของเมืองบรัสเซลส์แล้วล่ะค่ะ จะเป็นอื่นใดไปได้นอกจากน้องหนูยืนฉี่ Manneken-Pis
สิ่งที่เราคิดไว้คือ ของรูปปั้นของจริงของน้องหนูยืนฉี่นี่ต้องตัวใหญ่อย่างอนุเสาวรีย์อะไรที่เค้าชอบทำกันโดดเด่นนะคะ แต่พอมาเห็นของจริงแล้วอึ้งเลย ทำไมเล็กนิดเดียวแค่นี้เอ้งงง >"< นี่ๆ ถ้าถ้าไม่สังเกตดีดี ว่ามหาชนที่อยู่บริเวณนั้นเค้ามุงอะไรกันก็ไม่รู้นะคะว่า ฉากหลังเป็นน้องหนูยืนฉี่นี่อยู่นั่น 555 น้องหนูแอ่นตัวยืนฉี่นี่ ว่ากันว่ามีประวัติความเป็นมา คือ เมื่อกองกำลังต่างชาติ กำลังรุกรานเมืองบรัสเซลล์ในศตวรรษที่ 14 และมีแผนจะทำลายล้างกำแพงเมืองบรัสเซลล์ด้วยระเบิด น้องหนูคนนี้บังเอิญมาเห็นเข้าพอดี จึงแอ่นอกฉี่ใส่สายชนวนที่กำลังจุดอยู่ และได้ช่วยเมืองให้รอดไว้ได้ 555 ฉี่ช่วยเมืองเชียวนะเนี่ย Belgian Comic Strip Center หรือ ศูนย์การ์ตูนช่องของเบลเยี่ยม (จะเรียกว่า พิพิธภัณฑ์การ์ตูน ก็ได้นะคะ) ตั้งอยู่ในอาคาร Waucquez Warehouse ที่เคยเป็นห้างสรรพสินค้ามาก่อน แม้ว่าการ์ตูนช่องจะมีต้นกำเนิดมาจากหนังสือพิมพ์ในอเมริกา แต่ศิลปินของเบลเยี่ยมก็ได้สร้างสรรค์การ์ตูนขึ้นมามากมาย จนสามารถเรียกได้ว่าเบลเยี่ยมเป็นเมืองหลวงของการ์ตูนยุโรป การ์ตูนที่โด่งดังของเบลเยี่ยมก็คือ Tin Tin (แต็งแต็ง) ผลงานของ George Remi ที่ใช้นามปากกาว่า Herge โดย Tin Tin เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ได้เดินทางไปผจญภัยทั่วโลก คู่หูของ Tin Tin คือสุนัขสีขาวที่ชื่อ Snowy ค่ะ
จริงๆ ก็มีไปต่อด้วยที่ Magnitte Museum หรือ Royal Museums of Fine Arts จะเป็นแนวมิวเซียมแนวภาพวาด และกลุ่มพวกศิลปะต่างๆ เช่นรูปปั้นของศิลปินต่างๆ ดังบ้างไม่ดังบ้างมากมายรวบรวมไว้ในมิวเซียมแห่งนี้ และที่นั่งก็เพียบค่ะ เราจึงเลือกนั่งมากกว่าเพราะ เมื่อยขาทั้งวันแล้ว 555 ถือเป็นอีกหนึ่งทริป และหนึ่งประสบการณ์ของเราในยุโรปครั้งแรกที่เราได้ไปร้อง โอ้โห !! ที่นี่ เบลเยี่ยม !!
และขอปิดท้ายทริปเบลเยี่ยมด้วยความอลังการภายนอกของโบสถ์ Cathedrale ค่ะ ^^
ขอขอบคุณ : การบินไทย Flanders State of the Art ที่มอบอีกหนึ่งประสบการณ์ท่องเที่ยวยุโรปให้กับเราในครั้งนี้ด้วยค่ะ และขอบคุณทุกๆ คนที่ติดตามชมค่า ^^