ผังเมือง เอื้อใช้ รถยนต์ก่อพฤติกรรมเนือยนิ่ง เสี่ยงโรคหัวใจ
เพิ่มมลภาวะก่อโรคทางเดินหายใจ
นักวิชาการ ชี้ ผังเมือง ไม่เอื้อเดินเท้า -ปั่นจักรยาน ทำสุขภาพเสีย ใช้รถยนต์ส่วนตัวก่อ พฤติกรรมเนือยนิ่งสัมพันธ์เกิดโรคหัวใจ พ่วงมลภาวะเยอะ เกิดโรคระบบทางเดินหายใจได้มากกว่าเสนอรัฐปรับโครงสร้างพื้นฐานเป็นทางสีเขียว เน้นเดิน - จักรยาน พร้อมป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
ศ.บิลลี่ กิลส์-คอร์ติ (BillieGiles-Corti) มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียกล่าวในเวทีเสวนาเรื่อง ผังเมืองและการขนส่งที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในงานประชุมนานาชาติว่าด้วยกิจกรรมทางกายและสุขภาพครั้งที่ 6 (ISPAH 2016 Congress) ว่าผังเมืองและระบบการขนส่งถือว่ามีผลต่อการมีกิจกรรมทางกายและสุขภาพของประชาชนในเมืองอย่างมากซึ่งการวางผังเมืองที่เอื้อต่อการเดินเท้าและขี่จักรยานจะช่วยให้คนในเมืองนั้นมีกิจกรรมทางกายมากยิ่งขึ้น แต่ที่น่าห่วงคือ กลุ่มประเทศรายได้ระดับปานกลางซึ่งเป็นเมืองกำลังเจริญเติบโต มีการพาหนะเพิ่มขึ้น เท่ากับว่า มีมลภาวะต่างๆเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพของร่างกายการใช้รถยนต์ส่วนตัวส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ที่สำคัญอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้นก็ส่งผลต่อความกลัวในเรื่องของสุขภาพจิต นอกจากนี้หลายเมืองทั่วโลกยังกังวลเรื่องของการขี่จักรยานแล้วเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากโครงสร้างถนนไม่ดีพอ ดังนั้น การจะสร้างเมืองให้เอื้อต่อการเดินเท้าหรือขี่จักรยานจะต้องมีการออกแบบชุมชน วางกฎหมาย และวางผังเมืองให้เอื้อต่อการเดินเท้าขี่จักรยาน และ การใช้ขนส่งมวลชน โดยกระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงคมนาคมถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญอย่างมาก
การจะออกแบบผังเมืองต้องคิดในมุมกว้างต้องพิจารณาวางเครือข่ายท้องถนนเชื่อมโยงกันอย่างไร ความหนาแน่นของเมือง ของคนความหลากหลายการใช้ที่ดิน รูปแบบที่อยู่อาศัย ตัวบ้านเป็นอย่างไรระยะทางในการเปลี่ยนรถเดินทาง โดยต้องทำให้เมืองมีขนาดเล็กลงเพื่อให้คนเดินและขี่จักรยานได้มากขึ้น นอกจากนี้ต้องคำนึงถึงเรื่องของการจ้างงานด้วย ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่ภายในเมืองก็จะทำให้คนเข้าเมืองมามากขึ้น แต่ต้องกระจายการจ้างงานไปรอบๆ เมืองด้วยและจะมีขนส่งมวลชนในการขนคนเข้ามาทำงานอย่างไรขณะที่อุปสงค์ในเรื่องของการใช้รถยนต์ส่วนตัวทำให้มีปัญหาเรื่องที่จอดรถก็ต้องควบคุมในเรื่องเหล่านี้ ศ.บิลลี่ กล่าว
ศ.มาร์ค สตีเวนสัน มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า มีหลักฐานบ่งชี้ว่าระบบการคมนาคมของเมืองจะส่งผลลัพธ์ต่อสุขภาพของคนในเมืองด้วยซึ่งจากการเก็บข้อมูลระบบคมนาคมใน 6 เมืองขนาดใหญ่ เมื่อปี 2014 คือเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย, เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา, กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ, กรุงเดลี ประเทศอินเดีย, กรุงโคเปนเฮเกนประเทศเดนมาร์ก และ นครเซาเปาโล ประเทศบราซิล ซึ่งแต่ละเมืองก็จะมีรูปแบบการคมนาคมที่แตกต่างกันไปอย่างกรุงโคเปนเฮเกน พบว่า มากกว่า 53% เน้นการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด พบว่า เมืองที่มีการใช้รถเยอะโดยเฉพาะรถยนต์ส่วนตัว ส่งผลต่อสุขภาพของคนในเมืองมากกว่าการเดินทางโดยระบบอื่นคือ การเดิน และ ขี่จักรยาน โดยเฉพาะโรคหัวใจซึ่งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอรวมถึงโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ ที่มาจากภาวะมลพิษทางอากาศ เป็นต้น ที่น่าห่วงคือหลายๆ เมืองของแต่ละประเทศมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น สหรัฐฯ จีน และอินเดีย มีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้ว่าราชการของแต่ละเมืองและโครงสร้างของเมืองต้องรองรับตอบสนองต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการขยายตัวของเมืองด้วยโดยเฉพาะเรื่องของการขนส่ง
ขณะนี้หลายๆ เมืองพยายามสร้างทางสีเขียวขึ้นโดยปรับลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว แล้วหันมาสนับสนุนให้เกิดการเดินและการขี่จักรยานเพิ่มมากขึ้นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการ คือ จะต้องทำให้เมืองเล็กลงเพื่อเอื้อให้เกิดการเดินและใช้จักรยานเพิ่มมากขึ้น แต่ปัญหาคือจะเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นตามมา ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะต้องคำนึงและป้องกันคนเดินเท้าหรือใช้จักรยานที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นด้วยศ.มาร์ค กล่าว
เครดิต บทความ //www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9590000118496