Group Blog
 
 
กันยายน 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
15 กันยายน 2557
 
All Blogs
 
พิรุณรัญจวน - 3 - ข้อความ




ตอนที่ 3 ข้อความ

“ดูเหมือนความจำเธอจะยังดีอยู่นะ ตกลงจำได้หรือไม่ได้กันแน่?” ณดลกระชากเสียงถามอย่างหมดความอดทน เขาชักจะเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมากขึ้นทุกทีว่าแม่สาวผมสั้นคนนี้กระโดดตัดหน้ารถเขาเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง และเธอคงไม่ได้ความจำเสื่อมจริงอย่างที่อ้าง

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ยังเม้มปากและกำล็อกเกตเอาไว้แน่น คิดไม่ออกว่าจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้อย่างไรก็พอดีได้ยินเสียงกลไกล็อกหมุนแล้วประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาโดยไม่มีการส่งสัญญาณเตือน พอเห็นหน้าอรรินเท่านั้นเธอก็เบ้หน้า บีบน้ำตายกใหญ่

ผู้จัดการสาวเห็นสีหน้าดุดันของพระเอกหนุ่มก็ตกใจ รีบมองไปยังคนเจ็บ พอเห็นอีกฝ่ายนั่งหงอ น้ำตาปริ่มก็รู้ทันทีว่าคงจะถูกณดลขู่เข็ญให้ยอมรับว่ามีจุดประสงค์ในการวิ่งตัดหน้ารถเขาแน่ๆ

เธอส่ายหน้า หันไปทางเด็กในสังกัดของตัวเอง “ดลทำอะไรน้องเขาน่ะ”

ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ ตอบเสียงเข้ม “ผมกำลังเค้นคอคนโกหกให้พูดความจริง”

อรรินหันไปทาง ‘คนโกหก’ เจ้าหล่อนหลบตาและสูดน้ำมูกเหมือนกำลังพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมา ผู้จัดการสาวใหญ่เลยได้แต่ทอดถอนใจ เดินเข้าไปใกล้และปลอบว่า “พูดความจริงมาเถอะน้อง ใครส่งน้องมากันแน่ พี่สัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องน้องเลย แค่อยากให้มันจบเท่านี้ ตกลงไหม”

หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมคุณถึงคิดว่ามีใครส่งฉันมาล่ะคะ ฉันก็แค่...จำอะไรไม่ได้ แล้วก็...ไม่มีที่ไป”

น้ำเสียงเศร้าสร้อยของเธอทำให้อรรินใจอ่อน ในตอนที่บอกว่า ‘ไม่มีที่ไป’ นัยน์ตาเรียวยาวสะท้อนความรู้สึกเดียวกับคำพูด

ขณะที่ณดลหันขวับ เขม้นจ้องคนพูดราวกับจะจับผิดให้ได้ว่าเธอกำลังพูดโกหก แต่เขาก็มองไม่เห็นพิรุธ นอกจากสีหน้าเศร้าซึมกับดวงตาที่เหมือนเด็กหลงทาง นั่นยิ่งทำให้หงุดหงิดหัวเสียมากขึ้นจึงแกล้งขู่เพื่อให้เธอแสดงพิรุธออกมา

“ให้ตาย นี่เธอยังไม่ยอมพูดความจริงอีกใช่มั้ย จะให้ฉันแจ้งตำรวจรึเปล่า?”

ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงถึงกับสะดุ้งเฮือก ใบหน้าซีดเผือด แววตาตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างปิดไม่มิด ริมฝีปากของเธอสั่นทั้งที่พยายามขบกันไว้แน่น น้ำตาคลอโดยไม่ต้องพยายามบีบ

ทั้งอรรินและณดลดูออกทันทีว่าหญิงสาวมีปฏิกิริยากับคำว่า ‘ตำรวจ’ เธอกลัวความผิดที่กำลังทำอยู่ หรือมีความผิดติดตัวมาก่อนที่จะกระโดดตัดหน้ารถเขา ชายหนุ่มยังสงสัยอยู่

“เอางี้แล้วกัน ฉันส่งตัวเธอให้ตำรวจ แล้วให้เขาจัดการต่อ จะตามหาครอบครัวหรือจะสืบว่าตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ก็แล้วแต่ ให้ตำรวจจัดการเอง ดีไหม?” ณดลได้ที กดดันหญิงสาวมากขึ้น หวังให้เธอสารภาพความจริงออกมาแล้วจบเรื่องนี้ให้ได้ เขาจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตเธอด้วย

หญิงสาวเม้มปากแน่น เอาแต่ก้มหน้านิ่ง ไม่ยอมตอบอะไร มือเธอกำลังสั่น หัวใจก็ด้วย เธอเจอตำรวจไม่ได้ ให้ตำรวจเจอตัวไม่ได้เด็ดขาด!

อรรินสังเกตเห็นอาการสั่นเทาจากร่างเล็กจึงเอื้อมมือไปแตะไหล่ของหญิงสาวเบาๆ คนที่ก้มหน้าอยู่สะดุ้งเฮือก และมองหน้าเธอราวกับตกใจจนขวัญหนี

“เป็นอะไรรึเปล่าน้อง?”

“ฉัน...ฉันปวดหัวค่ะ ตามหมอให้ที” เธอโกหก หลบตาทั้งอรรินและณดล

“โกหก!” ชายหนุ่มโพล่งขึ้น “พูดความจริงได้แล้ว ไม่งั้นฉันจับตัวเธอส่งตำรวจจริงๆ”

หญิงสาวหลับหูหลับตานอนลงบนเตียง ใช้มือที่ไม่ได้ใส่เฝือกกุมศีรษะแล้วร้องครวญครางว่าปวดหัวไม่หยุด

ณดลคิดว่าเธอกำลังเฉไฉเอาตัวรอด เขาพยายามจะรั้งร่างบางให้ลุกมาคุยกันต่อให้ได้ แต่อรรินขวางไว้

“พอก่อนดล น้องเขาคงปวดหัวจริงๆ สีหน้าไม่ค่อยดีเลย รีบตามหมอดีกว่า ดลกลับไปก่อนนะ ทางนี้พี่จัดการเอง เร็วสิ”

“แต่พี่แอ๋ว...”

“พี่เข้าใจ” อรรินใช้เสียงจริงจังสยบความใจร้อนของพระเอกหนุ่ม “เดี๋ยวพี่จะคุยกับหมออีกที ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงพรุ่งนี้เราค่อยมาคุยกันต่อ เชื่อพี่นะ กลับไปก่อน”

ชายหนุ่มถอนใจอย่างหงุดหงิด เหลือบมองคนที่นอนดิ้นไปมาอยู่บนเตียงอย่างหมั่นไส้ ถึงจะยอมรามือให้ในวันนี้แต่เขาก็ไม่วายข่มขู่ก่อนจากไป “ก็ได้ แต่พรุ่งนี้ฉันจะมาอีก เตรียมคำตอบไว้ด้วยล่ะ”

อรรินกดปุ่มเนิร์สคอลเมื่อณดลออกไปจากห้องแล้ว หญิงสาวรอกระทั่งแพทย์กับพยาบาลมาถึงและแจ้งอาการคนเจ็บให้ทราบ ก่อนจะถอยออกไปรอด้านนอก ครู่ใหญ่ประตูห้องก็เปิดออก นายแพทย์วัยกลางคนที่เธอเคยคุยด้วยเรื่องอาการของแม่สาวผมสั้นเดินออกมา

“เป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ มีอะไรน่าเป็นห่วงรึเปล่า”

“หมอให้ยาแก้ปวดกับยาคลายเครียดไปแล้วครับ ไม่ต้องตกใจไป อาการปวดศีรษะเกิดขึ้นได้เสมอกับคนที่สมองถูกกระทบกระเทือน แต่ดูผลจากเครื่องซีทีสแกนแล้ว ตอนนี้ยังไม่พบเลือดคั่งหรือความผิดปกติอื่นในสมอง คงต้องรอดูอาการต่อไปซักพัก ถ้าไม่มีอะไรแทรกซ้อน หมอคิดว่าอีกไม่นานความทรงจำของเธอจะค่อยๆ กลับคืนมานะครับ”

“แปลว่าเราแค่ต้องรอใช่มั้ยคะ” หญิงสาวถามเพื่อความมั่นใจ

นายแพทย์หนุ่มใหญ่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้กำลังใจ “ใช่ครับ ตอนนี้หมอคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ถ้ารู้สึกว่าคนเจ็บมีอาการผิดปกติก็ให้รีบบอกหมอทันทีนะครับ อย่างที่เคยบอก โรคพวกนี้บางทีก็แสดงอาการช้า”

“ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

หญิงสาวยืนส่งจนคุณหมอเดินจากไปแล้วจึงเข้าไปดูคนเจ็บในห้อง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลับอยู่จึงโทร. เรียกพยาบาลพิเศษให้มาเฝ้าก่อนจะกลับไป

คนที่แกล้งหลับลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูตามหลัง

เธอคงถูกจับตัวส่งตำรวจจริงๆ ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป สงสัยจะต้องไปแล้วละ...



เป็นอีกเช้าที่ณดลถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงโทรศัพท์ อรรินเตือนว่าวันนี้เขามีถ่ายละครฉากสุดท้ายก่อนปิดกล้อง ให้ไปเจอกันที่รีสอร์ตที่ตั้งกองในอำเภอสวนผึ้งตอนบ่ายสาม ส่วนตอนเย็นมีเลี้ยงฉลองปิดกล้อง ให้เขาอยู่ร่วมด้วยเพราะจะมีนักข่าวจากรายการบันเทิงทางทีวีมาสัมภาษณ์ทำสกู๊ปพิเศษเพื่อนำไปออกอากาศโปรโมตละคร

ชายหนุ่มลุกขึ้นสางผมอย่างเกียจคร้าน เมื่อคืนเขาดูบทที่ต้องถ่ายในวันนี้แล้ว แต่เพราะยังอารมณ์เสียจากเรื่องที่โรงพยาบาลเลยทำให้พานไม่อยากไปทำงานเอาเสียเลย ทว่าพอคิดว่านี่คือฉากปิดกล้องก็พอจะบอกให้ตัวเองลุกจากเตียงได้สำเร็จ เพราะนี่เป็นซีนสุดท้ายที่เขาจะได้โบกมือลานางเอกของเรื่องเสียที

เมื่อไปถึงกองถ่ายเขาพยายามเพ่งสมาธิอยู่กับบทโดยไม่สนใจใคร อรรินมาถึงทีหลังแต่มีเด็กที่คอยดูแลณดลประจำกองถ่ายอยู่แล้วเธอจึงไม่ห่วงอะไรมาก ทุกคนรู้ดีว่าพระเอกคนนี้ไม่ใช่แค่วีไอพีแต่ระดับเขาต้องเป็นซุปเปอร์วีไอพีเท่านั้น วันนี้ทั้งวันหญิงสาวไม่ได้คุยเรื่องผู้หญิงที่วิ่งตัดหน้ารถของณดลเพราะไม่อยากให้พระเอกจอมเรื่องมากอย่างเขาอารมณ์เสียจนคนอื่นทำงานไม่ได้ นี่เป็นฉากสุดท้ายแล้วเธอไม่อยากให้มีปัญหา

ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่คิด ยกเว้นความสัมพันธ์นอกจอระหว่างพระเอกกับนางเอกของเรื่อง เมยาวีเป็นนางเอกน้องใหม่ที่ทางช่องต้องการให้ณดลช่วยดัน เธอพยายามจะทำตัวสนิทสนมกับชายหนุ่มจนออกนอกหน้าเพื่อสร้างกระแสให้ตัวเองเป็นที่รู้จักเร็วขึ้น แต่หญิงสาวก็ต้องผิดหวังเพราะณดลไม่เล่นด้วย เขาแสดงท่าทีว่ารำคาญอย่างไม่ปิดบังทุกครั้งที่เธอพยายามจะเข้าไปพูดคุย ทำให้หญิงสาวต้องอับอายอยู่บ่อยหน จนสุดท้ายเธอเลยพาลเกลียดขี้หน้าณดลขึ้นมาจริงๆ คนวงในเขารู้กันหมด แต่ข่าวที่ออกไปกลายเป็นว่าเพราะณดลชอบไม้ป่าเดียวกันจึงเมินนางเอกสาวสวยคนนี้ ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่เดือดร้อนอะไร เขาให้สัมภาษณ์ตลอดว่าขายฝีมือ ไม่ใช่กระแส

ตกเย็นณดลต้องเข้าฉากสุดท้าย จำเป็นต้องใช้แสงตะวันยามพลบค่ำเข้าช่วยเพื่อให้ได้ภาพโรแมนติกงามๆ เป็นของขวัญกับคนดูก่อนลาจอ ทว่าฝนเริ่มตั้งเค้ามาตั้งแต่สี่โมงเย็น พอเกือบห้าโมงเม็ดฝนก็เริ่มโปรยปราย เป็นเหตุให้ต้องยกกองแล้วมาถ่ายทำกันใหม่ในวันพรุ่งนี้

ณดลอดหงุดหงิดไม่ได้ นี่เป็นต้นฤดูหนาวที่มีฝนตกถี่อย่างน่าโมโห ฝนหลงฤดู เขาละเกลียดมันจริงๆ ให้ตาย!

“ช่วยไม่ได้นี่นะ พรุ่งนี้ดลก็แวะมากองถ่ายตอนเย็นๆ แล้วกัน ส่วนเรื่องไปรับบทกับทางเดอะเบสต์เดี๋ยวพี่ไปแทนให้ ฝนฟ้าเป็นเรื่องที่ไม่มีใครห้ามปรามได้ เห็นใจผู้กำกับกับทีมงานเขาหน่อย พวกเขาก็ไม่ได้อยากเหนื่อยหลายวันเหมือนกันแหละ นะดลนะ ใจเย็นๆ”

อรรินลูบหลังลูบไหล่พระเอกเทวดาของเธออย่างปลอบประโลม ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงใครต่อใครให้วงแตก เธอรู้ว่าต่อให้ชายหนุ่มทำอย่างนั้นทุกคนก็ต้องง้อเขาอยู่ดี แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าหากณดลจะรู้จักผ่อนปรนและเห็นอกเห็นใจคนอื่นบ้าง เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่คนใจดำ แต่เมื่ออารมณ์เสียคนทั่วไปมักจะควบคุมการแสดงออกของตัวไม่ค่อยได้ ณดลก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาชินกับการถูกเอาอกเอาใจมากเกินไป

“งั้นก็กลับเลยแล้วกัน เรายังไม่จบเรื่องกับยายเด็กนั่น ผมต้องจับให้ได้เลยว่าเธอโกหกเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง” ชายหนุ่มบอกด้วยแววตามุ่งมั่น

ผู้จัดการสาวมุ่นคิ้ว “ทำไมดลมั่นใจนักล่ะ”

เขานึกถึงตัวอักษรนูนต่ำบนล็อกเกต “ก็เมื่อวานเด็กนั่นบอกว่าตัวหนังสือที่สลักบนล็อกเกตเป็นภาษาจีน แปลว่าฤดูฝน และมันอาจจะหมายถึงชื่อเธอด้วย ถ้าความจำเสื่อมจนจำเรื่องตัวเองไม่ได้ แต่ยังรู้ว่าตัวอักษรนั่นเป็นภาษาจีนและแปลว่าอะไร ก็ไม่น่าจะลืมนะว่าผมเป็นใคร พี่แอ๋วคิดว่าจะมีซักกี่คนในประเทศนี้ที่ไม่รู้จักผม”

ณดลมองเห็นความเพลียจิตในสีหน้าของผู้จัดการส่วนตัวเลยรีบแก้ว่า “อย่างน้อยก็ไม่น่าจะรวมผู้หญิงที่อยู่ในวัยเดียวกับยายเด็กนั่นเอาไว้ด้วย ยิ่งอยู่ในกรุงเทพฯ แบบนี้พี่คิดว่าเป็นไปได้เหรอที่จะไม่รู้จักผม เดินออกจากบ้านไม่กี่ก้าวก็เห็นบิลบอร์ดแปะหราตามตึกหรือศูนย์การค้าใหญ่ๆ แล้ว ยิ่งเด็กวัยนี้นะชอบไปเดินสยามกันจะตาย พี่ก็เห็น รูปผมมีอยู่ทุกที่”

“จะว่าไปก็แปลกจริงๆ แหละ ถ้าจำเรื่องทั่วไปได้ก็ควรจะจำดลได้เหมือนกัน” อรรินจำต้องพยักหน้าคล้อยตาม

จริงอย่างที่เขาว่า แม่สาวผมสั้นคนนั้นอยู่ในวัยที่น่าจะชอบเดินเล่นตามศูนย์การค้าใหญ่ๆ อาจจะยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ด้วยซ้ำ ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมมีเพื่อนในวัยเดียวกันที่จะเมาท์เรื่องดาราที่ชื่นชอบบ้าง ณดลไม่มีวันหลุดโผไปได้ ต่อให้ไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชอบเขาก็ต้องมีบางคนที่คลั่งไคล้เขา และน่าจะเป็นคนส่วนมากเสียด้วย พ.ศ. นี้ถ้าใครไม่รู้จักณดลถือว่าเอาต์สุดๆ

ชายหนุ่มอมยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่ออรรินเห็นพ้องกับเขา “ใช่มั้ยล่ะ ผมถึงต้องจับโกหกยายเด็กนั่นให้ได้ งั้นเรากลับกันเลยนะ เคลียร์ทางให้ผมด้วย ผมจะตรงไปโรงพยาบาลเลย”

“แต่เย็นนี้มีงานเลี้ยงนะ เขาฉลองกันในร่ม จะฝนตกแดดออกก็ไม่เป็นปัญหา จองร้านไว้แล้วคงยกเลิกไม่ได้ ดลต้องอยู่ให้สัมภาษณ์คู่กะเมย่าก่อน”

เธอเห็นเขาทำหน้าเบื่อๆ เลยรีบปลอบว่า “เหอะน่าแป๊บเดียวเอง เดี๋ยวช่องไม่มีข่าวไปโปรโมตละคร ผู้ใหญ่ก็จะตำหนิได้ พี่จะช่วยเร่งนักข่าวให้ แล้วค่อยแวะไปโรงพยาบาลตอนดึกๆ น่าจะปลอดภัยกว่า ดลไปบ่อยแบบนี้เดี๋ยวมีใครเห็นแล้วจำได้มันจะเป็นเรื่องอีกนะ”

ณดลพ่นลมหายใจ ไม่อยากยอมรับแต่ก็เป็นความจริง พักนี้เขาชักจะเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยเกินไปแล้ว ถ้ามีคนระแคะระคายอาจจะตามสืบและนำไปเขียนข่าวก็ได้ ขนาดไปแค่วันเดียวทั้งคุณหญิงอรอุษาทั้งหวันยิหวายังรู้เรื่องเลย

“เอางั้นก็ได้ แต่แค่ยี่สิบนาทีนะ เกินนั้นผมไม่รอ”

“จ้ะๆ ยี่สิบนาทีก็ยี่สิบนาที” ผู้จัดการสาวยิ้มอย่างโล่งใจที่เกลี้ยกล่อมเขาได้สำเร็จ

ดูแลณดลแค่คนเดียวเธอต้องใช้พลังงานและความอดทนมากกว่าดูแลดาราสิบคนพร้อมกัน แต่ก็อย่างว่า ดูแลเขาคนเดียวได้ค่าตอบแทนมากกว่าดูแลดาราอีกสิบคนเช่นกัน ถือว่าหยวนๆ

“แหม...จะรีบไปไหนล่ะคะพี่ดล มีงานเลี้ยงปิดกล้องทั้งทียังไม่อยากอยู่ฉลอง กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอคะว่าโลกส่วนตัวสูง”

เสียงแซวเชิงกระทบกระทั่งดังมาจากมุมหนึ่งของรีสอร์ตบรรยากาศดี ซึ่งทางทีมงานยกกองมาถ่ายทำฉากสุดท้ายกันที่นี่ ณดลจำได้ว่าเป็นเสียงใครจึงไม่ได้สนใจจะหันไปมอง เขาไม่ชอบมีเรื่องกับผู้หญิง

อรรินหันไปทางต้นเสียงพร้อมรอยยิ้มหวานหยด แสร้งทักเหมือนดีใจที่ได้พบกัน “น้องเมย่านั่นเอง วันนี้ยังไม่ได้ทักทายกันเลย สบายดีนะจ๊ะ”

“ก็เรื่อยๆ ค่ะพี่แอ๋ว แล้วพี่แอ๋วล่ะคะ สบายดีมั้ย แต่ดูสีหน้าแล้วคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ท่าทางเหนื่อยๆ นะคะ ทำงานหนักเหรอ” เมยาวีจงใจเน้นเสียงตรงคำว่า ‘งานหนัก’ เพราะณดลไม่ให้เกียรติเธอ ชอบทำให้เธอขายหน้าอยู่บ่อยๆ เมื่อสบโอกาสหญิงสาวจึงไม่พลาดที่จะเหน็บแนมเขา คนทั้งวงการรู้ดีว่าณดลเรื่องมากแค่ไหน อรรินต้องเหนื่อยยิ่งกว่าดูแลคนอื่นเป็นสิบเท่า

ผู้จัดการสาวใหญ่หัวเราะร่วน ตอบว่า “จริงค่ะ ทำงานกับน้องดลนี่โคตรเหนื่อยเลย คนอะไรก็ไม่รู้งานเยอะชะมัด ฮอตแล้วไม่แผ่วเลย นี่คิวงานยาวไปจนถึงปลายปีหน้าโน่น ถ้าพี่ไม่บอกปัดไปก่อนคงจะเลยเถิดไปถึงสองสามปี ไม่ไหวละค่ะ แค่นี้ก็เหนื่อยจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน แล้วน้องเมย่าล่ะคะ ปิดกล้องเรื่องนี้มีละครเรื่องใหม่จ่อคิวมาแล้วใช่มั้ย กระซิบได้มั้ยเอ่ย เรื่องอะไรคะ”

นางเอกน้องใหม่หุบยิ้มฉับเมื่อถูกผู้จัดการของชายหนุ่มเกทับ แถมยังย้อนศรอย่างเจ็บแสบ เธอเชิดหน้าขึ้นนิด ตอบหยิ่งๆ ว่า “ก็มีส่งบทมาให้ดูสองสามเรื่องนะคะ แต่เมย่ายังไม่สนใจ นี่ค่ายเพลงก็ติดต่อมาด้วย อยากให้ไปเทสเสียง เขาอยากให้เมย่าเป็นนักร้องในสังกัดน่ะค่ะ แต่เมย่าไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ อืม...ขอตัวก่อนดีกว่านะคะ จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าละ เดี๋ยวนักข่าวมาสัมภาษณ์แล้วจะดูไม่ดี แล้วเจอกันนะคะพี่ดล”

“ตามสบายเลยจ้ะ” อรรินโบกมือลาแทนพระเอกหนุ่มที่ยืนกอดอก ทำหูทวนลมไม่ใส่ใจ

พอคล้อยหลังนางเอกสาวไปแล้วเธอก็ทำหน้าเพลีย เอ่ยว่า “เสียงอย่างกับเป็ดถูกเชือด ถ้ามีค่ายเพลงติดต่อหล่อนมาจริงๆ ฉันจะช่วยซื้อซักแผ่นก็แล้วกัน จะเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก แผ่นสุดท้ายของค่ายนี้ เพราะถ้าเขาเลือกคนอย่างหล่อนไปดันเป็นนักร้อง ฉันเชื่อ ค่ายนี้อยู่ได้ไม่นานหรอก”

ณดลกลั้นยิ้ม เห็นด้วยกับอรรินเป็นที่สุด และอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างเมื่อผู้จัดการส่วนตัวจัดการฉะนางเอกคนนี้แทนเขาจนหน้าหงาย

เมยาวีเป็นผู้หญิงหน้าตาสวยหวาน รูปร่างกำลังดี ฝีมือการแสดงจัดว่าใช้ได้ แต่นิสัยกระเดียดไปทางนางร้ายมากกว่านางเอก เขาเชื่อว่าเธอจะไปได้เรื่อยๆ ในอาชีพนักแสดงแต่คงไม่ได้พีคมากหากไม่ได้บทดีๆ ช่วยส่ง แต่ถ้าจะหันเหไปเป็นนักร้อง ทายอนาคตได้เลยว่านอกจากไม่ได้เกิดแล้วยังมีสิทธิ์ดับอนาถอีกด้วย



เสียงฟ้าร้องครืนครั่นสลับกับฟ้าแลบแปลบปลาบและสายฝนที่ตกปรอยๆ ภายนอกตัวอาคารทำให้หญิงสาวรู้สึกหวั่นกับชะตาชีวิตของตัวเอง เธอมองนาฬิกาติดผนัง ตอนนี้สามทุ่มครึ่งแล้ว ณดลกับอรรินยังไม่แวะมา เธอภาวนาให้พวกเขาอย่ามา เพราะหากเจอกันอีกคืนนี้ เธอไม่แน่ใจว่าจะยังปกปิดความลับเอาไว้ได้ สุดท้ายเธอคงถูกณดลจับตัวส่งตำรวจแน่ คิดผิดจริงๆ ที่ไม่เรียกค่าทำขวัญเป็นเงิน

หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ มองไปทางพยาบาลพิเศษ ฝ่ายนั้นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟา เธอจึงถามว่า “วันนี้คุณแอ๋วจะแวะมาเยี่ยมหนูรึเปล่าคะ”

เมื่อได้อยู่ด้วยกันหลายวันสรรพนามของพยาบาลกับคนป่วยจึงเปลี่ยนไปพร้อมความคุ้นเคยที่มากขึ้น

ฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ “เห็นว่าจะมาตอนดึกหน่อยนะจ๊ะ วันนี้เธอไปทำงานต่างจังหวัดน่ะ น้องมีอะไรรึเปล่า หรืออยากให้พี่ช่วยติดต่อคุณแอ๋วให้”

“ไม่ค่ะ แค่ถามดูเฉยๆ แต่...เอ่อ...หนูหิวน่ะค่ะ อยากกินบะหมี่จังเลย ที่นี่มีขายรึเปล่าคะ” เธอมองหน้าพยาบาลสาวใหญ่ด้วยแววตามีความหวัง

“สั่งได้จ้ะ โรงพยาบาลนี้มีเกือบทุกอย่างที่โรงแรมมี บะหมี่ใช่มั้ย เดี๋ยวพี่โทร. สั่งให้”

“หนูอยากกินบะหมี่รถเข็นที่เขาขายตามริมถนนตอนกลางคืนน่ะค่ะ ไม่รู้ว่าแถวนี้มีรึเปล่า จู่ๆ ก็นึกถึงมันขึ้นมา เหมือนจะนึกอะไรออกเลยถ้าได้กินซะหน่อย”

“จริงเหรอจ๊ะ แสดงว่าน้องอาจจะชอบกินบะหมี่รถเข็นก็ได้นะ ถ้าได้กินอีกอาจจะทำให้นึกอย่างอื่นออกด้วย งั้นเดี๋ยวพี่ลงไปดูให้นะ น้องอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”

ท่าทางพยาบาลดูตื่นเต้นดีใจมากจนเธอรู้สึกผิด พออีกฝ่ายหยิบร่ม เธอก็รีบบอกว่า “ขอบคุณพี่มากนะคะที่ช่วยดูแลหนูอย่างดีมาตลอด”

“ขอบคุณอะไรกันจ๊ะ คุณแอ๋วเธอจ้างพี่มา ถ้าจะขอบคุณก็ไปขอบคุณเธอดีกว่า” พยาบาลพิเศษบอกอย่างเอ็นดูก่อนจะออกจากห้องไปพร้อมร่ม อรรินให้เงินเธอเก็บไว้สำหรับซื้อของใช้จำเป็นหรือของกินที่คนเจ็บอยากกิน ดังนั้นเรื่องไปหาซื้อบะหมี่มาให้หญิงสาวจึงไม่เป็นปัญหา

คล้อยหลังพยาบาลไปอึดใจใหญ่ๆ คนบนเตียงก็ลุกขึ้น เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเอาชุดเก่าของตัวเองออกมาเปลี่ยนในห้องน้ำ เพราะแขนขวายังเจ็บอยู่เธอจึงต้องใช้เวลาพอสมควร สิบห้านาทีผ่านไปหญิงสาวก็อยู่ในชุดกางเกงยีนขาเดปสีซีดกับเสื้อยืดสีดำและเสื้อคลุมตัวยาวแบบมีฮูดสีดำ แผลที่หน้าผากยังไม่ตกสะเก็ดเธอจึงไม่ได้แกะผ้าพันแผลออก ส่วนแขนขวาที่ยังใส่เฝือกอ่อนอยู่เธอก็ปล่อยไว้แบบนั้น

หญิงสาวสบตาตัวเองในกระจกเงา ใบหน้าของเธอไร้สีสัน ดวงตาก็แห้งผากไร้ชีวิตชีวาอย่างที่เธอไม่เคยเห็นตัวเองเป็นแบบนี้มาก่อน เห็นแล้วก็สะท้อนใจและหดหู่จนแทบหมดแรง แต่เธอจะหมดแรงอยู่ที่นี่ไม่ได้ ขืนชักช้าผู้ชายหลงตัวเองคนนั้นต้องจับเธอส่งตำรวจแน่ ถึงเวลาต้องรีบไปแล้ว

ร่างบอบบางเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างระมัดระวัง วางกระดาษโน้ตที่เขียนข้อความสุดท้ายไว้บนโต๊ะข้างเตียงโดยมีแก้วน้ำวางทับอีกที จากนั้นก็หยิบรองเท้าผ้าใบที่อยู่ชั้นล่างสุดของตู้ออกมาสวม เลื่อนฮูดขึ้นคลุมศีรษะแล้วก้มหน้าเดินออกไปจากห้องพักฟื้นวีไอพีโดยไม่สบตาใคร

‘หยาดพิรุณ’ ลงลิฟต์มาหยุดที่หน้าตึก มองไปรอบกายไม่รู้จักใครสักคน ความอ้างว้างและเคว้งคว้างเข้าจู่โจมอย่างหนัก เมื่อเดินออกจากโรงพยาบาลแล้วจะไปไหนต่อ เธอยังไม่มีคำตอบให้ตัวเอง

หญิงสาวเดินออกมาท่ามกลางหยาดฝนที่โปรยปราย ลมพัดมาวูบหนึ่งแต่รู้สึกหนาวสะท้านเข้าไปถึงใจ แม้จะกระชับเสื้อคลุมเข้าหากัน ละอองฝนยังเปียกซึมเข้ามาได้อยู่ดี เธอยืนเคว้งที่หน้าโรงพยาบาลหลายอึดใจ ตัดสินไม่ถูกว่าจะไปทางซ้ายหรือขวา มองเห็นป้ายรถเมล์อยู่ฝั่งซ้ายมือจึงเดินไปตามแสงไฟนั้น ยังมีผู้คนนั่งรอรถโดยสารอยู่ประปราย หลายคนยืนหลบฝนอยู่ใต้หลังคาป้ายรถเมล์ บางคนยืนถือร่มห่างออกไป บางคนใส่หูฟังอยู่ในโลกส่วนตัว ไม่มีเสียงพูดคุยให้ได้ยิน ทุกคนล้วนเป็นคนแปลกหน้าและต่างก็มีวิถีทางของตัวเอง

เธอมองภาพนั้นอย่างเศร้าใจ ก่อนจะเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย ดีที่ฝนแค่ตกปรอยๆ เท่านั้น หากเทกระหน่ำลงมาเหมือนฟ้ารั่วเธอคงเปียกไปทั้งตัวก่อนจะเดินถึงป้ายรถเมล์แรก ป้ายที่สองไม่มีคนเลย เธอนั่งลงที่เก้าอี้รอรถ คิดว่าจะรอให้ฝนหยุดตกก่อนค่อยเดินต่อ เพราะขืนยังทำตัวเป็นนางเอกมิวสิกอยู่แบบนี้มีหวังได้เป็นปอดบวมตายแน่ แต่คิดดูอีกที ความตายคงไม่น่ากลัวเท่าความโดดเดี่ยวอ้างว้างที่เธอกำลังเผชิญ ถึงอย่างนั้นเธอก็คงไม่สามารถเดินเข้าไปหามันอย่างกล้าหาญได้จนกว่าจะหมดเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ



พยาบาลสาวใหญ่กลับมาที่ห้องพักฟื้นก็ไม่เห็นคนเจ็บนอนอยู่บนเตียง เธอลองไปดูในห้องน้ำ เมื่อไม่พบแม่สาวผมสั้นอยู่ในนั้นก็เริ่มตระหนก เดินออกไปถามคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครทันสังเกต พอกลับเข้ามาในห้องอีกทีก็รีบตรวจดูเสื้อผ้าและข้าวของ ในตู้เหลือแต่ชุดคนป่วยของโรงพยาบาล ส่วนชุดของหญิงสาวและข้าวของน้อยชิ้นหายเกลี้ยง เธอมองดูนาฬิกาติดผนัง สี่ทุ่มพอดี ต้องรีบส่งข่าวให้เจ้าของไข้รู้โดยด่วน

อรรินรับสายด้วยความแปลกใจระคนตกใจ “ว่าไงนะคะ คนไข้หาย!”

“ใช่ค่ะ น้องเขาบอกว่าอยากกินบะหมี่ ถ้าได้กินอาจจะนึกอะไรออกบ้าง พี่เลยลงไปซื้อให้ พอกลับขึ้นมาน้องเขาก็ไม่อยู่แล้ว เสื้อผ้าข้าวของหายหมด”

ขณะที่พูดสายหญิงสาวก็กวาดตามองไปรอบห้อง จนกระทั่งเห็นกระดาษโน้ตที่ถูกแก้ววางทับไว้จึงชะโงกหน้าไปดู “เอ๊ะ เดี๋ยวนะคะคุณแอ๋ว เหมือนน้องเขาจะทิ้งโน้ตไว้ให้ด้วยค่ะ กระดาษโน้ตนี่พี่เป็นคนหามาให้น้องเขาเอง”

ว่าแล้วก็เอื้อมมือหยิบกระดาษโน้ตมาอ่าน

“ว่ายังไงบ้างคะ กระดาษนั่นเขียนอะไร” อรรินถามอย่างสนใจ

พยาบาลพิเศษอ่านข้อความที่คนเจ็บทิ้งไว้ให้ผู้ว่าจ้างฟัง “ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ ฉันจะไม่รบกวนพวกคุณอีก ขอบคุณที่ช่วยดูแลนะคะ”

“แค่นั้นเหรอคะ?”

“ใช่ค่ะ มีแค่นี้” พยาบาลว่าพลางพลิกกระดาษโน้ตไปมาเพื่อหาข้อความอื่นที่อาจจะมีอีกและทำให้เธอเข้าใจข้อความนี้มากขึ้น แต่ก็ไม่พบอะไร

“งั้นก็ขอบคุณมากนะคะที่โทร. มาบอก เดี๋ยวแอ๋วจะเข้าไปจัดการเรื่องค่ารักษา พี่รออยู่นั่นก่อนแล้วกันค่ะ”

อรรินวางสายจากพยาบาลแล้วต่อสายถึงณดล ซึ่งขับรถตามกันออกมาจากรีสอร์ตที่สวนผึ้งตั้งแต่หนึ่งทุ่ม ตอนนั้นฝนหยุดตกแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็ใกล้ถึงโรงพยาบาลเต็มที แต่ที่กรุงเทพฯ ฝนยังตกปรอยๆ อยู่ การจราจรจึงไม่คล่องตัวเท่าไร

ชายหนุ่มกดรับในเวลาไม่นาน “ว่าไงพี่แอ๋ว”

“ดลไม่ต้องไปโรงพยาบาลแล้วนะ”

คิ้วเข้มเลิกสูง พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ผู้จัดการส่วนตัวบอก ครู่หนึ่งก็ย้อนถาม “ทำไม?”

“คนที่วิ่งตัดหน้ารถดลน่ะ เขาไปแล้ว”

“ไปแล้ว? ไปไหน?” ชายหนุ่มเริ่มงง ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า

“ไม่รู้ น้องเขาหนีออกจากโรงพยาบาล ทิ้งไว้แค่โน้ตสั้นๆ”

อรรินถ่ายทอดข้อความที่แม่สาวผมสั้นทิ้งไว้ให้ณดลฟัง แล้วถามว่า “แล้วดลจะเอาไงต่อ”

นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงสำหรับเขา เขาอยู่บนรถ กำลังมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลเพื่อจะข่มขู่ให้เธอพูดความจริงและยอมจากไปพร้อมเงินแท้ๆ มาเจอคำถามนี้เข้าเลยไม่มีคำตอบ เกิดความเงียบงันขึ้นทั้งสองฝ่าย ก่อนที่อรรินจะทำลายมันลง

“คิดยังไงกับเรื่องนี้ เด็กนั่นหนีไปเพราะไม่ได้ความจำเสื่อมจริงก็เลยกลัวความผิดเพราะดลขู่จะแจ้งตำรวจ หรือเป็นเพราะเธอกลัวตำรวจทั้งที่ยังจำอะไรไม่ได้ก็เลยหนีไปก่อนจะถูกดลจับส่งตำรวจ พี่ว่า...ข้อความนั่นแปลกๆ แล้วท่าทางน้องก็กลัวมากตอนที่ดลขู่จะส่งตัวเขาให้ตำรวจ ตัวสั่นด้วยนะ”

เป็นคำถามที่ตอบยากและทำให้เขาอึดอัดใจมาก บอกเลย!

ชายหนุ่มถอนใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด จมอยู่กับความคิดของตัวเอง

เขาควรโล่งอกที่เธอยอมจากไปง่ายๆ ไม่อยู่สร้างปัญหาต่อ แต่ข้อความที่เธอทิ้งไว้ทำให้ลืมไม่ลง

‘ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ ฉันจะไม่รบกวนพวกคุณอีก ขอบคุณที่ช่วยดูแลนะคะ’

ให้ตาย จะไปทั้งทียังไม่วายสร้างปัญหา ยายเด็กคนนี้นี่

แล้วนี่เขาจะมาสนใจเรื่องของผู้หญิงที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อไปทำไม ลืมๆ เธอไปซะ เรื่องของเธอไม่เกี่ยวอะไรกับเขาซะหน่อย ใช่! ไม่เกี่ยว

เมื่อตัดสินใจได้เด็ดขาด พระเอกฟอร์มจัดก็ตอบไปว่า “จะพูดถึงคนที่จากไปแล้วทำไม เขาอยากไปเองก็ช่างเขาสิ ดีแล้ว ผมจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ แค่นี้นะพี่แอ๋ว ผมเหนื่อย จะรีบกลับไปพัก ช่วยจัดการเรื่องโรงพยาบาลให้ด้วยแล้วกัน”

ณดลชิงตัดสายก่อน ไม่อยากฟังอะไรที่จะทำให้เขาไขว้เขวไปมากกว่าเดิม บอกตัวเองว่าดีแล้วที่เรื่องจบแบบนี้ คิดซ้ำๆ เหมือนจะกล่อมให้ตัวเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แต่ไม่รู้ทำไม แทนที่จะหาสะพานเลี้ยวกลับห้องพัก เขากลับขับอ้อมมาเฉียดหน้าโรงพยาบาลเฉย

ชายหนุ่มขับรถช้าๆ นัยน์ตาคู่คมกวาดมองทั้งสองข้างทางขณะที่รถเคลื่อนผ่านหน้าโรงพยาบาล พอถึงป้ายรถเมล์แรกก็เหลือบตามองไปที่กลุ่มคนซึ่งยืนหลบฝนอยู่ใต้หลังคา ไม่มีใครคุ้นตาเลย เขาขับรถต่อไปพลางระบายลมหายใจเชื่องช้า พอรู้ตัวว่ากำลังทำเรื่องประหลาดที่สุดอยู่จึงเร่งความเร็วขึ้นเท่าที่ถนนจะอำนวย

“กลับห้อง พักผ่อน” เขาเตือนตัวเองพลางกลอกตาเซ็ง



หญิงสาวจมอยู่ในความอ้างว้างนานเท่าไรไม่รู้ตัว จนกระทั่งรู้สึกชาที่เท้าเพราะโดนเหน็บกิน เธอย่ำเท้าอยู่กับที่ขับไล่อาการชา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นถนนลอยฟ้า สถานีรถไฟฟ้าคงอยู่ไม่ไกล เธอคงจะอาศัยหลบฝนในคืนนี้ได้ ร่างเล็กบางขยับลุก เดินต่อไปอย่างมีความหวัง

ตึกสูงที่เดินผ่านติดจอแอลอีดีเอาต์ดอร์ขนาดใหญ่ ภาพเคลื่อนไหวบนจอคือโฆษณารถยนต์นำเข้ายี่ห้อหนึ่ง พรีเซ็นเตอร์เป็นผู้ชายร่างสูงสุดเท่ในชุดสีดำ นัยน์ตาคมแฝงแววขุ่นมัวที่ยากจะละสายตากำลังจ้องมองคนดูราวกับร่ายมนตร์สะกดให้คนเหล่านั้นควักกระเป๋าจ่ายเพื่อรถรุ่นเดียวกับที่เขากำลังขับอยู่

หยาดพิรุณเลิกเดินก้มหน้า เธออยากทำความคุ้นเคยกับกรุงเทพฯ ที่จากไปนาน แต่พอเงยหน้าขึ้นก็สบตากับผู้ชายร่างท้วมในเครื่องแบบตำรวจ หญิงสาวชะงัก ใจหล่นวูบ อาจเพราะท่าทีที่ดูมีพิรุธของเธอทำให้อีกฝ่ายมองตอบมาด้วยความสนใจและสงสัย

หญิงสาวเริ่มตัวสั่น สั่งตัวเองให้ควบคุมสติ แต่ขามันไปไวกว่าสมอง เธอหันหลังกลับ ออกแรงวิ่งเต็มฝีเท้า นั่นคือสัญญาณที่ทำให้ตำรวจนายนั้นตื่นตัว

“เฮ้ย! วิ่งทำไม หยุดนะ!”

ไม่เพียงส่งเสียงข่มขู่ เขาซอยเท้าตามด้วยสัญชาตญาณของตำรวจ เป็นอีกครั้งที่เธอหลับหูหลับตาวิ่งหนีสุดชีวิต

แล้วก็เหมือนเหตุการณ์วนกลับมาที่จุดเริ่มต้น หญิงสาววิ่งพรวดพราดออกไปกลางถนน หมายจะหนีไปอยู่คนละฝั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ยากแก่การติดตาม รถยนต์คันหนึ่งวิ่งตรงมา เธอหันไปด้วยความตกใจ แสงไฟหน้ารถสาดใส่ดวงตาจนพร่ามัวและหยุดเธอไว้เหมือนต้องคำสาป เสียงล้อรถเสียดถนนดังลั่นบาดแก้วหู หัวใจเธอเหมือนหยุดเต้น

“บ้าเอ๊ย! อยากตายรึไงฮะ?” ณดลเอ็ดตะโรลั่นเมื่อควบคุมรถได้ด้วยการเหยียบเบรกเต็มฝีเท้าและทำให้เขาหัวสั่นหัวคลอนอยู่ในรถ ถ้าไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัยก็มีสิทธิ์พุ่งออกไปทางกระจกหน้าเหมือนกัน พอเหลือบมองร่างที่ยืนนิ่งด้วยท่ายกแขนขึ้นป้องกันตัวเอง เขาก็ชะงักเหมือนโดนคำสาปเดียวกับคู่กรณี

“ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย?” ชายหนุ่มพึมพำด้วยคำติดปากของตัวเองขณะนั่งอึ้งอยู่หลังพวงมาลัย









Create Date : 15 กันยายน 2557
Last Update : 19 เมษายน 2558 22:31:42 น. 1 comments
Counter : 1151 Pageviews.

 
เหอะๆๆ คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน


โดย: sakeena IP: 124.120.190.232 วันที่: 16 กันยายน 2557 เวลา:11:24:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ระตา
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




รู้สึกอยู่เสมอว่าการได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คือความมหัศจรรย์...และการอ่านออกเขียนได้คือรางวัลของชีวิต...
Friends' blogs
[Add ระตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.