Group Blog
 
 
กันยายน 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
12 กันยายน 2557
 
All Blogs
 
พิรุณรัญจวน - 2 - ฤดูฝน




ตอนที่ 2 ฤดูฝน

เสียงโทรศัพท์มือถือกรีดร้องฉุดคนที่กำลังหลับพักผ่อนให้ผวาตื่น ร่างใหญ่พลิกตัวนอนตะแคงพร้อมหยิบหมอนมาปิดหูอย่างหงุดหงิด เขาปล่อยให้เสียงเรียกเข้าเงียบไปเอง แต่สักพักโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นแทน ณดลถอนใจเฮือก ก่อนจะยอมลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน เอื้อมมือคว้าโทรศัพท์มาแนบหู

“ว่าไงพี่แอ๋ว”

“รู้เหมือนกันนี่ว่าใครโทร. มา อย่ามางอแงนะ วันนี้ชิลมาก ดลมีนัดวัดตัวตัดชุดสำหรับใช้ในงานโฆษณาตอนบ่ายสามโมง ขับรถไปห้องเสื้อพิจิกาเลยนะ พี่ส่งแผนที่เข้ามือถือให้ละ วันนี้ฉายเดี่ยวนะจ๊ะ พี่จะเข้าไปคุยกับช่องเรื่องละครใหม่ของดล อ้อ วันนี้คุณหญิงอรอุษามาด้วยนะ เพราะฉะนั้นอย่าสาย บายจ้ะ”

ชายหนุ่มกลอกตาเซ็ง คงเป็นเพราะเมื่อคืนเขามัวแต่หงุดหงิดยายเด็กหัวหมอคนนั้นจนนอนไม่หลับ วันนี้เลยไม่สดชื่นแถมยังรู้สึกขี้เกียจอย่างบอกไม่ถูก แต่พอนึกได้ว่าคิวงานวันนี้จะทำให้เขาได้เจอเพื่อนสนิทคนเดียวที่มีจึงอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย

ณดลสะบัดผ้าห่มออกแล้วเดินเข้าห้องน้ำที่ไม่มีประตูเปิดปิด นี่เป็นความต้องการของเขาเอง ชายหนุ่มให้ช่างมาทุบกำแพงห้องน้ำ และออกแบบใหม่โดยการควบคุมของสถาปนิกที่มีชื่อเสียง ดังนั้นแม้ห้องชุดของเขาจะกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของทั้งชั้น แต่ก็มีห้องน้ำแค่ห้องเดียว ซึ่งมันยังอยู่ในห้องนอนของเขาอีกด้วย

อรรินเคยบ่นว่าไม่ชอบมาคุยธุระหรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ห้องของเขา เนื่องจากมาแล้วก็เสียเวลา ต้องรีบกลับทุกทีเพราะไม่มีห้องน้ำสำหรับแขกจึงอยู่นานนักไม่ได้

ชายหนุ่มอมยิ้มแทนคำตอบ นี่แหละคือจุดประสงค์ในการทำห้องน้ำใหม่ของเขา เขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัว ต่อให้เป็นผู้จัดการส่วนตัวก็เถอะ เรื่องงานก็ควรจะคุยข้างนอก อยากสังสรรค์ก็นัดกันที่ผับหรือร้านอาหาร ห้องพักควรจะเป็นห้องสำหรับการพักผ่อนเท่านั้น และมันยังเป็นสถานที่เก็บความลับของเขาด้วย เขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องนี้



ณดลขับรถออดี้สีแดงเข้ามาในลานจอดรถด้านหลังห้องเสื้อพิจิกา หลังจากได้ข้อสรุปว่าไม่ต้องแจ้งความเรื่องผู้หญิงที่กระโดดตัดหน้ารถเขาแล้ว เขากับอรรินจึงกลับมาใช้รถของตัวเองตามเดิม

ชายหนุ่มมาถึงช้ากว่าเวลานัดเล็กน้อย เขาผลักประตูร้านเข้ามาก็เจอคุณหญิงอรอุษากับหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาดีจัดนั่งรอที่ชุดรับแขกมุมหนึ่งจึงเดินเข้าไปหา

พนักงานสาวๆ ในร้านที่เดิมทีแอบเมียงๆ มองๆ อัยการอยู่นาน เพราะชายหนุ่มเป็นหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างก็สูงใหญ่สะดุดตาไม่ต่างจากนายแบบ แต่พอเห็นผู้ชายร่างสูงแต่งตัวดี สวมแว่นดำอย่างเท่เดินเข้ามาก็พากันมองตามจนคอแทบเคล็ด แล้วพูดจากระซิบกระซาบกันเบาๆ เพราะรู้ก่อนแล้วว่าวันนี้ณดลจะมาวัดตัวตัดชุด และพอเขาปรากฏตัวก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเธอจะไม่ทุ่มเทความสนใจให้

อัยการมีรูปร่างหน้าตาที่ดีพอฟัดพอเหวี่ยงกับพระเอกหนุ่ม หรืออาจจะหน้าตาดีกว่าถ้าเทียบสัดส่วนบนใบหน้าแบบชิ้นต่อชิ้น เพราะเขาได้รับการผสมผสานระหว่างเชื้อชาติตะวันออกกับตะวันตกมาอย่างลงตัว ในขณะที่ณดลเป็นคนเอเชียแท้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ชาวตะวันตก ทว่าหากเทียบแรงดึงดูดระหว่างสองหนุ่มแล้ว ณดลจัดว่าเป็นผู้ชายที่มีแรงดึงดูดสูงมาก ทำให้คนที่อยู่ใกล้เขามักจะเฉาเอาง่ายๆ แม้แต่ผู้ชายหน้าตาดีจัดอย่างอัยการก็ตาม

ไม่ว่าณดลจะอยู่ในอิริยาบถไหนก็ดึงดูดสายตาผู้คนไว้ราวกับต้องมนตร์ ขนาดเขาตวัดสายตามองใครสักคนอย่างไม่พอใจยังทำให้สาวๆ กรี๊ดได้เลย กับเรื่องแบบนี้ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นแต่เขาก็ทำให้มันเกิดขึ้นได้ และเมื่อประกอบกับเสน่ห์ทางด้านการแสดงแล้วยิ่งทำให้ณดลโดดเด่นกว่าใคร นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มแจ้งเกิดตั้งแต่บทตัวร้ายในละครเรื่องแรก พอมารับบทพระรองในเรื่องที่สอง พูดได้ว่าชายหนุ่มฆ่าพระเอกด้วยเสน่ห์ที่กระจุยกระจายของเขาจนอีกฝ่ายไม่ได้เกิด แล้วก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกเต็มตัวในละครเรื่องที่สาม

หลังจากนั้นกระแสของพระเอกนัยน์ตาขมคนนี้ก็แรงเว่อร์จนฉุดไม่อยู่ แม้จะมีข่าวด้านลบมาสกัดดาวรุ่งอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่ทำให้คะแนนนิยมในใจคนดูลดน้อยลง อาจมีสั่นคลอนบ้างแต่หากได้เห็นณดลโลดแล่นบนจอ ทุกคนจะลืมหมดว่าเขาคือณดล แต่จะจดจำชายหนุ่มในบทบาทที่เขาแสดงได้อย่างไม่มีวันลืมลง

คุณหญิงอรอุษามองตามสายตาสาวๆ ไปก็เจอพระเอกคนดังเข้าพอดี เธอจำเขาได้ทันทีจึงรีบโบกมือทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

“สวัสดีครับคุณน้า” เขาไหว้ผู้สูงวัยที่ถ้าหากไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวแล้วคงคิดว่าหม่อมราชวงศ์อรอุษาอายุราวสี่สิบต้นๆ เพราะยังสวยพริ้ง รูปร่างดี ดูอ่อนกว่าวัยมาก

“หวัดดีจ้ะดล นั่งก่อนสิจ๊ะ วันนี้คุณแอ๋วมาไม่ได้ใช่มั้ย ทำงานคนเดียวลำบากแย่เลยนะ” คุณหญิงทักทายพระเอกหนุ่มที่เป็นเพื่อนซี้กับลูกชายของเธออย่างเป็นกันเอง

“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ วันนี้แค่มาวัดตัวตัดชุดเท่านั้น”

“งั้นสองหนุ่มคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวน้าขอไปโทร. หานางเอกโฆษณาก่อน จะได้ทำความรู้จักกันเอาไว้” ว่าแล้วก็ลุกไปคุยโทรศัพท์อีกมุมหนึ่ง

“ไง ไม่คิดจะทักทายเพื่อนหน่อยเหรอครับคุณอัยการ” พระเอกหนุ่มทักเพื่อนพร้อมรอยยิ้มขี้เล่นที่แทบจะไม่มีใครเคยเห็น ถ้าไม่สนิทจริงๆ ก็คงได้แค่จินตนาการ เพราะบทบาทในจอแก้วที่ผู้ชมเห็นจนชินตาณดลไม่ใช่หนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดี เขาตีบทแตกกระจุยเมื่อต้องสวมวิญญาณพระเอกมีปม ขมขื่น และชังโลก มันเหมือนเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาไปแล้ว

หนุ่มลูกครึ่งละสายตาจากหน้าจอมือถือ เหลือบตาขึ้นมองพระเอกหนุ่มสุดหล่อขวัญใจสาวๆ ทั้งประเทศอย่างไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลย เขากำลังเช็กอีเมลเรื่องงานจึงไม่ได้สนใจเพื่อนตั้งแต่แรก งานโฆษณาที่จะแสดงร่วมกันนี้ก็ด้วย เขาไม่ได้อยากทำแต่มันมีเหตุจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้

“เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เรย์แบนตั้งแต่เมื่อไหร่” อัยการแขวะเพื่อนที่ไม่ยอมถอดแว่นกันแดดออกแม้จะเข้ามาอยู่ในห้องเสื้อพิจิกาแล้ว ต้องยอมรับว่าแว่นกันแดดแบรนด์ดังยิ่งชวนให้ควักเงินซื้อเมื่อเห็นมันวางอยู่บนดั้งคมๆ ของพระเอกจอมขวางคนนี้

“นายก็ว่าเหมาะใช่มั้ยล่ะ” พระเอกหนุ่มรับมุกพร้อมกับยิ้มเก๋

อัยการแสร้งกลอกตา แต่นัยน์ตาสีเทาเข้มของเขามีแววขบขันมากกว่าจะหมั่นไส้จริงจัง

สาวๆ ที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ต้อนรับพากันกรี๊ดกร๊าดแบบไม่มีเสียง เพราะจับตามองณดลตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาแล้ว ภาพแบบนี้ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ แต่พิจิกาสั่งไว้ ห้ามขอถ่ายรูปหรือขอลายเซ็นพระเอกหนุ่มเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะถือเป็นความผิดที่ต้องถูกลงโทษด้วยการหักเงินเดือน

เรื่องนี้อรรินคุยกับเจ้าของห้องเสื้อเอง เพราะรู้จักพระเอกจอมเรื่องมากคนนี้ดี ณดลไม่ชอบแจกลายเซ็นหรือถ่ายรูปกับใครพร่ำเพรื่อ ถ้าไม่ใช่คำสั่งจากผู้ใหญ่ในช่อง หรือไปออกงานอีเว้นต์ที่มีค่าตอบแทนก็อย่าหวังจะได้ลายเซ็นพร้อมรูปถ่ายของพระเอกเทวดาเลย คนอย่างเขาไม่ชอบทำอะไรให้ใครฟรีๆ

ณดลรู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องเขา ชายหนุ่มรู้ว่าหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้ แต่เขาก็อยากปรึกษาบางอย่างกับเพื่อนจึงคิดจะชวนอัยการหลบไปหามุมสงบคุยกัน พอดีกับที่คุณหญิงเดินกลับมาสมทบและบอกว่าให้พวกเขาขึ้นไปวัดตัวตัดชุดตอนนี้เลย นางเอกจะตามมาทีหลัง

“เดี๋ยวหนูยิหวามาถึงแล้วน้าจะพาไปแนะนำตัวกับดลนะจ๊ะ รับรองว่านางเอกคนนี้สวยไม่แพ้นางเอกมืออาชีพเลยทีเดียว” คุณหญิงการันตีพร้อมรอยยิ้มเชื่อมั่น ก่อนจะรุนหลังสองหนุ่มให้ขึ้นไปที่ชั้นบนเพื่อวัดตัวตัดชุด



ราวหนึ่งชั่วโมงต่อมาการวัดตัวทั้งสองหนุ่มก็แล้วเสร็จ คุณหญิงแวะมาส่งข่าวว่าหวันยิหวามาถึงแล้วและกำลังวัดตัวอยู่อีกห้อง เสร็จแล้วจะพามาทำความรู้จักกับณดล

“รอไม่นานหรอกจ้ะ ทั้งสองคนอย่าเพิ่งไปไหนนะ เดี๋ยวน้าจะพานางเอกมาให้ดลดูตัว หนูยิหวาน่ารักมาก รับรองว่าดลจะไม่ผิดหวังเลย”

คล้อยหลังมารดาเพื่อนไปแล้วณดลเลยหันไปมองหน้าอัยการพร้อมรอยยิ้มขบขัน “ได้ยินว่านางเอกของฉันเป็นนางเอกใหม่แกะกล่อง แม่นายชมไม่ขาดปากเลย สงสัยจะปลื้มมากจริงๆ ชักอยากเห็นหน้าแล้วสิ”

“อย่ายุ่งน่า แค่ทำหน้าที่ของนายก็พอ”

พระเอกหนุ่มเลิกคิ้ว คิดว่าอัยการกำลังทำหน้าบึ้งอย่างไม่มีเหตุผล เขาจึงหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด “หวงซะด้วย อย่าบอกนะว่านางเอกคนนี้กำลังจะแย่งนายไปจากฉัน”

ณดลโน้มใบหน้าเข้าไปจ้องตาอัยการแบบเฟซทูเฟซจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน อีกฝ่ายแยกเขี้ยว ผลักอกเพื่อนรักจนหงายหลัง แต่คนอย่างณดลไม่ยอมเจ็บตัวคนเดียว เขาคว้าหมับที่ปกเสื้อเชิ้ตของเพื่อนให้ล้มลงไปด้วยกัน ทำให้ข้าวของในห้องร่วงกระจาย ส่วนใหญ่เป็นผ้าที่รอการตัดเย็บ แย่หน่อยที่เขาดันอยู่ด้านล่าง พอถูกเพื่อนล้มทับลงมาเลยเผลอเอาศอกยันพื้น เจ็บจี๊ดเหมือนกระดูกจะร้าว โชคยังดีที่มีกองผ้ารองรับแรงกระแทกไว้ส่วนหนึ่ง

“เล่นบ้าๆ” หนุ่มลูกครึ่งบ่นพลางขยับตัวลุกขึ้น ก่อนจะต้องนิ่งงันไปเมื่อเหลือบเห็นคนที่กำลังเอามืออุดปากตัวเองและจ้องมองมาที่เขากับณดลตาไม่กะพริบ

พระเอกหนุ่มนิ่วหน้า กำลังจะบ่นเพื่อนที่ดันผลักให้เขาลงมากองอยู่ด้านล่างเลยเป็นฝ่ายเจ็บตัวมากกว่า แต่เหลือบไปเห็นอาการช็อกของสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างประตูก่อนก็เลยยั้งปากทัน ความผ่อนคลายและเป็นกันเองเมื่ออยู่กับเพื่อนสนิทหายวับไปทันที

“ขะ...ขอโทษค่ะ ยิหวาไม่ได้ตั้งใจ ตะ...ตามสบายเลยนะคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักแล้วหันหลังวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว

คำแทนตัวของเธอทำให้ณดลรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นก็คือหวันยิหวา นางเอกโฆษณาของเขานั่นเอง

“สงสัยจะเข้าใจผิดอีกรายแล้วว่ะ ซวยฉิบ!” คนเจ็บบ่นงึมงำแต่ไม่ได้เครียดกับการที่จะมีใครอีกสักคนเข้าใจเขากับอัยการผิดๆ แต่ดูเหมือนเพื่อนของเขาจะซีเรียส...อย่างมาก

“รออยู่นี่ เดี๋ยวมา”

อัยการวิ่งตามหญิงสาวคนนั้นไปแล้ว ณดลเลิกคิ้ว พยายามนึกถึงใบหน้าตื่นตะลึงของหวันยิหวาเมื่อครู่นี้ก็พบว่าเธอเป็นสาวสวยใช้ได้ทีเดียว

หรือผู้หญิงคนนี้จะมาแย่งอัยการไปจากเขาจริงๆ?



เสียงโทรศัพท์กรีดร้อง อรรินชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน หยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอ เป็นเบอร์ของหม่อมราชวงศ์อรอุษา สิรารมย์ หญิงสาวขมวดคิ้ว นึกเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะโทร. ตามตัวณดลก็ได้ เพราะตอนที่เธอโทร. ไปปลุกท่าทางเขางอแงอยู่เหมือนกัน จึงเตรียมคำแก้ตัวสารพัดไว้ในหัว แต่พอรับสายจริงๆ คุณหญิงกลับถามไปอีกอย่าง เล่นเอาตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว

“ว่าอะไรนะคะคุณหญิง เมื่อคืนดลอยู่ที่โรงพยาบาลรึเปล่า...เหรอคะ?”

แย่แล้ว คุณหญิงรู้เรื่องนี้ได้ยังไงนะ?

“ใช่จ้ะ ตกลงว่ายังไงเอ่ย ดลไม่สบายต้องไปตรวจเช็กร่างกายที่โรงพยาบาลหรือว่าไปเยี่ยมใครรึเปล่า ฉันถามเผื่อไว้เท่านั้นแหละ ถ้าเขาไม่สบายฉันจะได้รู้เอาไว้ อาทิตย์หน้าต้องขึ้นไปถ่ายโฆษณาที่เชียงใหม่กันแล้วด้วย ไม่อยากให้มีอะไรติดขัดน่ะจ้ะ งานค่อนข้างเร่ง”

อรรินคิดหาคำตอบอยู่ครู่หนึ่งก็รีบบอกเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนไม่มีอะไร “ดลสบายดีค่ะคุณหญิง ไม่เจ็บไม่ป่วยอะไรเลย เขาแทบไม่เคยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยซ้ำ ที่สำคัญเมื่อคืนดลเข้านอนแต่หัวค่ำค่ะ ไม่มีทางไปโผล่ที่โรงพยาบาลไหนได้เด็ดขาด แอ๋วเอาหัวเป็นประกันเลยนะคะ เพราะเมื่อคืนยังคุยกับดลอยู่เลย เขาบอกว่าเหนื่อยอยากนอนเร็ว ขอปิดมือถือตั้งแต่สองทุ่มแน่ะ เขาไม่อยากให้ใครโทร. กวนน่ะค่ะ”

“อ้อ งั้นเหรอจ๊ะ ก็แล้วไปเถอะ ฉันมีเรื่องอยากรู้แค่นี้แหละ บายจ้ะ”

แล้วคุณหญิงก็วางสายไปเลย อรรินปาดเหงื่อ คิดว่าคงต้องคุยเรื่องนี้กับณดลเสียแล้ว



ณดลรออยู่ในห้องวัดตัวได้พักใหญ่ก็ไม่เห็นจะมีใครกลับมาสักทีเลยตัดสินใจเดินออกไปดู เขาไม่เจอคนรู้จักแม้แต่คนเดียวจึงหันไปถามพนักงานแถวนั้น พออีกฝ่ายบอกว่าเห็นหวันยิหวากับอัยการวิ่งออกไปนอกร้านจึงเดินตามออกไปบ้าง เขาเห็นหวันยิหวานั่งอยู่บนขอบกำแพงเตี้ยๆ ที่ใช้เป็นแนวแบ่งเขตร้านจึงเดินแกมวิ่งเข้าไปหา

“นายอัยไปไหนแล้วครับ?” เขาถามพลางจ้องหน้าเธออย่างรอคอยคำตอบ

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาสับสน “เขา...ไม่ได้กลับเข้าไปข้างในเหรอคะ”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว คำตอบปรากฏออกมาในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่คำพูด รถยนต์นำเข้าคันหรู ป้ายทะเบียนคุ้นตาแล่นออกมาจากลานจอดรถด้านหลังห้องเสื้อ คนขับคืออัยการ ชายหนุ่มพารถเคลื่อนตัวจากไปในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

“จะรีบไปไหนของมันวะ?” ณดลบ่นเซ็งๆ ตกลงเรื่องที่จะขอคำปรึกษาก็เลยไม่ต้องพูดกัน เฮ้อ!

“เมื่อคืนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาลรึเปล่าคะ”

คำถามของผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกทำให้ชายหนุ่มชะงักกึก หันมาสบตาเธอด้วยความประหลาดใจแกมระวังตัว “คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”

หวันยิหวาถอนใจเฮือก สีหน้าหดหู่อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งณดลไม่เข้าใจเลย แต่เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะใส่ใจ

“ผมถามว่าคุณไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ใครบอก?” เขาถามซ้ำอย่างฉุนเฉียว แววตาที่มองเธอไม่หลงเหลือความเป็นมิตรอีกต่อไป

หญิงสาวผงะถอยหลังไปสองก้าวด้วยความตกใจกับท่าทีคุกคามของนักแสดงหนุ่ม

ณดลจ้องมองเธอด้วยสายตาคาดคั้น เน้นเสียงหนักและชัดเจนทุกพยางค์ “ผมถามว่าคุณ...”

“มาอยู่ที่นี่กันเองเหรอจ๊ะ น้าตามหาแทบแย่แน่ะ”

เสียงแจ้วๆ ของคุณหญิงอรอุษาหยุดณดลไว้เพียงเท่านั้น เขาถอยกลับมา เว้นระยะห่างจากหวันยิหวาสามก้าว และวางสีหน้าเรียบเฉย หากแววตาน่ากลัวจนหญิงสาวไม่กล้ามองสบ

“รู้จักกันแล้วใช่มั้ยจ๊ะ งั้นดีเลย นี่ก็เย็นแล้วนะ เราไปนั่งทานข้าวแล้วคุยกันไปด้วยดีกว่า ตาอัยบอกว่ามีธุระด่วนอะไรก็ไม่รู้ นี่เล่นขับรถออกไปแล้วค่อยโทร. มาบอก ไม่งั้นน้าจะรั้งเขาไว้ให้ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อน ไปๆ วันนี้หัวหมุนทั้งวัน ชักจะหิวขึ้นมาแล้วสิ” คุณหญิงมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ได้รู้เลยว่าสองหนุ่มสาวกำลังเคร่งเครียดกันเพียงใด

“ขอบคุณมากนะครับคุณน้า แต่วันนี้ผมต้องขอตัวก่อน มีงานต่ออีกที่นึง ผมกับคุณหวันยิหวามีเวลาทำความรู้จักกันอีกมาก เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะครับ” ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างสุภาพ สีหน้าและแววตาเป็นปกติทุกอย่าง สมกับที่เป็นนักแสดงมืออาชีพ

“เอ๊ะ ไม่เห็นคุณแอ๋วบอกน้าเลยนี่จ๊ะ”

“พี่แอ๋วคงลืมน่ะครับ งั้นผมขอตัวเลยแล้วกัน แล้วพบกันนะครับคุณหวันยิหวา”

ณดลไหว้ผู้สูงวัยก่อนจะหันมาร่ำลาหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หวันยิหวาต้องเสียวสันหลังวาบ

หวันยิหวารู้เรื่องที่เขาอยู่โรงพยาบาลได้อย่างไร มีใครเห็นหรือมีใครเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง หรือจะเป็นแม่สาวความจำเสื่อมหัวหมอนั่น เขาลืมเดาจุดประสงค์ที่เธอกระโดดตัดหน้ารถเขาไปอีกอย่าง เธออาจจะเป็นนักข่าวของนิตยสารกอสซิปดาราฉบับใดฉบับหนึ่งก็ได้ เลยต้องพยายามเอาตัวเข้ามาใกล้ชิดเขาเพื่อหาข้อมูล

อย่าให้จับได้เชียวนะว่าเป็นแบบนี้จริงๆ เขาเอาคืนอย่างสาสมแน่ คอยดูก็แล้วกัน!



ณดลโทร. หาอรริน เล่าเรื่องที่หวันยิหวารู้ว่าเขาอยู่โรงพยาบาลเมื่อคืนให้ฟังพร้อมบอกข้อสันนิษฐานใหม่ที่อาจเป็นไปได้

“ดลคิดว่าน้องคนนั้นเป็นนักข่าวเหรอ?”

“ก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอครับ ผมจะไปโรงพยาบาล พี่แอ๋วเคลียร์ทางให้ด้วยแล้วกัน” เขาบอกเรียบๆ ตอนนี้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถแล้ว เขาคงจะบุกไปเค้นคอแม่สาวคนนั้นโดยไม่บอกอรรินด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่ายังต้องการความช่วยเหลือจากเธอในการกำจัดพยาบาลพิเศษออกไปจากห้อง

“อืม...มันก็น่าสงสัยจริงๆ น่ะแหละ วันนี้คุณหญิงอรอุษาก็โทร. มาถามว่าเมื่อคืนดลเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลรึเปล่า จู่ๆ ก็ถามเรื่องนี้ พี่กำลังจะคุยกับดลอยู่เหมือนกัน งั้นเดี๋ยวพี่โทร. บอกพยาบาลพิเศษว่าไม่ต้องเฝ้าเด็กนั่นซักชั่วโมงก็แล้วกัน นี่พี่ออกจากตึกใหญ่แล้ว จะรีบตามไปสมทบนะ จะได้คาดคั้นให้รู้เรื่องไปเลย”

ชายหนุ่มตัดสายก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวลาด้วยซ้ำ

“แม่นายอัยด้วยเหรอ เรื่องนี้มันยังไงกันแน่?” คิ้วเข้มขมวดมุ่น ความเครียดแล่นพล่านอยู่ในกระแสเลือด เขาต้องจับให้ได้เลยว่ายายเด็กนั่นเป็นใคร จำอะไรไม่ได้จริงหรือไม่ แล้วมาวิ่งตัดหน้ารถเขาเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่

“เดี๋ยวเราได้เห็นดีกัน!” ณดลพึมพำลอดไรฟันก่อนจะพารถคู่ใจทะยานออกไปจากลานจอดราวกับพายุ



เสียงประตูถูกผลักเข้ามาอย่างแรง หญิงสาวหันขวับ ก่อนจะถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเขาเลื่อนฮูดลงจากศีรษะ ผู้ชายที่เธอกระโดดตัดหน้ารถเขานั่นเอง แต่เขามาทำไม เธอนึกว่าจะได้เจอกันอีกทีวันที่ออกจากโรงพยาบาลโน่นเลย เพราะท่าทางเขาแสดงออกชัดว่าไม่ได้อยากเจอเธอบ่อยนัก

ชายหนุ่มปั้นหน้าเครียด กอดอกมองคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาราวกับเครื่องซีทีสแกน อยากจะมองให้เห็นถึงอวัยวะภายในทุกชิ้นของเธอถ้าทำได้

“คุณมีปัญหาอะไรกับฉันเหรอคะ” ในที่สุดเธอก็เป็นฝ่ายถามเพราะทนอึดอัดกับสายตาจับผิดของเขาไม่ไหว

ดวงตาของผู้ชายคนนี้คล้ายมีแรงดึงดูดบางอย่างที่มองไม่เห็น เธออธิบายไม่ถูก อาจเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเขามีดวงตาที่คล้ายคลึงกับเจมส์ ดีน ดวงตาที่ทำให้คนมองหลงใหลและเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปหาเจ้าของดวงตาเพียงแค่สบตากันในเสี้ยววินาที ถ้าเผลอมองนานๆ เขาอาจจะสะกดเธอให้พูดความจริงออกมาก็ได้

“เธอเป็นนักข่าวใช่ไหม?”

เขาเท้าสะเอว ใช้เสียงเข้มงวดเหมือนกำลังสอบสวนนักโทษ ใช้ดวงตาที่ใครก็บอกว่าสื่ออารมณ์ได้ดียิ่งกว่าคำพูดนับพันข่มขู่ให้อีกฝ่ายกลัว “ที่กระโดดตัดหน้ารถฉันแล้วแกล้งความจำเสื่อมก็เพราะอยากเอาตัวเข้ามาใกล้ชิดเพื่อหาข้อมูลไปทำข่าว ฉันพูดถูกรึเปล่า?”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ รู้สึกทึ่งและสตั๊นไปราวสามวินาที

ให้ตาย นี่เขาคงคิดว่าตัวเองเป็นเจมส์ ดีนจริงๆ สินะ ช่างเป็นผู้ชายที่เหลือเชื่ออะไรอย่างนี้!

“เรื่องของคุณสนุกดีนะคะ คุณเป็นนักเขียนใช่มั้ย” เธอรวนกลับบ้าง ดวงตาใสซื่อมีรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับกำลังสนุกกับนิยายของเขา

ณดลไม่เคยรู้สึกว่าอยากจะหักคอใครมากขนาดนี้มาก่อน ใบหน้าเรียวละมุนที่ประกอบด้วยเครื่องหน้าจิ้มลิ้มเหมือนเด็กสาวที่ไร้พิษภัย แต่ทำไมเขาเชื่อไม่ลงว่าเธอไร้เดียงสา แถมยังรู้สึกว่าตัวตนจริงๆ ของเธอน่าจะแสบไม่เบาเสียด้วย

เขาถอนใจยาว ถามอีกครั้งอย่างใช้ความอดทน “นี่เธอจะบอกว่าไม่รู้จักฉันจริงๆ ใช่มั้ย?”

คำถามนั้นทำให้หญิงสาวชะงัก เธอรู้สึกถึงความโกรธ สัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดที่สะท้อนออกมาจากดวงตาที่คล้ายคลึงกับพระเอกในดวงใจ หรือเขาจะเป็นคนดัง ดังมากในประเทศนี้ใช่ไหม แต่ครั้งสุดท้ายที่เธอจากเมืองไทยไปก็หลายปีมาแล้ว ตอนนั้นเธอเพิ่งจะอายุสิบสี่เอง และเธอก็ไม่รู้จักเขาด้วย

“แล้วคุณเป็นใครล่ะคะ ฉันไม่รู้จริงๆ อาจเพราะ...ฉันจำอะไรไม่ได้” คราวนี้เธอหลบตาเขา เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด และตระหนักได้ว่าการพูดมากเกินไปจะทำให้พลาดง่ายขึ้น เขาคงจะจับได้ในไม่ช้าถ้าเธอไม่รู้จักหุบปากเสียบ้าง

ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าเธอมีท่าทางระวังตัวมากขึ้น ส่อพิรุธเห็นๆ ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้เตียงคนป่วย โน้มตัวต่ำโดยใช้มือค้ำเตียงไว้ ทำให้ร่างใหญ่เหมือนจะคร่อมร่างคนป่วยอยู่กลายๆ และใบหน้าของเขาก็อยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบ หญิงสาวตกใจ เผลอเงยหน้าขึ้นแล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อเมื่อมองสบนัยน์ตาสีเข้มที่ทอประกายดุดันยิ่ง

“ขอเตือนก่อนนะ ถ้าเธอพยายามจะใกล้ชิดฉันเพื่อหาข่าวไปเขียนละก็...สาบานเลย ฉันจะทำให้เธอเสียใจที่สุดในชีวิตที่คิดมาเล่นกับคนอย่างฉัน”

เธอเผลอกำล็อกเกตที่ห้อยคอเอาไว้แน่น ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ผู้ชายคนนี้มีทั้งแรงดึงดูดที่น่ากลัวและเป็นตัวอันตรายที่ไม่น่าเข้าใกล้เลย การที่เธอกระโดดตัดหน้ารถเขา คนที่ซวยอาจไม่ใช่เขา แต่น่าจะเป็นเธอมากกว่า

เขาหลุบตามองสิ่งที่เธอกำไว้กลางอก เมื่อเห็นว่าหญิงสาวสวมสร้อยเงินอยู่ก็ยิ่งสนใจ นั่นอาจเป็นหลักฐานที่จะบอกว่าเธอเป็นใครก็ได้

ชายหนุ่มยื่นมือไปตรงหน้าเธอ เอ่ยเสียงเย็น “กำอะไรไว้ ขอฉันดูหน่อย”

เธอสะดุ้ง กำมือแน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ณดลเย็นชาเกินกว่าจะใจอ่อนกับคนที่กระโดดตัดหน้ารถเขาด้วยจุดประสงค์แอบแฝง เขาแกะนิ้วเธอออกขณะที่ยังใช้สายตากดดันหญิงสาวไปด้วย เธอรู้สึกเหมือนไม่มีแรงจะต้านทานสายตาคู่นั้น ที่สุดแล้วเขาก็ได้ล็อกเกตของเธอไว้ในมือ และเพื่อจะมองได้ใกล้ขึ้นเขาจึงก้มหน้าลงไปอีก ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาทำให้เธอต้องกลั้นหายใจและนั่งนิ่ง ไม่กล้าขยับตัว

นัยน์ตาคมขุ่นกวาดมองล็อกเกตเงินแบบผ่านๆ ก่อนจะเปิดดูด้านในอย่างถือวิสาสะ เป็นรูปผู้หญิงวัยราวสามสิบปลายกับเด็กสาวอายุราวสิบเอ็ดสิบสองขวบ น่าจะเป็นแม่ลูกกัน เด็กผู้หญิงคนนั้นถักผมเปีย ใส่ชุดนักเรียน เธอกำลังยิ้มจนดวงตาเรียวยาวคู่นั้นยิบหยีเกือบมองไม่เห็นลูกตา แต่รอยยิ้มดูเปิดเผยและจริงใจชวนมองอย่างไม่น่าเชื่อ โตมาคงเป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าจิ้มลิ้มเหมือนกับ...

ชายหนุ่มเหลือบตามองเจ้าของล็อกเกต ใบหน้าของเธออยู่ใกล้แค่คืบ ดวงตาเรียวยาวมีแววตระหนกทำให้เขาเกือบใจอ่อน แต่ก็อย่างที่คนในวงการรู้ดี เขาเย็นชากับคนรอบข้างเสมอ เธอเองก็ไม่ควรได้รับการยกเว้น

หญิงสาวกัดริมฝีปาก รู้สึกถึงระยะห่างที่น้อยจนเกินไป เธอสูดลมหายใจเข้าช้าๆ เมื่อร่างกายกำลังจะขาดออกซิเจน มันเป็นแค่ปฏิกิริยาทั่วไปเท่านั้น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังหายใจอยู่

“เด็กในรูปนี่เธอใช่ไหม?”

เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ แค่อยากพูดว่า ‘ไม่รู้’ แต่พอเขาอยู่ใกล้ขนาดนี้กลับพูดไม่ออก

ณดลคิดว่าเธอกำลังปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา นั่นทำให้เขาหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น ถ้าเป็นเด็กในกองถ่ายละก็...เพียงแค่เขาปรายหางตามองก็สะดุ้งผวา ถามอะไรเป็นรีบตอบ สั่งอะไรเป็นรีบทำ ไม่มีใครกล้าขัดใจเขา หรือโยกโย้ยื้อเวลาอย่างที่เธอทำ แล้วจะไม่ให้เขาหัวเสียได้ยังไง

“ถ้านี่ไม่ใช่เธอแล้วสวมมันไว้ทำไม?”

ว่าแล้วก็ดึงสร้อยออกจากคอคนสวม หญิงสาวผวาตาม คว้าสายสร้อยอีกด้านไว้ได้อย่างฉิวเฉียดและเผลอออกแรงกระชากกลับ นั่นทำให้เธอรู้สึกว่าร้าวไปทั้งตัวเพราะร่างกายยังบอบช้ำจากการถูกรถเฉี่ยวจนล้มกระแทกไปกับพื้นถนน หญิงสาวนิ่วหน้า กัดริมฝีปากข่มความเจ็บปวด หลับตานิ่ง แต่ไม่ยอมปล่อยมือจากของสำคัญ

ชายหนุ่มเห็นสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่ายจึงผ่อนแรงลง แอบรู้สึกผิดเบาๆ ตอนนี้เหมือนเขากำลังรังแกคนป่วยเลย

“เจ็บมากหรือไง ให้เรียกหมอรึเปล่า?” เสียงถามนั้นแม้ไม่นุ่มนวลอ่อนโยน แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนใจร้ายเสียทีเดียว

เธอลืมตาขึ้น ส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนจะมองล็อกเกตด้วยสายตาเหมือนอยากจะขอคืนแต่ไม่ได้พูดออกมา

ณดลถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะมองตามสายตาของเธอ เพิ่งสังเกตเห็นตัวอักษรนูนๆ บนล็อกเกตก็ขมวดคิ้ว เขาเคยเรียนภาษาจีนในชั่วโมงเลือกเสรีตั้งแต่ตอนมัธยมปลาย แต่นั่นมันก็แค่เทอมเดียว แถมยังเรียนแบบสัปดาห์ละหนึ่งคาบด้วย ความรู้ที่ได้จึงผิวเผิน พอจบเทอมนั้นก็ไม่ได้ใช้แล้วจึงเหมือนคืนความรู้ให้คุณครูที่สอนไปจนหมด ตัวอักษรที่เห็นอยู่นี้เลยไม่รู้ว่ามันอ่านอย่างไรและแปลว่าอะไร

“เหมือนภาษาจีนนะ ใช่รึเปล่า?”

คราวนี้เธอพยักหน้า มองล็อกเกตในมือเขาตาละห้อย

“อ่านว่ายังไง?”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขา นัยน์ตาคมคู่นั้นแสดงถึงความสนใจใคร่รู้จริงๆ และไม่มีแววคาดคั้นเช่นเดิม เธอเลยเผลอตอบไปตามตรง “หยู่จี้”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เหลือบมองตัวอักษรนั้นอีกครั้ง 雨季 ก่อนจะทวนเบาๆ “หยู่จี้”

“ฤดูฝนค่ะ อาจจะหมายถึง...ชื่อของฉันก็ได้”

เขาปล่อยมือจากล็อกเกต หันมาสบตาเธอ นัยน์ตาคมขุ่นกำลังจะเริ่มดึงดูดเธออีกแล้ว หญิงสาวนึกอยากตบปากตัวเองจริงๆ ยิ่งพูดมากก็ยิ่งเป็นการเปิดเผยตัวตนให้เขารู้ ทางที่ดีเธอควรจะหุบปากให้สนิทแล้วก็เลิกมองตาเขาเสียด้วย

เธอหลับตาลงและเม้มปากแน่น แม้จะรู้ว่าตอนนี้อาจสายไปแล้วก็ได้









Create Date : 12 กันยายน 2557
Last Update : 19 เมษายน 2558 22:30:10 น. 1 comments
Counter : 874 Pageviews.

 
อย่าไปยอมรับ ปากแข็งเข้าไว้




โดย: sakeena IP: 110.169.202.170 วันที่: 12 กันยายน 2557 เวลา:13:25:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ระตา
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




รู้สึกอยู่เสมอว่าการได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คือความมหัศจรรย์...และการอ่านออกเขียนได้คือรางวัลของชีวิต...
Friends' blogs
[Add ระตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.