สภาวะปัจจุบันที่เศรษฐกิจขาขึ้น (ก่ายหน้าผาก) หันไปทางไหนก็มีแต่ความวิตกกังวลจนกลายเป็นความเครียดอย่างไม่รู้ตัว ไปๆมาๆขยับระดับขึ้นเป็นภาวะซึมเศร้าแทรกซึมลึกอยู่ภายในจิตใจที่แสนบอบบาง
ในประเทศสหรัฐอเมริกา คนประมาณ 3.4% ที่มีโรคประจำตัวจะฆ่าตัวตายและคนถึง 60% ที่ฆ่าตัวตาย จะมีความซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์อย่างอื่น ๆ
ส่วนประเทศไทย โรคซึมเศร้าเป็นความผิดปกติทางจิตที่สามัญที่สุด (3.2%) ตามงานสำรวจสุขภาพจิตไทยปี 2546 โดยเป็นอันดับ 1 ในหญิง และอันดับ 4 ในชาย ไม่มีใครอยากจะเป็นแบบนี้ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราจะมีวิธีรับมือและแก้ปัญหาอย่างไรดี
ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคซึมเศร้า ได้แก่
- กรรมพันธุ์ พบว่ากรรมพันธุ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะกรณีของผู้ที่มีอาการเป็นซ้ำหลายๆ ครั้ง
- สารเคมีในสมอง พบว่า ระดับสารเคมีในสมองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติอย่างชัดเจน สารที่สำคัญคือ ซีโรโทนิน (serotonin) และนอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) ลดต่ำลง และอาจมีความผิดปกติของเซลล์รับสารสื่อเคมีเหล่านี้ปัจจุบันเชื่อว่าเป็นความบกพร่องในการควบคุมประสานงานร่วมกัน มากกว่าเป็นความผิดปกติที่ระบบใดระบบหนึ่ง ยาต้านเศร้าที่ใช้ในปัจจุบัน จะออกฤทธิ์โดยการปรับสมดุลของระดับสารเคมีเหล่านี้
- ลักษณะนิสัย บางคนมีแนวคิดที่ทำให้ตนเองซึมเศร้า เช่น มองตนเองในแง่ลบ มองอดีตเห็นแต่ความบกพร่องของตนเอง มองโลกในแง่ร้าย หรือคาดหวังกับทุกเรื่องมากเกินไป เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่กดดัน เช่น ผิดหวัง ตกงาน หย่าร้าง ถูกทอดทิ้ง ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย
เมื่อสาเหตุบางประการของโรคซึมเศร้า เกิดจากสารเคมีในสมองที่ไม่สมดุล วิธีอย่างง่ายๆที่จะช่วยปรับสมดุลจิตใจและสารเคมีในสมองให้ดียิ่งขึ้น คือ โสมอินเดีย ( ashwagandha ) ซึ่งมีการใช้อย่างแพร่หลายในตำราอายุรเวทเป็นเวลามากกว่า 3,000 ปี ในอินเดีย ปากีสถานและศรีลังกา เพิ่งได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศแถบตะวันตกเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมานี่เองค่ะ
ลองมาดูคุณสมบัติของโสมอินเดียกันนะคะ
มีประโยชน์อย่างไร
1.เพิ่มพลังงาน ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย มีการศึกษาทางคลินิกแสดงให้เห็นว่า Ashwagandha มีผลในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดสูงขึ้นและการไหลเวียนที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้มีเรี่ยวแรงมากกว่าปกติ
2.ลดภาวะซึมเศร้าได้ดีเทียบเท่ายากลุ่ม benzodiazepine ซึ่งเวลาที่กินยากลุ่มนี้นานๆ จะสูญเสียความทรงจำบางช่วงเวลาไป
3.บรรเทาความเครียด ลดความวิตกกังวล
4.ช่วยทำให้นอนหลับสนิทได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่สะดุ้งตื่นกลางดึก
5.ปรับสมดุลฮอร์โมนเพศโดยเฉพาะสตรีวัยทอง ที่มีอาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
6.บำรุงสมอง ช่วยฟื้นคืนความทรงจำ ล่าสุดมีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า Ashwagandha ช่วยลดความจำเสื่อม โดยอาจป้องกันสมองจากความเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) ที่นำไปสู่การเสื่อมสภาพของเซลล์สมอง (พบในสัตว์ทดลอง)
7.ปรับสมดุลต่อมไทรอยด์ โสมอินเดียมีคุณสมบัติเป็น adaptogen ที่สำคัญในการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจจากความเหนื่อยล้าทั้งปวง เหมาะสำหรับผู้ที่อ่อนเพลีย หมดแรงง่าย จากพยาธิสภาพของโรค hypothyroid (โรคของต่อมไทรอยด์ชนิดที่เป็นสาเหตุได้บ่อยที่สุด มีชื่อเรียกว่า โรคฮาชิโมโต (Hashimoto's thyroiditis) ซึ่งเป็นโรคออโตอิมมูนชนิดหนึ่ง เกิดจากร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อเนื้อเยื่อตัวเองโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด)
8.เพิ่มระดับภูมิคุ้มกัน
9.รักษาความสมดุลต่อมหมวกไต ต่อมหมวกไตเป็นต่อมไร้ท่อ ทำหน้าที่ในการปลดปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ในการตอบสนองต่อความเครียดของร่างกาย
10.เพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ แต่ไม่มีผลกับผู้ที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศไปแล้ว
11.เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความทนในการออกกำลังกาย
12.ชะลอความชราจากความสมดุลของต่อมหมวกไต หากเราต้องการความอ่อนวัยและมีสุขภาพดี จะต้องมีระดับฮอร์โมน cortisol ที่สมดุล
13.Ashwagandha อาจช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ซึ่งช่วยในการยับยั้งความอยากน้ำตาล ( พบในสัตว์ทดลอง )
ผลข้างเคียง : กระหายน้ำ ผื่นคัน ใจสั่น มึนงง
แป้งได้ทดลองกินโสมอินเดียเพียงเพราะเห็นสรรพคุณเพิ่มพลังงานแถมช่วยให้นอนหลับได้ดี โดยช่วงเวลาก่อนนอน หลังกินไปไม่กี่นาที รู้สึกตาหนักๆ ง่วงอะไรปานนั้น ซึ่งแป้งไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ขนาดกินเมลาโทนิน ยังใช้เวลาเป็นชั่วโมง กว่าจะข่มตาหลับลงได้ เพียง 1 อาทิตย์ก็เห็นผลชัดเจนเลยค่ะ นึกไม่ถึงว่า จะได้ผลเร็วเพียงนี้
ตอนนี้แป้งหวังผลในเรื่องชะลอความชราที่มาจากความสมดุลของต่อมหมวกไต เรื่องนี้คนทั่วไป ไม่ค่อยมีใครสนใจประเด็นนี้ ถ้าเราเหนื่อยมากๆ หมดแรงอ่อนล้า หมดกำลังใจบ่อยๆ ลองพิจารณาดูนะคะ
ตอนแรกกะว่า จะไม่หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำบล็อกโสมอินเดีย แต่เผอิญนึกได้ว่า เคยมีแฟนบล็อกเขียนมาถามเรื่องวิตามินเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า แป้งเลยเขียนบทความนี้ขึ้นมาค่ะ
ขอนอกเรื่องนิดนึง ในอดีตแป้งนอกจากจะเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เด็กแล้ว ร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรง จากสาเหตุการเป็นพาหะธาลัสซีเมียแต่กำเนิด มักมีอาการหน้ามืดเป็นลมง่าย ตั้งแต่ประถมยันเรียนมหาวิทยาลัยเลยค่ะ
ยังจำได้ดีตอนเรียนปีหนึ่ง คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น น้องใหม่จะต้องขึ้นแสตนด์เชียร์ทุกคน ไม่มีใครได้รับการยกเว้น
ตอนบ่ายสอง แสงแดดไม่เคยปราณีใคร แป้งนั่งซ้อมร้องเพลงเชียร์ประจำคณะอยู่ดีๆ หน้าเริ่มมีสีซีดเหมือนกระดาษรู้สึกเหมือนใจหวิวๆจะเป็นลม จึงกระซิบบอกเพื่อนที่นั่งข้างๆ แค่แป๊บเดียว พี่สต๊าฟปีสี่ จึงพากันหิ้วปีกลงมาพักด้านหลังแสตนด์เชียร์ นั่งพกยาลม ดมยาหอมกันไปกับเพื่อนๆอีก 3-4 คน
พอหมดฤดูกาลขึ้นสแตนด์เชียร์ แป้งเดินสวนกับเพื่อนพยาบาลเกือบทั้งคณะ สังเกตุว่า เพื่อนๆหน้าไหม้ดำ คล้ำแดดเป็นทิวแถว มีแต่แป้งที่หน้ายังขาวผ่องเพราะไม่ได้ขึ้นแสตนด์เชียร์ จากความไม่แข็งแรงของร่างกาย ดีตรงนี้เนอะ
ดังนั้นแป้งจึงเสาะแสวงทดลองกินแต่วิตามินที่เพิ่มพลังงานเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะรู้ดีว่า ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน จะนำพาความชรามาหาเราเร็วขึ้น จากการที่เซลล์ต้องใช้ออกซิเจนมากกว่าปกติ ใครที่ผ่านมาอ่าน อย่าได้แปลกใจเลยนะคะ
ที่มา
www.webmd.com/vitamins-supplement/ingredientmomo-953-ashwagandha.aspx?activeingredientid=953
https://draxe.com/ashwagandha-proven-to-heal-thyroid-and-adrenals
https://examine.com/supplements/ashwagandha/
www.herbwisdom/herb-ashwagandha-html
www.globalhealingcenter.com/natural-health/7-amazing-benefits-of-ashwagandha-root-for-woman/food.ndtv.com/ayuraveda/ashwagandha-the-powerful-health-benefits-and-beauty-benefits-you-need-to-know-122038
www.naturalivingideas.com/ashwagandha-benefits/
https://th.wikipedia.org>wiki>โรคซึมเศร้า
www.theepoctimes.com/h3/2058997-21-benefits-from-ashwagandha-for-anxiety-cancer-fertility-opioid-withdrawl-and-more/