สุดยอดไสยศาสตร์ไทย Thai Superstition "ต่อ พุฒาเวทย์"
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2558
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
24 พฤษภาคม 2558
 
All Blogs
 
ประวัติของผมกับไสยศาสตร์พอสังเขบ ก่อนนะครับ

 

     ผมชื่อเล่นว่าต่อ นะครับ เกือบสิบปีมานี้ผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับ หมอไสยศาสตร์ พิธีกรรมไสยศาสตร์ รวมทั้ง ผี ดวงวิญญาณ มากมาย เรียกได้ว่าเล่ากันไม่หวั่น ไม่ไหว พวกการทำของไสยศาสตร์ผ่านรูปถ่าย เอาเสื้อผ้า เล็บมือสิบนิ้ว เส้นผมมาลงคาถา เสกน้ำมนต์น้ำมัน ล้างของไสยศาสตร์ ผมอยู่ในพิธีกรรมรมมาหมดแล้ว
 

     ผมไม่ใช่หมอไสยศาสตร์นะครับ ไม่ได้มีเวทมนต์ คาถามากมายนัก แต่เข้าไปในแวดวงนี้เมื่อไหร่ อย่างไร เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังนะครับ ตอนเรียนในมหา’ลัย บางครั้งผมถูกมองว่าเป็นคนแปลก ประหลาด ไปเลยเวลาคุยเรื่องแบบนี้กับเพื่อนๆ หรืออาจารย์ที่มหา’ลัย บางคนถึงขั้นกลัวผมไปเลย จนผมเริ่มสังเกตว่า ไม่มีใครรู้เรื่องพิธีกรรมพวกนี้เลยจริงๆ หรอเนี้ย !!!

     ผมพึ่งจบปริญญาตรีมาได้ 2 เดือนกว่านี่เอง ตอนนี้พอมีเวลาผมจะใส่ข้อมูลประสบการณ์ใน puthsaiyavej.bloggang.com  ให้มากมายเลยครับ ผมสัญญา ผมมองว่าถึงเวลาสักที ที่คนไสยศาสตร์ตัวจริง ต้องออกมาพูดแล้ว ท่ามกลางความงมงายในสังคมไทย ที่ไม่เคยมีข้อมูล ปรัชญา ศาสนา มาอธิบายความงมงายต่างๆนั้น
 
     ผมเป็นปัญญาชนแนวขี้สงสัย ชอบอ่านหนังสือ แนวปรัชญา ธุรกิจ พัฒนาตนเอง(NLP)  ดิสคัสกับผมได้นะครับ ในส่วนของประสบการณ์ด้านไสยศาสตร์ของผมนั้น ผมได้เอาข้อมูลศาสนาเปรียบเทียบ ศาสนาศาสตร์มาอธิบายนิดหน่อย เพื่อบอกที่มาที่ไปของสิ่งที่ผมพบเจอ ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราเห็น อยู่รอบตัวและก่อนหน้าที่มันจะเป็นแบบนั้น มันมีกระบวนการที่ซับซ้อน ถึงซับซ้อนมาก และถึงขั้นไม่มีใครอธิบายมันได้เลย สังคมจึงตีความเรื่องที่ไม่มีใครอธิบายมันได้เลยไปในทิศทางที่ผิด เป็นมายาคติ บางครั้งเรื่องนั้นเป็นเพียงเรื่องที่มันซับซ้อนมาก ไม่ถึงกับลึกลับอะไร สังคมไทยก็มีมายาคติเกิดขึ้นแล้ว พอพูดถึงเรื่องไสยศาสตร์ ก็จบกันพอดีเลย


     “ไม่มีจริงหรอก” “เข้าตัว” ”หลอกลวง” “มีแต่สมัยโบราณ” “ไสย แปลว่าหลับ หลับแสดงว่าไม่มีจริง” ไปนั่น!!!
 
     ผมอยู่ในพิธีกรรมไสยศาสตร์ มีหมอไสยศาสตร์และดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นทวดของหมออีกที ซึ่งชื่อของหมอและทวดของเขาผมไม่ขอพูดถึงนะครับ มันหวิวๆ มากในความรู้สึกนะครับ ผมจึงขอเรียกหมอเค้าว่า

     “พี่หมอกับทวดของเค้าหรืออาจารย์ของผม” แล้วกันนะครับ


     ผมมีธุรกิจเล็กๆ จำหน่ายเครื่องราง ของขลัง puthsaiyavej.com สินค้าเด่น ๆ คือ ไซรปากเงิน ปากทองดักลูกค้า สำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้าน ร้านคุณจะดีไม่ฝืดไปอีก 3-6 เดือน มีน้ำมนต์แถมไปให้พรม จากหลังร้านมาหน้าร้าน 7 วัน มันจะไล่สิ่งที่ไม่ดีออกไปจากร้านและดึงดูดลูกค้า ช่วยในเรื่องการค้าขาย อย่างไรก็ตามมันจะดีอย่างนั้นไปอีก 3-6 เดือน เหตุผลคือคือ ไม่มีคาถาอะไรอยู่ได้ตลอดกาลครับ ไม่ว่าจะแรงขนาดไหนก็มีหมดกันทั้งนั้น
 
     ต้องคอยปลุกเสกเพิ่ม ส่วนใหญ่อยู่ได้ สามเดือน หกเดือน ปีนึง บางพิธีกรรมคาถาอยู่ได้ถึง สี่ปี ก็มี นี่คือความจริงของไสยศาสตร์ ที่ไม่มีใครทราบในเชิงไสยเวทย์ จริงอยู่พวกหมอเขมรหรือหมอศาสนาอื่นในบ้านเราสามารถเสก ชิน(เขียนแบบนี้รึเปล่า) ซึ่งเป็นวิญญาณที่ไม่ดีเข้าตัวคนและอยู่ได้นานหลายปีกว่านั้น ทำให้คนที่โดน พิการ ดูเครียดแปลกๆไป หรือไปพูดไม่ดีในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็สามารถโดน ชิน เข้าไปได้เหมือนกันมันจะเข้ามาในตัวคนผ่านช่องลม คือระหว่างนิ้วมือ นิ้วเท้า ผมเคยคุยกับคนที่โดนแกล้งเสก ชิน ถึง 4 ตนเข้าตัว ผมถามว่าชีวิตเป็นยังไงบ้างหลังจากที่รู้สึกว่าโดน เค้าบอกว่า

      ”ชีวิตลุงนะ เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้”

     และแม่ชีอีกคนหนึ่งที่โดนคนทำถึงขั้นขาข้างหนึ่งพิการ จ้างคนมานวดก็เจ็บ เดินไปไหนมาไหนก็ลำบาก ทั้งสองคนรู้ตัวว่าโดนอะไรบางอย่างที่ไม่แฟร์ และรู้ว่าเป็นของ จากไสยศาสตร์ แบบว่าพวกเค้าสัมผัสได้เอง อย่างแม่ชีคนนั้น ก็เป็นร้านขายน้ำที่อยู่ถัดไป ขายสินค้าแบบเดียวกัน กับแม่ชี  และลุงคนแรกก็โดนญาติของแฟนเก่าทำ แกล้งเพราะไม่ชอบหน้า พอทั้งสองคนมาหาอาจารย์ ของผมแม่ชีคนนั้นถึงกับร้องไห้ต่อหน้าผมเลย พออาจารย์ดูดวงให้ ไม่ใช่แค่ทำให้พิการนะครับ แต่แกโดนสวดปิดร้าน ร้านขายน้ำเค้าขายไม่ได้มาเป็นเดือน ๆ แล้ว ผมจะเล่ารายละเอียดดให้ฟังต่อไปนะครับ เรื่องเยอะมาก         

  วันนึงผมจะออก พ๊อคเก็ตบุค กับเค้าบ้าง ด้านประสบการณ์ไสยศาสตร์ อยากเห็นรูปตนเองบนหน้าปกหนังสือ ตามร้านหนังสือในห้างบ้าง คริคริ คงเท่ดีนะ
 

      คนทั่วไปในสังคมไทย มองไสยศาสตร์แบบ กล้า ๆ กลัว ๆ จะตัดสินกันไปเลยว่า มีจริงหรือไม่ก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครเจอของจริงซักที ยิ่งพวกตามเว็บบอร์ดนั้นเลอะเทอะไปกันใหญ่ ยิ่งพวกนักวิทยาศาสตร์โลกแคบที่ผมคุยด้วยนั้นหัวเราะใส่ผมซะงั้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกที่อ้างตนว่ามีจิตพิเศษเต็มทีวีบ้านเราไปหมด 


       “กองทัพหมอดู”
 
      ผมขอเสนอวิธีแยกเยอะ หมอดูซักหน่อยเถอะครับ!!!

     “สิ่งที่คนไปดูดวง รู้อยู่แล้วคืออดีต กับปัจจุบันของตน ฉะนั้น เมื่อไปหาหมอดูเพื่อดูดวงโปรดสังเกตุ คำทำนายว่า หมอดูท่านนั้นทายอดีตกับปัจจุบันถูก 100% หรือไม่ ไม่ใช่จับมือแล้วทายอนาคต อย่างเดียว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นจริงไหม และถ้าหมอดูที่มีคุณภาพจริงๆ ท่านจะทาย ตั่งแต่อดีด หรือเริ่มตั้งแต่ชาติที่แล้ว และตามด้วยการทำนายอดีต ทำนายปัจจุบัน และสุดท้ายจึงทายอนาคต นี่คือบทพิสูจน์ของหมอดูคุณภาพ อยาจจะเป็นหมอดูไพ่ ต่างๆ ลายมือ ฯลฯ

 

     ยิ่งพวกแสดงตนว่ามี “จิตพิเศษ” ยิ่งแล้วใหญ่เต็มบ้านเต็มเมือง ผมไม่ได้จะแสดงตนโจมตีอุตสาหกรรมหมอดูทางทีวีแต่อย่างไร ความเห็นผมทั้งหมดมันเพื่อสังคมนะครับ

 
      ถ้าคุณๆ มีจิตพิเศษแล้วคุณทำนายอดีตของเหตุการณ์ ของคนที่มีปัญหาชีวิตก่อนเลยสิ ไม่ต้องรอให้เขาเหล่านั้นเล่าทุกอย่างจนหมด แล้วคุณมาพูดคำทำนายทีหลัง คุณมีข้อมูลแล้วคุณจะพูดอย่างไรก็ได้ซิครับ จริงไหม ผมไม่ได้โจมตีใครนะครับ แต่คนในสังคมจะเป็นอย่างไรถ้าการตลาดหมอดูรุนแรงอย่างนี้  ผมแนะนะว่าถ้าหมอดูไม่มีความสามารถในการทายขนาดนั้น ก็อย่าไปดูมันเลยครับ นี้ผมยังไม่พูดถึงการช่วยเหลือคนโดนการใช้คาถาอาคมต่างๆ ไม่ใช่ยกเมฆมาอธิบายว่ากรรมเป็นอย่างนั้น วิญญาณบอกมาอย่างนี้แล้วไหนหละทางออก สุดท้ายก็ให้คนที่เดือนร้อน ปลงหรือไล่ไปทำบุญซะงั้น!!! 
 
  ผมไม่ได้กำลังอวดอ้างด้วยว่าอาจารย์ผมเก่งยังไง แต่คุณสมบัติทั้งหมดนั้น เป็นสไตล์ของอาจารย์ผมเองและทุกอย่างจะถูกเปิดเผยโดยผมเท่านั้น!!!

 

     สงสัยสังคมนี้คงกำลังจะรอ คนที่อยากรู้ อยากเห็น บ้าบิ่น แบบผมที่ไปขุดพิธีกรรมของหมอไสยศาสตร์ ถามหมอเค้าแปลกๆ จนโดนหมอเค้าด่าก็แล้ว หัวเราะใส่ก็แล้ว เหลืออย่างเดียวคือโดนหมอเค้าไล่ออกจากบ้าน ฮ่า ๆ ก็คนมันอยากรู้หนิครับ ผมติดตามจนจับ Pattern ของไสยศาสตร์ได้เลยนะ ไม่อยากจะบอก ^^”

 
ส่วนคนระดับมันสมอง ของสังคมไทยนั้น ไม่มีใครปฎิเสธ เลยว่าไสยศาสตร์ไม่มีจริง เช่น ผมไปเจอบทความของ อาจารย์ระพี สาคริก  ประเด็นที่ว่า  “ไสยศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้จริงหรือ?”  เป็นวิธีคิดที่น่านับถือ
อ้างอิง  (https://wwwbase.in.th/files/rapeearticle2009065.doc)

“ไสยศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้จริงหรือ ? ... ระพี สาคริก

     ระหว่างช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ.2549 ฉันได้สังเกตเห็นโฆษณาจากสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งซึ่งเจ้าของโฆษณาคือ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เน้นประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งว่า ไสยศาสตร์อาจพิสูจน์ไม่ได้  แต่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ ประเด็นนี้เหมือนจุดประกายให้ฉันนำมาคิดค้นหาความจริงจากใจตัวเองให้ถึงที่สุด ซึ่งจุดสุดท้ายเพื่อสั่งสมความรู้เอาไว้ใช้ประโยชน์ในอนาคต
 
หลังจากได้รับข้อมูลที่มีเงื่อนไขแฝงอยู่ในโฆษณานี้แล้ว อดนำมาคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้นำมาใช้โฆษณาแบบนี้น่าจะทำให้ประชาชนผู้รู้ความจริงเกิดความเสื่อมศรัทธาขององค์กรในภาครัฐได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยราชการของรัฐควรจะเป็นหลักในการรับใช้ประชาชนบนพื้นฐานความรู้สึกรับผิดชอบ ทั้งในด้านข้อมูลข่าวสารที่นำมาใช้ประโยชน์ในการจัดการศึกษาของชาติอันควรจะทรงไว้ซึ่งสติปัญญา แต่การนำสิ่งนี้มากล่าว สะท้อนให้เห็นว่าคนของรัฐซึ่งนำเอาภาษีจากประชาชนมาใช้และมีโอกาสถืออำนาจอยู่ในมือ ยิ่งเป็นระดับกระทรวงด้วยแล้ว ยังไม่เข้าถึงความจริงและทำให้เป็นที่เชื่อถือได้

คนโบราณเคยกล่าวเตือนสติเอาไว้ในเชิงปรัชญาว่า สิ่งใดที่ยังรู้ได้ไม่ถึง อย่าเพิ่งดูถูก คำกล่าวบทนี้สะท้อนให้เห็นถึงการรู้เหตุ รู้ผล ของคนในอดีต เหตุใดฉันจึงชี้ให้เห็นความจริงเรื่องนี้  บุคคลผู้มีสติย่อมเข้าใจสัจธรรมซึ่งเป็นพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองจากทุกๆเรื่อง  แต่ประเด็นดังกล่าวกลับทำให้ฉันสันนิษฐานได้ว่า “ถ้าไม่มีอดีต เหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันก็น่าจะเชื่อถือได้แล้ว” ดังนั้นคำว่าโบราณจึงควรเป็นพื้นฐานที่มาของปัจจุบันหรืออีกนัยหนึ่ง ถ้าไม่มีโบราณ การเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามยุคสมัยก็ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก จนกระทั่งคนยุคนี้ขาดวิถีการดำเนินชีวิตที่ควรจะมีความมั่นคงยั่งยืนบนพื้นฐานการพึ่งพาตนเองให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก

การที่คนยุคก่อนเคยกล่าวฝากเอาไว้ว่า สิ่งใดที่ยังรู้ได้ไม่ถึง ก็ไม่ควรจะคิดดูถูก ซึ่งประเด็นนี้น่าจะหมายความถึง การเน้นความสำคัญที่รากฐานจิตใจคนเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ซึ่งการเน้นความสำคัญที่จุดนี้ก็น่าจะตีความได้ว่าคือการเน้นที่ต้นเหตุ มากกว่าผู้ที่เห็นได้แต่เพียงปลายเหตุซึ่งหมายถึงคนที่ดูถูกตัวเองนั้น ย่อมทำให้เกิดสภาพที่เรียกกันว่า “การดูถูกตัวเอง”

อนึ่ง ถ้าบุคคลผู้นำปฏิบัติยอมรับความจริงก็ควรรู้ได้ว่า สิ่งที่เรายังรู้ได้ไม่ถึงเราควรจะเรียนรู้ต่อไปบนพื้นฐานการมีวิริยะอุตสาหะ แทนที่จะด่วนคิดแบบปิดตัวเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างเราเรียนรู้มาแล้วตั้งแต่เกิด ซึ่งบุคคลลักษณะนี้มักปฏิเสธวิถีความเชื่อของตัวเอง ที่ควรนำมาค้นหาความจริงให้ถึงที่สุด ดังนั้นไม่ว่าจะพบสิ่งใด แทนที่จะด่วนตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามเราควรจะเปิดใจกว้างและเพียรพยายามคิดหาเหตุผลต่อไปจากรากฐานจิตใจตนเองที่มีอิสระ อย่างที่สัจธรรมได้กล่าวเอาไว้ว่า วิถีชีวิตของมนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อการเรียนรู้

 

ส่วนเรื่องไสยศาสตร์กับวิทยาศาสตร์   นั้น ถ้าจะให้ฉันนำมาพิจารณา ใคร่ขอกล่าวว่าศาสตร์ทุกสาขาที่มีอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ของโลกมนุษย์ย่อมเชื่อถือได้ทั้งนั้นไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่ควรนำเอาคำว่าศาสตร์มาใช้  สำหรับผู้ที่คิดว่าไสยศาสตร์อาจพิสูจน์ได้ยากก็คงไม่ใช่เรื่องของไสยศาสตร์อย่างแน่นอน หากควรมุ่งพิจารณาที่คนผู้นำมาคิดและปฏิบัติซึ่งอยู่ในความลุ่มลึกของกระบวนการเรียนรู้  ดังนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่าอาจมีสิ่งที่ไม่ชอบด้วยเหตุและผลเจือปนอยู่ในรากฐานจิตใจของบุคคลผู้คิด ทำให้คิดได้ไม่ถึงรากฐานความจริงจึงทำให้มีความคิด “แบบปิดตัวเอง” มากกว่า คำว่า ศาสตร์คู่ควรแก่ความรู้ที่มีเหตุและผลเป็นพื้นฐาน สำหรับวิทยาศาสตร์นั้นน่าจะหมายถึงความรู้ที่อยู่บนพื้นฐานวัตถุ ส่วนไสยศาสตร์ก็ควรจะเป็นศาสตร์ที่อยู่บนพื้นฐานศิลปะซึ่งมีปรัชญาเป็นพื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มนุษย์ซึ่งมีพื้นฐานความคิดแบบวัตถุนิยม จึงตกอยู่ในสภาพของความไม่รู้มากกว่า

การที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำเอาข้อความที่ว่า ไสยศาสตร์อาจพิสูจน์ไม่ได้ แต่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ มาใช้ในการโฆษณาตัวเองทำให้เข้าใจได้ว่า คือ การยกตนข่มท่านซึ่งโบราณได้กล่าวเตือนสติที่มนุษย์ไม่ควรจะทำ  ซึ่งอาจจะเป็นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์เนื่องจากตัวเองยืนอยู่บนพื้นฐานวัตถุนิยม
 
อนึ่ง สังคมยุคนี้  มีคนยึดติดวัตถุรุนแรงมากขึ้น จึงทำให้สติปัญญามืดบอด ดังนั้นเราจึงพบความจริงว่า การที่สังคมปัจจุบันกำลังมีความคิดที่สับสน น่าจะสืบเนื่องมาจากคนยุคนี้มีความเห็นแก่ตัวรุนแรงยิ่งขึ้น  ซึ่งหากเป็นความจริงตามนี้ คนยุคปัจจุบันคงสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ จากสายตาที่เป็นวัตถุ เป็นข้อจำกัดอยู่ด้านเดียว แทนที่จะใช้ปัญญาซึ่งเกิดจากคุณภาพจิตใจที่สามารถมองเห็นและเข้าใจความจริงจากทุกสิ่งทุกอย่างอย่างลึกซึ้งเป็นหนึ่งเดียวกันหมด

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในขณะนี้ก็คือ การกล่าวถึงเรื่องราวต่างๆ ในเชิงปรัชญา หลายคนมักบ่นว่าพูดไม่รู้เรื่อง หรือพูดลึกซึ้งเกินไป ทำให้เข้าใจได้ไม่ถึง บางคนถึงกับกล่าวว่า บุคคลลักษณะนี้ ขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ แต่แท้ที่จริงแล้ว ผู้กล่าวนั่นแหละกำลังยืนอยู่บนยอดไม้ จนไม่อาจมองเห็นความจริงที่พื้นดินอย่างเป็นธรรมชาติได้ด้วยตนเอง เช่นคนยุคนี้บางคนปรารภว่า การศึกษาบนหอคอยงาช้าง

ทั้งนี้และทั้งนั้น คนยุคก่อนเคยกล่าวสัจธรรมเรื่องหนึ่งไว้ว่า บุคคลใดที่ใช้ชีวิตติดพื้นดินอย่างเป็นธรรมชาติ ย่อมเกิดปัญญาแตกฉาน สามารถหยั่งรู้ความจริงได้ทุกเรื่อง แต่คนยุคนี้มักรักความสะดวกสบายและใช้ชีวิตโก้หรูอยู่บนพื้นฐานเทคโนโลยีสูงๆ เช่น ต้องใช้รถยนต์ราคาแพงๆ ต้องมีบริวารห้อมล้อมคอยช่วยเหลือรับใช้แทนที่จะรักการทำงานทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองอย่างรู้คุณค่า


ดังภาษิตบทหนึ่งในอดีตที่กล่าวฝากเอาไว้ว่า จงลำบากไปก่อนแล้วจะสบายในภายหลัง  แต่คนที่ยึดติดอยู่กับวัตถุมักเข้าใจว่าความสบายตามความหมายของภาษิตบทนี้ คงจะหมายถึง การมีข้าทาสบริวารรับใช้อย่างเหลือล้นและมีเงินร่ำรวยมากๆ ซึ่งเป็นการสรุปให้ทราบว่า การรักความสบายนั้นหาใช่มีผลผูกพันอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่น่าจะหมายถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงซึ่งมีระบบอันเป็นธรรมชาติเป็นพื้นฐาน

อันแท้ที่จริงแล้วก็คือ คนลืมตัว เนื่องจากความหมายของคำว่า ความสบายตามภาษิตบทนี้ ควรจะหมายถึง ความมีสติปัญญาปลอดโปร่ง ช่วยให้เกิดความสุขใจตามมาในภายหลัง ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ที่ไหน แม้แต่นอนกลางดินกินกลางทรายก็มีความสุขได้
 
หมายเหตุ

อันเนื้อหาสาระที่ปรากฏอยู่ในบทความเรื่องนี้ ที่กล่าวถึงความสะดวกสบายนั้น  เราควรจะใช้ความสะดวกสบายในด้านวัตถุ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “สภาวะเสพติด” ซึ่งอยู่ในสภาพที่พร้อมจะกลืนกินวิญญาณซึ่งเป็นความจริงของมนุษย์ทุกคนให้สูญเสียไปโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน”
 
ยังมีความเห็นที่ น่าเหลือเชื่ออีกความเห็นหนึ่ง จาก ดร.นพ.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช ที่ปรึกษาพิเศษในเลขาธิการใหญ่องค์การสมัชชาศาสนาเพื่อสันติแห่งโลก (ดับเบิลยูซีพีอาร์)


   “ไสยศาสตร์ นั้นมิใช่เรื่องไม่มีเหตุมีผล แต่เป็นเรื่องของการใช้ อำนาจ ซึ่งมีระบบของเหตุผล หลักการ แหล่งของอำนาจหรือความศักดิ์สิทธิ์ อุปกรณ์ และกระบวนการต่างๆ อันมีขั้นตอน เพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุประสงค์ ที่ผู้ประกอบพิธีตั้งความปรารถนาไว้ ปัจจัยต่างๆ ของพิธีกรรมทางไสยศาสตร์นั้น มีศูนย์กลางอยู่ที่ผู้ประกอบพิธี มิใช่เกิดขึ้นลอย ๆ โดยที่ประกอบพิธีนั้น เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด สามารถบงการให้เกิดสิ่งต่างๆ ซึ่งอยู่นอกกรอบของเหตุผลของสามัญสำนึกของสามัญชนจะคาดหวังได้

     พิธีกรรมทางไสยศาสตร์นั้น จะบรรลุผลได้ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขของพิธีกรรมทั้งหมดได้บรรลุ สิ่งนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นการควบคุมคุณภาพของผู้ประกอบพิธีกรรม ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ โดยมีการแบ่งแยกที่ชัดเจน ระหว่างผู้ประกอบพิธี (คนใน) และผู้อื่นที่เข้าร่วมพิธี (คนนอก) ยิ่งพิธีกรรมที่มีความศักดิ์สิทธิ์เท่าใด ช่องว่างและเงื่อนไขที่แบ่งแยกระหว่างคนในและคนนอกยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น พร้อมกันนั้น คือ ความลึกลับที่คนในเท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าใจ ส่วนคนนอกเป็นพวกที่ไม่มีสิทธิ์จะเรียนรู้สาระของพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเลย

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของไสยศาสตร์ คือ การร่ายมนตร์ หรือ คาถา ของผู้ประกอบพิธี ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องกระทำให้ได้จังหวะที่พอเหมาะพอดีกับขั้นตอนต่างๆ ตลอดพิธีกรรม

     ไสยศาสตร์ หากนำไปใช้ในทางที่ผิดก็เป็น ไสยศาสตร์มนต์ดำ
แนวคิดในเรื่องการสาธยายมนตร์นี้ คือ ความเชื่อที่ว่า อักขระนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันสูญสลาย และมนตร์ต่างๆ ที่ผู้ประกอบพิธีได้เปล่งออกจากปากของตนแล้ว ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถยังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และหากเปล่งออกมาผิด ผลกระทบก็จะกลับเป็นวิบากแก่ผู้สาธยายนั้นเอง(ไสยศาสตร์มนต์ดำ) นั่นหมายถึงความเป็นมงคลต่างๆ จะกลายเป็นอัปมงคล โชคจะกลายเป็นเคราะห์ และอำนาจที่ถูกใช้ไปเพื่อประทุษร้ายผู้อื่น(คาถามนต์ดำ) อำนาจนั้นก็จะย้อนกลับมาประทุษร้ายผู้ร่ายเวท และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนในแง่ของ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ

เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู" ที่มา...หนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันที่ 1 เมษายน 2552 “

เป็นหลักการที่แน่นโดยเนื้อหาสาระมากมาย ดร.นพ.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช ได้อธิบายกรอบของพิธีกรรมไสยศาสตร์ โดยมีข้อมูลทาง ภาษาศาสตร์(ในบทความฉบับเต็ม) ประวัติศาสตร์ ได้อย่างครอบคลุม
 
ผมนึกถึงตอนผมเรียนวิชาปรัชญาสังคม ที่สอนให้คิดแยกแยะลึกซึ้ง มีอาจารย์คนหนึ่งสอนปรัชญา ท่านเดินมายืนอยู่หน้าห้องเรียนแล้ว หยิบปากกาขึ้นมาหนึ่งด้าม ชูขึ้น แล้วท่านพูดว่า ..
 
”ถ้าคุณมองจะเห็นปากกาด้ามหนึ่ง ถ้าคุณมองให้ลึกไปกว่านั้น คุณจะเห็น หมึก สปริง เหล็ก และถ้าคุณมองให้ลึกไปกว่านั้น คุณจะเห็นเม็ดพลาสติก ถ้าคุณมองให้ลึกไปกว่านี้ คุณจะไม่เห็นอะไรเลย และถ้าคุณมองคนคนนี้ ............ อย่างนี้ (วิชาPPE) คุณจะรู้ว่าเค้าเป็นคนดีหรือไม่" 
 
      เพื่อนผมเป็นชาวภูฏาน  ชื่อ พีม่าวังดี เรียน PPE อินเตอร์ มาคุยกับผมว่าอาจารย์ไทย Knowledge ดีมากๆ แต่ภาษาแค่ดี 555+ เท่ชะมัด



เอาหละต่อไปผมจะเล่า กรอบกว้างๆ ว่าไสยศาสตร์ มาจากไหนกัน
 
ลัทธิไสยศาสตร์ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาลในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพทหรือคำภีร์พระเวท ของศาสนาพราหมณ์ (เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกศาสนาหนึ่ง อายุประมาณ ๒,๐๐๐ ปีก่อน พ.ศ.) สาเหตุที่ หมอเขมร มีชื่อเสียงทางไสยศาสตร์และพระองค์ดังๆ ของไทย แม้กระทั้งหมอไสยศาสตร์ในไทยเก่ง ๆ ก็ไปร่ำเรียน วิชามาจากฝั่งเขมร ก็เพราะความรุ่งเรืองของศาสนาพรามหณ์ ขยายมาสู่แถวบ้านเรา คุณรู้หรือไม่ว่าเทวสถาณทางศาสนาพราหมณ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ข้างประเทศไทยนี่เอง คือ ปราสาทหินนครวัด สร้างประมาณคริสตศวรรษที่ ๑๒  (py425-4 หน้า 36) (ปัจจุบันอยู่ประเทศกัมพูชา)   ผมก็นึกได้เลยว่า อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์จากอินเดีย มารุ่งเรืองในเขมรถึงกับมีเทวสถาณขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ ศิลปะความรู้ ปรัชญาที่ลึกซึ้ง ของพรามหณ์ ทำให้มีหมอไสยศาสตร์เขมร มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากมาถึงปัจจุบัน

มองกลับมาในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลกศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เก่าแก่ศาสนาหนึ่งของโลก อายุประมาณ ๔๕ ปีก่อน พ.ศ. (py425-2 หน้า 14) นักโบราณคดีที่ค้นคว้าหลักฐานทางพุทธศาสนาเชื่อว่าความคิด และวัตรปฏิบัติทางศาสนานั้นมีกำเนิดจากวัฒนธรรมหะรัปปา แห่งแม่น้ำสินธุ และวัฒนธรรมโมหันโชทโฑ (py425-4 หน้า 40-41) ค้นพบจากโบราณสถาน รูปสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ รูปปั้นคนนั่งสมาธิ ต่างๆ (ศาสตราจารย์ ดร.ลาล มณีโชศี กล่าวว่า เป็นสัญลักษณ์ของความคิด ประเพณีและวัตรปฏิบัติของลัทธิศรมณะ ยติ มุณี ฤษี หรือ พิกษุ ซึ่งต่อมาได้วิวัฒน์พัฒนาเป็นพุทธศาสนา)
 

ยังมีแนวคิดหลาย ๆ แนวคิด ในการกำเนิดศาสนาพุทธ เช่น พุทธศาสนาเกิดจากการปฏิรูปของศาสนาพราหมณ์ เช่นแนวคิดของ ดร.เอ็ด ราธากฤษณัน ที่กรุณา กุศลาสัยเรียบเรียงในหนังสือ พราหมณ์ พุทธ ฮินดู หน้า ๒๒ ว่า “พระพุทธศาสนามิได้เกิดขึ้นในฐานะที่เป็นศาสนาใหม่ และเป็นอิสระจากกระแสความคิดทางศาสนาเก่าของอินเดีย จะว่าเป็นนิกายใหม่ก็ได้ พระพุทธองค์ทรงเห็นด้วยกับหลักคำสอนทางอภิปรัชญาและจริยธรรมของศาสนาพราหมณ์พระเวทแต่พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยและทรงคัดค้านพิธีกรรมทางศาสนาบาง ประการ”

ประสบการณ์ของผมบอกว่า หมอไสยศาสตร์เขมรเป็นหมอสายดำ มีความรุ่นแรงทางด้านคาถา สามารถทำเสน่ห์ในหลาย ๆ รูปแบบและเห็นผลทันที คนที่โดนไม่อาจฝืนจิตตัวเองได้เลยนะครับ คนส่วนใหญ่รู้จักแค่น้ำมันพราย  แต่ในทางเขมร มีการนำกระดูกผีป่น (ไม่ใช่บาตรพระในวัดล้างเอามาตัด) ให้หมอเขมรลงคาถา เคยมีผู้หญิงอายุ 27 ปีคนนึงโดน นั่นทานข้าวกับผู้ชายที่มาจีบ มันเอาฝุ่นมาสะบัดใส่แขนเธอ ที่จริงเป็นกระดูดผี โดนตอนบ่าย ๆ ตอนนั่งทานข้าวในห้าง พอตกกลางคืนแทบอยากได้ผู้ชายเป็นสามีทันทีนอนไม่หลับ (ของไสยศาสตร์ทางด้านเสน่ห์คนที่โดนจะมีอารมณ์ทางเพศเยอะมาก เครียดราศรีหมองคล้ำ) ระยะเวลาไม่เกินครึ่งวันผู้หญิงคนนั้นรู้แล้วว่าเธอมีอะไรแปลก ๆ (คนที่โดนของไสยศาสตร์หลายๆ คนที่ผมรู้จักและสอบถามอาการนั้น จะมีเซ้นส์สัมผัสและมั่นใจมากจะรู้เองว่าตนเองโดนไสยศาสตร์ ตรงนี้แปลกมาก)  ผู้หญิงคนนั้นรู้จักอาจารย์ผมมานานมากแล้ว เธอฝืนตนเองให้ถึงเช้า ตกตอนเช้าจึงมาหาอาจารย์ผม พี่หมอดูดวงให้เธอ เธอลืมไปแล้วว่าโดนตอนไหน อาจารย์ผมเล็งเห็นเป็นภาพแล้วบอกเธอ เธอเลยจำได้ว่า มันสะบัดฝุ่นใส่ อาจารย์ผมบอกผมว่า อย่าเที่ยวไปโดน นะของเขมรแก้ยาก แก้ได้นะแต่เสียพลังจิตเยอะ อาจารย์ผมท่านก็ล้างคาถาเขมรจนสำเร็จมาแล้ว
 
เอาหละ ผมได้อธิบายวิธีคิดที่มาที่ไปที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ ข้อมูลด้านบนได้ตอบคำถามได้หลายคำถามนะครับ เช่น ไสยศาสตร์มีจริงหรือไม่?

ในทางประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา สมัยพระเจ้าทรงธรรม ในสมัยนั้นก็เคยมีกระทรวงที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสอบสวนคดี ที่เกี่ยวกับการทำคุณไสย เมื่อพ.ศ.2168 จัดตั้งกระทรวงแพทยาคม กระทรวงนี้มีผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาคมเป็นตุลาการ มีหน้าที่สอบสวนพิจารณาโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการกระทำทางไสยศาสตร์ เรื่องคุณไสยโดยเฉพาะ ความสัมพันธ์ของศาสนาพุทธกับไสยศาสตร์ บางข้อมูลก็บอกว่าแยกออกจากกันแทบไม่ได้ “พุทธกับไสยย่อมอาศัยกัน”
 
ผมเข้าใจว่าปัจจุบันการทำคุณไสยคงมีน้อยลงกระทรวงดังกล่าวจึงไม่มีต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่คุณต้องเชื่อผมนะครับว่า การทำคุณไสยใส่กันยังมีอีกมาก และใกล้ตัวเราอย่างที่เราคาดไม่ถึงเลยหละครับไสยศาสตร์แบ่งเป็นสองสายอย่างที่เรารู้ๆ กัน แต่ทั้งสองสายมันมีความเหมือนที่แตกต่างกันอยู่ อ่านต่อไปนะครับแล้วคุณจะเข้าใจมัน และจะได้ไม่กลัวผม ไม่กลัวไสยศาสตร์
 
จำไว้นะครับว่า ไสยศาสตร์ สามารถสร้างคุณูประการให้ชีวิตเราอย่างมากมาย ผมกล้าพูดได้เลยครับว่า คนที่เล่นของมีของดี โดยเฉพาะของสายขาวนั้น ชีวิตจะได้เปรียบมากกว่าคนปกติ ที่ยึดปรัชญาว่าอยู่ที่ตัวเรา

ผมกล้าพูดอย่างหนักแน่ด้วยว่าคุณไม่มีของ คุณก็จะโดนของซะเอง...... คุณเคยเห็นสง่าราศีของผู้มีบุญไหมครับ รูปร่าง หน้าตา ดูมีสง่าราศี เมื่อคุณเห็นเค้า คุณจะหยุดมอง เช่น นักการเมือง ดารา นักวิชาการ ฯลฯ.

สิ่งเหล่านี้จะมีผลทำให้ผู้คนอื่นๆ ในสังคมเคารพ เกรงใจ และยอมทำตามภาวะผู้นำจาก สง่าราศีต่างๆ ของเขาคนนั้น นั่นคือผู้มีบุญตามธรรมชาติ ถึงแม้บางท่านมีสง่าราศีดีเพียงบางมุมมอง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีสง่าราศีเลย ส่วนคนปกติไสยศาสตร์ก็เข้ามาเสริมตรงจุดนี้นั่นเองครับคือการทำราศี นะหน้าทอง เจิมหน้าฝาก แล้วแต่จะเรียก ถ้าคุณมีของดี คุณจะได้เปรียบคนอื่นๆ ถ้าคุณไม่มีของดี แต่คนข้าง ๆ คุณมี คุณก็จะอยู่ใต้อำนาจของเขาเหล่านั้น คุณจะเมตตาเขา และ สนับสนุนเขาเขาอย่างที่ไม่รู้ตัว เอาหละแนวคิดผมเป็นเทวนิยมไปแล้วจากประสบการณ์ผมนั่นเองครับ

ชีวิตคนไม่ได้ต้องการแค่ปรัชญาที่ทำให้สบายใจเท่านั้น ความงมงายเกิดขึ้นได้กับทุกอย่าง ทุกปรัชญาจริงไหมครับ พวกถือศีลแค่ปาก รวมทั้งพวกคลั่งไสยศาสตร์ขอหวย กราบไหว้สัตว์แปลก ๆ ก็ดูสุดโต่งไป เป็นความงมงายรูปแบบหนึ่ง ปรัชญาที่ทำให้สบายใจ และ คนได้ใช้ชีวิตตามกติกา การถือศีลต่าง ๆ อย่างน้องที่สุดคุณก็จะสบายใจ ถ้าคุณใช้ชีวิตกับมันในสังคมเมืองได้ (หรือไม่) แต่ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าคุณจะไม่ตกนรกแน่นอนนะครับเชื่อผมสิ

ทวดเป็นหมอไสยศาสตร์สมัยโบราณ เป็นหมอไสยศาสตร์ที่มีความสามารถครบเครื่อง เรียนวิชามาจากเขมรท่านเดินทางไปเรื่อย ๆ ดูดวงและใช้ไสยศาสตร์ช่วยคน พอทวดเสียไปแล้วก็ไม่ได้เวียนว่ายตายเกิดปกติ แต่กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้คุณให้โทษได้ มีลูกศิษย์ลูกหาบูชาดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของทวด จนวันหนึ่งเหลนของทวดก็เกิดขึ้นมาพร้อมดวงชาตาที่ต้องเกิดมาเป็นหมอไสยศาสตร์ ก็คือพี่หมอของผมเองครับ ลิ้นท่านมีปาน ลิ้นสั้นติดเพดานล่างของปาก พี่หมอเกิดมามีฟันในปากสี่ซีกเลยครับ เส้นลายมือแปลกๆ^^ และหยั่งรู้ใจคน และ ที่ยิ่งไปกว่านั้น สามารถสื่อสารกับทวดได้
 
ทวดจะคอยกระซิบเหลนของท่านเมื่อเหลนของท่านดูดวงหรือประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ช่วยคน กลายเป็นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ที่มีดวงจิตสองดวง คือทวดและเหลนอีกทั้งยังมีดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของผีเจ้าเปลวที่เป็นแนวร่วมในพิธีกรรมในป่าช้าของพี่หมอรวมเป็นดวงจิตสามดวงซึ่งเรื่องผีเจ้าเปลวผมขอพูดให้น้อยที่สุดนะครับ

เหลนของทวดคือพี่หมอของผม ท่านดูดวงได้ตั้งแต่แปดขวบสื่อสารกับทวดได้ จนพี่หมออายุประมาณยี่สิบปี ทวดได้บอกพี่หมอว่าให้ออกมาช่วยคน ไม่ให้เป็นตำรวจแล้ว พี่หมอของผมชอบอาชีพตำรวจมากแต่ก็ต้องจำใจออกจากตรงนั้นมาเป็นหมอไสยศาสตร์เหมือนสมัยที่ทวดยังมีชีวิตอยู่ และมีดวงจิตของทวดในการทำพิธีกรรมดูดวงและพิธีกรรมไสยศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งหมด ทำให้พี่หมอของผมทำนายดวงชาตาได้อย่างทะลุ ทลวง และ มีพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ และผม(ต่อ) เท่านั้นที่จะเปิดเผยมันนะครับ (ผมเล่าให้ฟังได้เป็นร้อย ๆ เหตุการณ์ให้ทุกคนฟังได้นะครับ แต่บางเรื่องผมเล่าไม่ได้จริงๆ ต้องหลังไมล์เท่านั้นและเมื่อจำเป็นเท่านั้น)

ทุกวันนี้พี่หมอผมอายุ 34-35 เท่านั้นเป็นหมอไสยศาสตร์ที่ผมรู้จักมาเกือบสิบปี จนทุกวันนี้ท่านก็ยังช่วยคนเป็นพัน ๆ หมื่นๆ คนได้แล้วมั้งครับ วิชาอาคม พลังจิต นับวันยิ่งมีอานุภาพ ท่านเป็นหมอไสยศาสตร์สายขาว ที่ผมสามารถเล่าเรื่องราวของพี่หมอได้เป็นเดือนๆ ไม่ซ้ำเรื่องกันเลยครับ และบางเรื่องก็ไม่อยากเล่าเพราะผมกลัวจะโดนหาว่าบ้า หรือแต่งเรื่องมา เพราะมันโอเว่อร์ มากครับ
 
ฉะนั้นผมจะเล่าเฉพาะเรื่องที่เด่น ๆ เกี่ยวกับไสยศาสตร์ของพี่หมอดีกว่านะครับ .............. 

 




Create Date : 24 พฤษภาคม 2558
Last Update : 16 กันยายน 2564 4:07:57 น. 0 comments
Counter : 2365 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เทพต่อ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 129 คน [?]





สวัสดีผมชื่อต่อ เจ้าของเว็บสำนักพุฒาเวทย์
เรียกผมว่า ต่อ พุฒาเวทย์ ก็ได้นะครับ
ผมชอบและศึกษาพิธีทางไสยศาสตร์
ของจริง ของแท้

อ่านได้จากข้อมูลใน บล๊อกแห่งนี้นะครับ
พิธีเสริมดวง ล้างกรรมทำแท้ง ทำเสน่ห์ต่างๆ
คุยกับต่อได้เลยถ้าอยากเจอไสยศาสตร์แท้ๆ เก่งๆ
คุณสามารถติดต่อผมได้ที่ ....

โทร. 085-3476341 หรือ
ไลน์ @Torputhavej

(08.00-22.00 น.)
เลยสี่ทุ่มควรไลน์มาก่อนนะ

https://www.Torputhavej.com



* สงวน ลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ ปี 2537
Bloggang แห่งนี้ ห้ามมิให้คัดลอกไปลงเว็บไซต์
อื่นๆ ผู้ใดระเมิดจะถูกดำเนินคดีตามกฏหมายที่กำ
หนดไว้สูงสุด

* เรื่องราวต่าง ๆ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลกรุณาใช้
วิจารณญาณส่วนบุคคลพิจารณา





New Comments
Friends' blogs
[Add เทพต่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.