Group Blog
 
All blogs
 
น้ำใสใจจริง - อ่านด้วยความคิดถึง ซึ้งด้วยความทรงจำ


ดอกไม้สด หลากสีสัน
แม้เบ่งบาน สดใส รื่นรมย์
สักวันก็คงเฉา ร่วงโรย
ถ้าถูกปล่อยให้ระย้าท้าแสงแดด
ขาดคนเอาใจใส่

แล้วคนเรา
หากไร้ความชุ่มชื้นจากน้ำมิตร
พลังในหัวใจจะอ่อนล้าเพียงใด

สัมผัสความรักความเอื้ออาทร
จากเรื่องราวชีวิตหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัย
ซึ่งต่างที่มา ต่างจุดหมายปลายทาง

แต่ยามนี้   น้ำใสใจจริง
คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงพวกเขาให้อยู่ร่วมกันด้วยไมตรี

และอนาคต  ไม่ว่าเพื่อนจะอยู่ ณ จุดใด
สายใยที่ผูกพันความเป็นมิตรแท้ก็ยังคงกระชับมั่น


น้ำใสใจจริง  วรรณกรรมสะท้อนความสุขแห่งมิตรภาพ

----------------------------




ยังจำได้ไหม  สมัยเป็นละครออกอากาศทาง ช่อง ๗  เมื่อ ๒๐ ปีก่อน (๒๕๓๗) นำทีมโดยพี่หนุ่ม-แศรราม พี่เต๋า-สมชาย พี่แคท-แคทรียา และพี่นัท-มีเรีย  (เรียกพี่นำ เพราะถือว่าโตมากับการกรี๊ดดารารุ่นนี้ อิอิ) ตอนนั้นเรียกได้ว่าติดละครเรื่องนี้งอมแงม  แต่สมัยก่อนไม่มีเงินซื้อหนังสือหรอกค่ะ  อาศัยอ่านตามห้องสมุดหรือร้านเช่า จนกระทั่งทำงานหาเงินเองได้ถึงได้เริ่มซื้อ นี่อาจเป็นสาเหตุของความอัดอั้นทุกวันนี้จึงมีหนังสือซื้อมาดองกองอยู่เป็นพะเรอเกวียน แต่ถึงอย่างนั้นก็เพิ่งจะมีเล่มนี้ "น้ำใสใจจริง"


ในละครทำออกมาได้สนุกสนานชอบมาก ความรักของครีมกับโจม และคู่กัดระหว่างสาวมาดทอมฉายา "อ้อมเพชรศิษย์ บขส." กับ นายสุดหล่อที่ไม่มีใครเอาอย่างนายทัดภูมิ  ส่วนในหนังสือ ถ้าใครคาดหวังในนิยายรักโรแมนติกคิดว่าคงไม่ตอบโจทย์สักเท่าไร เพราะนิยายเรื่องนี้โดดเด่นด้วยเรื่องราวของเพื่อนที่ผูกพันกันด้วยสายใยแห่งมิตรภาพ โจม ครีม ทัดภูมิ อ้อม หนิง ป๊อ  โหม่ง แคน พี่มหา รุ้ง อาจารย์สุประดิษฐ์ อาจารย์อัญชลิกา อาจารย์พอดี หรือ "ป๋าพอดี" ที่หาความพอดีไม่ค่อยได้  และยังมีอาจารย์ทองถวิลจอมเฮี๊ยบ  ที่นักศึกษาเรียกกันลับหลังว่า "ป้าทอง"

ซึ่งไม่ว่าจะในละครหรือในหนังสือเราชอบตัวละครทุกคน  และชอบเป็นพิเศษคือรูมเมทคู่เขม่นอย่างโหม่งกับแคนที่ไม่ค่อยจะถูกกันซะเลยเพราะโหม่งเป็นคนรักสัตว์เหลือแสน ส่วนนายแคนไม่ถูกชะตากับสัตว์ทุกชนิด ทั้งคู่เริ่มมีปัญหากันตะหงิดๆ นับแต่วันเข้าหอที่โหม่งแอบเอาน้องนกพกกรุงมาเลี้ยงที่หอพัก นั่นยังพอจะอดทนได้ แต่กรณีของ "ไอ้บอย" เพื่อนรักของโหม่ง แคนรับไม่ได้จริงๆ จึงเกิดเป็นเรื่อเป็นราวถึงขั้นต้องมีการย้ายห้องเปลี่ยนรูมเมท   แต่กรณีนี้โชคดีของไอ้บอย เมื่อมีโหม่งเข้ามาใครก็เรียก "ไอ้บอย" ว่าเป็นหมาจรจัดเร่ร่อนไม่มีเจ้าของได้เต็มปาก  เพราะโหม่งทุ่มเทดูแลให้ความรักความเอาใจใส่ต่อมันเป็นอย่างดี   

เมื่อนักศึกษาหนุ่มสาวมาอยู่รวมกันเป็นรุ่นบุกเบิกในมหาวิทยาลัยถิ่นภูธร  ต่างคนต่างจิตต่างใจ ต่างนิสัยจากร้อยพ่อร้อยแม่ บางคนอ่อนแอ บางคนเข้มแข็ง บางคนเอาแต่ใจ มีคนที่ปรับตัวได้ง่าย แล้วก็มีคนที่ปรับตัวได้ยาก แต่เมื่อมาอยู่ร่วมกัน ได้ช่วยเหลือกัน ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยน้ำใสใจจริง สายใยมิตรภาพเหล่านี้ได้ถักทอความผูกพันของเพื่อนแท้ ซึ่งเนื้อเพลง "เพลงของเพื่อน" ได้ช่วยบรรยายเนื้อหาของนิยายเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

ห่วงใยกัน กว่าใคร ต่างมีใจ ผูกพัน  แค่มองตา รู้กัน ทุกอย่าง
ต่างดูแลและใส่ใจ ต่างก็คอยชี้นำทาง  และไม่เคย เรียกร้องเอาสิ่งใด
เพราะเราคือ เพื่อนกัน   และไม่ยอม ทิ้งกัน มีแต่รักที่ยิ่งใหญ่
เพราะเราคือ เพื่อนกันก็เลยรู้ใจกันอย่างงี้

อยู่ในวัย คะนอง อย่าลำพองกันมากเกิน  อาจจะเดินหลงทางไปได้
ตั้งใจไป สู่ฝัน ผลักดันกันด้วยแรงใจ ต่อให้ไกล แสนไกลไม่ต้องกลัว

เพราะเราคือ เพื่อนกันและไม่ยอม ทิ้งกัน มีแต่รักที่ยิ่งใหญ่
เพราะเราคือ เพื่อนกัน ก็เลยรู้ใจ เข้าใจ

กอด คอกันไป ไปให้สุด ปลายทาง  คำว่ารักไม่จืดจาง ต่างแลกใจ ให้กัน
กอด คอกันไป ไปให้สุดทางฝัน  บทเพลงเพื่อนนี้ขับขานเพื่อใจจริงและความรัก



ส่วนต่อไปนี้คือ น้ำใสใจจริงในชีวิตจริง ของเราในอีกหลายปีต่อมา ที่ไม่ว่าคุณจะอยากอ่านหรือไม่แต่เราอยากเล่า อิอิ  แต่เตือนว่ายาวนะคะ --- ข้ามไปก็ได้   Smiley

ตัวละครในนิยายเรื่องนี้เป็นรุ่นบุกเบิกรุ่นแรกของมหาวิทยาลัยภูธรแห่งหนึ่ง  ขณะที่ตัวเราเองในวัยนั้นก็เป็นนักศึกษารุ่นสองของมหาวิทยาลัย (วิทยาเขต) ซึ่งยังถูกนับเป็นรุ่นบุกเบิกเช่นกัน พวกเรามีกันอยู่แค่ร้อยกว่าคน การบรรยายบรรยากาศต่างๆ ในนิยายเรื่องนี้จึงกระตุ้นความหลังความทรงจำแสนดี และทำให้คิดถึงมาก

ภาพของหอพักนักศึกษา แทบจะผุดขึ้นมาจากคำบรรยาย หอพักหญิงชายที่ตั้งโดดเด่นแม้จะมีเว้นระยะห่างแต่เราก็คู่กัน (หมายถึง หอพักน่ะนะ) 

เรื่องเล่าผีหอพัก--เราก็มี  กฏหอเราก็เข้ม   ห้องน้ำรวม น้ำไม่ไหล ไฟก็ดับ สระผม ฟอกสบู่ ยังคาร่าง เรายังจดจำ  ไปขยันดับเสียด้วย  ส่วนการออกจากมอไปยังหมู่บ้านร้านตลาด  สมัยเรามีจักรยานน้อยคัน  อัพเกรดขึ้นมาเป็นมอเตอร์ไซด์ที่ท้ายแทบไม่เคยว่าง  คนขับหนึ่ง ซ้อนท้ายสอง นั่งซ่อนหน้าคนขับอีกหนึ่งเป็นภาพที่พบเห็นกันได้ไม่แปลก เพราะใช่ว่าทุกคนจะมีมอเตอร์ไซด์เป็นของตัวเอง 

ที่ตั้งมอของเราอยู่ห่างจากชุมชนพอสมควร  ตอนนั้นถนนจากหน้ามอออกไปยังชุมชน ยังไม่มีไฟถนนเลยด้วยซ้ำ  เคยครั้งหนึ่งที่ไฟรถมอเตอร์ไซด์เสีย  ต้องขับมอเตอร์ไซด์ฝ่าความมืดกลางถนนมืดมิด ซึ่งนั่นมันชวนหลอนมาก  กลัวคนไม่เท่าไหร่ แต่กลัวมากคือ ผ สระอี ผี 

ก่อนที่เราจะเข้าไปอยู่ในหอพักที่สร้างเสร็จในปีต่อมา  ในปีแรกพวกเราอาศัยเช่าบ้านอยู่รวมๆกันในชุมชน  เพราะไม่มีหอพักมีแต่บ้านเช่าเป็นหลังๆ  คนไม่เคยรู้จักจึงต้องจับกลุ่มมาอยู่รวมกันเพื่อเป็นการประหยัด  ที่จริงในปีแรกนั้นเรามีอิสระกว่าการอยู่ในหอพักมาก บางทีก็ตั้งวงย่างหมูกะทะ  (ปาร์ตี้ยอดฮิต)  มี "ป๊อกซ่า" เป็นตำนานการชงเหล้าของเหล่าบรรดาขาเฮ้ว บ้านหลังหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นบ้านหรรษา (เราอยู่หลังนี้) เพราะมีพื้นที่กว้างและโต๊ะยาวตัวใหญ่เหมาะกับกิจกรรมหลากหลาย สุมหัวทำรายงาน ลอกการบ้าน ตั้งวงไพ่ เล่นบิงโก โขกหมากรุก กินข้าวกินปลา มาม่าสาบาน เราใช้ชีวิตด้วยกันที่นั่น

คุณรู้จักไหม  มาม่าสาบาน  ดึกดื่นทำรายงาน หิวขึ้นมาก็เทมาม่าหลายๆ ซอง ใส่ลงไปในกระทะน้ำร้อนรวมกัน ปรุงเสร็จก็ยกมาตั้งทั้งกระทะตักตะเกียบจ้วงช้อนกินรวมกันอย่างนั้นเองไม่จำเป็นต้องตักแบ่ง  ยามมีกิน-กินด้วยกัน  ยามอด-อดด้วยกัน  อย่างหลังนี้จะเป็นช่วงเวลาปลายเดือนที่เงินส่งเสียจากทางบ้านต่างร่อยหรอ เอาล่ะ ถึงเวลาหยิบรองเท้าผ้าใบออกไปใส่วิ่งออกกำลังกายตามทางเดินริมทุ่งนา เหลียวซ้ายแลขวาไม่มีใคร ชะแว๊บลงไปเก็บผักบุ้งปลายนามาผัดกินกัน  (เป็นนักศึกษา--ช่างยากจนข้นแค้น)

วิทยาเขตสร้างใหม่ ของมหาวิทยาลัยทางการเกษตร แน่นอนว่าที่ตั้งนั้นต้องเป็นพื้นที่กินอณาเขตป่าดงกว้างใหญ่ มีลักษณะเป็นที่ราบแอ่งกระทะ เพราะมองไปทางไหนก็จะเห็นทิวเขาล้อมรอบอยู่ไกลๆ   ด้านหน้ามอ จะมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ฝั่งด้านซ้ายจะเป็นเขื่อนกั้น เราเรียกกันว่าอ่างเดือนเขื่อนดาว มีศาลเจ้าแม่ตั้งอยู่ ณ ยอดเนินริมสันเขื่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเราจะพากันไปจุดธูปบอกกล่าวเมื่อเข้ามา บอกลาเมื่อจากไป และในระหว่างปีที่ศึกษากันอยู่นั้น ก็จะมีการสักการะกันประจำปี หรือบางทีก็มีบนบานศาลกล่าวขอให้สอบผ่านได้เกรดดีๆ  (พยายามทุกวิถีทางนะ) 

ถนนเข้าหมู่บ้านผ่านหน้ามอจะแยกมาจากถนนสายหลักที่ตัดผ่านตัวอำเภอ ลึกเข้ามาแล้วเลาะเรียบริมอ่างเก็บน้ำนี้เข้าไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ที่อยู่ลึกเข้าไป  นอกจากถนนลาดยางเส้นเล็กๆ และอ่างเก็บน้ำที่ว่านี้  อาคารคณะบริหาร  อาคารเรียนรวม สนามบาสเกตบอล และ หอพักสองหลังแล้ว พวกเราถูกล้อมรอบไปด้วยป่ากับป่า  

ในนิยาย โจม  พระเอกของเรื่อง จะชอบเดินบุกป่าฝ่าดงไปดูตัวเงินตัวทอง  บางครั้งก็มีเพื่อนๆ ไปเดินเล่นด้วย    พวกเราก็เดินดูป่าเช่นกัน  บางคนเพื่อนสาวก็เข้าไปหาหน่อไม้มาแกง (แอบทำกับข้าวในหอพัก มันเป็นเรื่องปกติของชาวหอ) และครั้งหนึ่งเพื่อนบ่าวยังได้งูมาด้วย --- ลูกทุ่งขนานแท้ 

"เสาร์พัฒนา"  เป็นชีวิตที่ต้องตื่นมาเพื่อสถาบัน คุณนึกภาพนักศึกษาหน้าตางัวเงียที่แทบจะฟุบหลับมิหลับแหล่นั่งกองเปะปะแลดูไร้สภาพกันอยู่หน้าหอพักในยามถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่ไก่โห่เพื่อปฏิบัติภารกิจ "เสาร์พัฒนา" บางทีก็ถางป่า บางทีก็ปลูกป่า ณ อนึ่ง คิดถึงขณะนั้น ถ้าใช้ศัพท์สมัยนี้ต้องเรียกว่า ความเซ็งลงตับ  

ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน  แม้จะไม่ได้เรียนสาขาเกษตร (ตอนนั้นยังไม่พร้อมเปิด) แต่พวกเราก็เลี้ยงปลากันด้วย แหล่งน้ำธรรมชาติ เลี้ยงธรรมชาติ แค่ปล่อยปลาลงไปปล่อยให้มันหากินโตกันเอง พอถึงเวลาจับปลาขาย รายได้เข้าสโมสรนักศึกษาไว้ทำกิจกรรมต่างๆ   มันก็เป็นวันที่ทั้งเหนื่อย ทั้งฮา เพราะว่าพอสูบน้ำออกเหลือแต่โคลน ก็นักศึกษานี่แหละเฮโลดาหน้าลงไปจับปลามือเปล่า  เพิ่งจะเคยจับปลาดุกตัวเป็นๆ ครั้งแรกก็ครั้งนั้นแหละ ตอนแรกจะเกร็งและกลัวมากเพราะกลัวเงี่ยงตำ แต่พอจับได้ รู้วิธี  ทีนี้แหละหนุกหนานกันใหญ่



ในนิยายมีงานเทศกาลลอยกระทงที่ทางจังหวัดจะขอความร่วมมือมาทางมหาวิทยาลัย  พวกเราก็มีงานฤดูหนาว ช่วงชีวิตหนาวเหน็บที่แสนเหนื่อยแต่ก็สนุกสนาน หนักทั้งเรียน เหนื่อยทั้งกิจกรรมที่ต้องรับผิดชอบ  เพราะเรามีกันน้อยคน ชีวิตนักศึกษาที่นี่อย่าหวังว่าใครจะสามารถดำรงตนเป็นบุคคลผู้อู้งานได้  มันต้องมีงานหนึ่งงานใดหรือหลายงานที่แต่ละคนต้องช่วยกันรับผิดชอบคนละไม้ละมือ  ช่วงเทศกาลงานฤดูหนาวจะมีอยู่เก้าวัน  ก่อนหน้านั้นจะใช้เวลาวางแผนเตรียมงานกันก็ไม่น้อย  พอถึงวันงาน กลางวันเราเรียนแต่เช้าจรดเย็น จากเย็นเราเข้าเมืองที่มีทั้งการออกร้านนิทรรศการ การขายสินค้าผลิตภัณฑ์ ส่วนทางมอของเราก็ต้องโปรโมทตัวเองในแง่ต่างๆ 

การเปิดลานเบียร์ในงานฤดูหนาว เป็นงานค่อนข้างหนัก เพราะไหนจะต้องจัดการแสดง แดนเซอร์ นางรำ นักร้องนักดนตรีที่จัดได้ตั้งแต่สตริง ลูกทุ่ง หมอรำ  ไหนจะเด็กเสิร์ฟ แคชเชียร์ ฝ่ายทำอาหาร แล้วยังต้องจัดชุดการแสดงไปขึ้นเวทีใหญ่ที่ทางจังหวัดขอมา  ต้องวิ่งรอกสับเปลี่ยนกันมือเท้าเป็นระวิง กว่าจะเก็บร้านกลับออกจากเมืองก็ตีหนึ่งตีสอง รถปิ๊กอัพวิ่งฝ่าหมอกหนาอากาศหนาวเย็นพวกเรานั่งอัดกันเป็นปลากระป๋องด้วยสองสาเหตุ หนึ่งรถมีน้อยคัน และสอง--มันหนาวววว  กว่าจะถึงตีสามตี่สี่เพิ่งเข้านอน เช้าหอบสังขารไปเรียน เป็นอย่างนี้กว่าจะเสร็จงานพวกเราแต่ละคนก็แทบเดี้ยง 

แต่งานฤดูหนาวนั้นพวกเราจะภาคภูมิใจกับการบริหารจัดการขนานใหญ่ที่แม้จะเหนื่อยหนักแต่ก็ได้มาซึ่งเงินรายได้ที่ใช้ประโยชน์ได้เป็นจำนวนมาก จากรุ่นพี่บุกเบิก สู่รุ่นเรา พอรุ่นน้องถัดไป เริ่มมีคำถามเกิดขึ้นมาว่าการจัดลานเบียร์มันดูล่อแหลมเรื่องเหมาะสมหรือไม่ ในตอนนั้นมันไม่เกิดปัญหาอะไร มันจึงไม่มีอะไร เพราะสาวๆ ไม่ได้แต่งโป๊ การแสดงก็เหมือนจัดงานโรงเรียนทั่วไป อาจจะมีถูกแซวบ้างเพราะเป็น "สาวๆ" แต่ก็ไม่ได้มีใครมารุ่มร่ามให้เป็นประเด็น  เราคิดว่าการที่มีมหาลัยมาเปิดวิทยาเขตที่จังหวัดของตนเอง มันจะนำมาซึ่งการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าอย่างหนึ่ง (ซึ่งเห็นได้ชัดยิ่งกว่าชัดในปัจจุบันนี้) นักศึกษาครูอาจารย์จึงค่อนข้างได้รับความเอื้อเอ็นดูและการให้เกียรติ

กีฬาชุมชน  เป็นอีกเรื่องที่สนุกสนาน  เมื่อเอาชาวบ้านแต่ละหมู่บ้านมาแข่งกีฬากันมันก็เหมือนกับพี่ฬาสีนั่นเอง  มหาวิทยาลัยก็ได้รับเกียรติเป็นหมู่บ้านหนึ่ง   และถึงจะเป็นกีฬาชุมชนก็ใช่ว่าจะจัดไม่เต็ม มีดรัมเมเยอร์ มีตีกลองใหญ่  มีขบวนกลองยาวของชาวบ้าน  หมู่บ้านของเราก็จำเป็นต้องจัดเต็มกับเขาด้วยเหมือนกัน  กีฬาที่ใช้แข่งก็มีสารพัดอย่างกินวิบาก วิ่งสามขา ขี่ม้าส่งเมืองฯลฯ  ที่ดูพอจะเป็นการเป็นงานหน่อยก็การแข่งขันฟุตบอล เพราะจะมีนักกีฬาหนุ่มๆ รุ่นไม่ห่างกันมากมาแข่งกัน ค่อยสมน้ำสมเนื้อ แต่กระนั้นเถอะ --- พวกนั้นก็จะเป็นเด็กหนุ่มๆ มัธยม  เหมือนกับที่บางครั้งทีมโรงเรียนมัธยมก็จะเชิญพี่มหาลัยไปแข่งกระชับมิตรด้วย  หนุ่มสาวมหาลัยย่อมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ายากจดูยุติธรรม ถ้าชนะก็เหมือน "รังแกเด็ก" และถ้าแพ้นะ "อายเด็กชิบเป้ง" 

ถ้าเอ่ยถึงการแข่งกีฬา  ความทรงจำสุดฮาก็ต้อง "คุณนายลำไย"  พวกเราไม่ได้รับแจ้งให้เตรียมอะไร  แต่ในวันเปิดพิธี  ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในชุมชนอยากเห็นการแสดงชุดเปิดสนามจากนักศึกษามหาลัย ---  เหลียวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เตนท์ชาวบ้านรอดูอยู่รอบสนามพร้อมส่งเสียงเชียร์ สุดท้ายด้วยสปิริตมันก็ต้องทำ    เพื่อนเราคนหนึ่งเป็นเจ้าแม่แห่งการแสดง  เธอจึงร้องขอเพลง คุณนายลำไย ที่กำลังโด่งดัง  แล้วก้าวขึ้นไปในฐานะผู้นำแดนเซอร์  โชคดีจริงๆ เลยนะ ที่สมัยนั้นมือถือยังไม่ถ่ายคลิป 

จะว่าไปแล้วเรื่องกีฬา  เวลาเราจัดกีฬาสีก็สนุกกันสุดเหวี่ยงเช่นกัน  แม้ว่าประเภทกีฬาที่ใช้แข่งนั้นก็พอๆ กันกับกีฬาชุมชน ใช่จะเป็นกีฬาสากลทีมชาติ  กีฬายอดฮิตประจำมอ คือ เปตอง  โยนกันตุ๊บๆ โดยใช้ทางเดินดินแดงหน้าอาคารเรียนนั่นแหละเป็นสนาม   ทุกวันนี้เห็นการเล่นปิงปองทีไร เราคิดถึงที่นั่นเสมอ 

นอกจากการรวมตัวกันนั่งรถแดงไปดูหนังในตัวจังหวัดเป็นครั้งคราวแล้ว  หนังกลางแปลง หน้าตลาดสดก็เป็นอีกหนึ่งความบันเทิงของพวกเรา  งานของจังหวัดจะเป็นงานฤดูหนาว  ส่วนงานลอยกระทงเราจะถูกขอความร่วมมือจากทางอำเภอในเรื่องจัดการแสดง ในงานก็จะมีการออกร้านเหมือนงานวัด มีหนังกลางแปลงมาฉาย  เสื่อค่ะเสื่อ  หนึ่งผืนพกมา คลี่พรืดปูลงพื้น  เบียดเสียดกันดูหนังกลางแปลง  อากาศหนาวนะ แต่เฮฮาอบอุ่นดี 

คืนเวียนเทียน ใครจะไปรู้...ว่าพระสงฆ์ต่างจังหวัดเข้าจำวัดแต่หัวค่ำ  วัดปิดแล้ว แต่พวกเรายังร้องปลุกหลวงพ่อขอเข้าไปเวียนเทียนรอบโบสถ์  หลวงพ่อก็ดีใจหาย (พระนี่นะ) นอกจากจะมาเปิดให้ยังอุตส่าห์มามานั่งรอพวกเราเทียนรับสังฆทาน และเทศนาสั่งสอนด้วย  (แต่ไม่ได้ด่าเรื่องปลุกพระขึ้นมาจากการจำวัดหรอกนะ) นึกถึงทีไรก็ยังขำกันครานั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะศรัทธาแรงกล้าหรือว่าพวกเรามันบ้าบอ 

หน้าหนาวเราจะมีคนเข้าป่าไปหาเศษไม้มาก่อไฟผิงอยู่แถวๆ ลานดินข้างหอผัก พอมีกองไฟ เพื่อนๆ ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาคุย บางทีก็เผาเผือกเผามัน มีเพื่อนดีดกีตาร์ร้องเพลงมันเป็นบรรยากาศที่พอนึกย้อนกลับไปก็นะ..รื่นรมย์ของแท้  

บางทีเราก็มีปาร์ตี้  มีคอนเสิร์ต (เล่นกันเอง) อยู่ตรงใต้หอพัก ซึ่งจะเป็นวันที่อาจารย์อนุญาตให้ทำอาหารใต้ชายคาหอได้สักวัน  อาหารก็ไม่ได้มาจากไหนไกลหรอก  บ่อปลาข้างๆ นั่นแหละอาหารหลัก   อื่นๆ ก็ช่วยกันลงขัน แม่ครัวไม่ต้องหาจากที่ใดไหนอื่น  เมื่อร้อยพ่อร้อยแม่จากถิ่นอิสานเหนือใต้มาอยู่รวมกัน มันไม่เป็นการยากเลยที่จะหาคนมีฝีมือและชอบทำครัว 

เกาะเสม็ด อยากเที่ยวหนุกหนานด้วยกัน พวกเราก็วางแผนเก็บเงินรายเดือนลงขัน  พอเก็บได้พอก็เหมารถบัสไปกันฮาเฮ  เอ่ยถึงสถานที่แห่งนั้นเมื่อไรเราเป็นต้องคิดถึงวันเวลาเหล่านั้นทุกที  เพื่อนแม่ครัวจะจัดเตรียมข้าวเหนียวหาซื้อข้าวเหนียวหมูทอดไก่ทอดไว้ไปกินกันบนรถ การได้เที่ยวด้วยกัน ครั้งนั้น มันสนุกมากจริงๆ 

คืนฝนดาวตก ตีหนึ่งตีสอง  นักศึกษาที่สมัครใจตื่น หรือไม่สมัครใจแต่ถูกเพื่อนลากออกมาจากกองผ้าห่ม  ต่างพากันขี่มอเตอร์ไซด์ซ้อนท้ายขนเสื่อขนผ้าห่มจากบ้านเช่าในชุมชนเข้ามาที่มอ  ถนนทางเข้ามอเรานั้นจะตัดเรียบริมอ่างเก็บน้ำเข้าไป อย่างที่บอกว่าที่มอเราเป็นที่ราบแอ่งกะทะ  ท้องฟ้ากว้างใหญ่เปิดโล่งโจ้ง   กองไฟ ถูกก่อและกองไฟก็ถูกรุมร้อม   เสียงกีตาร์มีอยู่เสมอถ้าพวกเราได้มาชุมชนกันเพื่อผ่อนคลาย  นอกจากจะมีเพื่อนที่เป็นศิลปินประจำรุ่นร้องเพลงดีเล่นกีตาร์ได้  อาจารข์ของเราก็เป็นศิลปินเพลงด้วยเช่นกัน (แต่แนวหลักคือเพื่อชีวิต)  เพื่อนเราคนนี้เรานับถือในความสามารถของเค้ามาก เป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องเห็นคอร์ดกีตาร์  แค่ได้ฟังเพลงสองสามครั้ง ก็เล่นเพลงนั้นได้เองแล้ว  เอาล่ะบรรยากาศพร้อมคนก็พร้อม  สะบัดเสื่อสิคะ  แล้วก็นอนเรียงรายห่มผ้าเบียดกัน เรื่องเล่าจิกกัด ความขำขันเฮฮาต่างๆ ก็ตามมา หนาวนะ แต่ใจก็อบอุ่นดีมีแต่เสียงหัวเราะ  เมื่อถึงเวลาฝนดาวเริ่มตก  แสงสีจากฝนดาวตกทั่วฟ้าในปีนั้น ความประทับใจ--ยากจะลืม


ใช่แต่จะมีแต่เรื่องเฮฮาหนุกหนาน เรื่องเรียนเป็นอะไรที่หนักหน่วงเช่นกัน  น้ำตาของเพื่อนใกล้รีไทร์ ปัญหาที่ต้องช่วยกันแก้ไข  เพื่อนที่เรียนเก่งต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งของวันหยุดออกไปติวเพื่อน หรือไม่เพื่อนก็มาหาให้ติวที่บ้าน  เพื่อจะช่วยกันเรียนแล้วจบไปด้วยคน เวลามีแบ่งกลุ่มทำรายงาน  คนเรียนดีอันดับต้นๆ จะแยกกลุ่มกันหมด  มันไม่ใช่เรื่องการแบ่งแยกระดับสมอง เพราะเราก็รู้อยู่แล้วใครเรียนดีเรียนแย่  แต่การแบ่งกลุ่มให้มีความสามารถเท่าๆ กัน คะแนนกลุ่มก็จะออกมาใกล้เคียงกัน ไม่มีกลุ่มไหนคะแนนสูงลิบเพราะคนเก่งไปรวมหัวกัน หรือกลุ่มไหนคะแนนต่ำเตี่ยเรี่ยดินเพราะเหลือแต่พวกที่ไม่มีใครเอา   เราถูกรุ่นพี่สอนมาให้ช่วยกันเรียนช่วยกันรอดในแบบนี้  เพราะถึงยังไงความแตกต่างมันจะมีมากอยู่แล้วในการทดสอบรายบุคคล     ติวใต้หอ ปีที่เราอยู่หอพักและมีรุ่นน้อง  คนเป็นรุ่นพี่แต่ละคนที่เรียนเก่ง ก็จะต้องจัดตารางติวให้น้องใต้หอพักด้วย ในช่วงเวลาที่เด็กเก่งๆ  ต้องทำอย่างนั้นเราเชื่อว่ามันก็คงต้องมีเบื่อหน่ายกันบ้าง แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป มันคงน่าภูมิใจไม่น้อยที่ได้ช่วยเหลือกัน ได้รับการจดจำจากน้องว่าเป็นพี่ และสำหรับเพื่อน การที่ทุกคนได้เรียนจบไปพร้อมกันมันดีที่สุดแล้ว  

รับปริญญา  ตอนนั้นเพื่อนคนนึงครอบครัวมีปัญหาหนัก จนมีปัญหาเรื่องเงินไม่สามารถเดินทางไปรับปริญญาได้   มันก็คงเป็นไปตามนั้น หากว่าการอยู่ร่วมเป็นเพื่อนกันมา จะไม่ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง มันเป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่ในวันสำคัญอย่างนั้นเพื่อนคนนึงของเราจะขาดหายไป  ภาพทำเนียบรุ่น ที่นักศึกษาสวมชุดครุยจะถือปริญญานั่งเรียงรายอย่างสวยงามบนอัฒจันท์จะขาดเพื่อนคนหนึ่งไป  และมันจะขาดอยู่อย่างนั้นให้นึกถึงไปชั่วชีวิตของเราที่มองดูภาพนั้น เพื่อนทั้งห้องจึงตกลงร่วมลงขันเพื่อจะเป็นค่าใช้จ่ายให้เพื่อนมารับปริญญาพร้อมกัน เป็นเพื่อนต้องไม่ทิ้งกัน ความหมายมันคืออย่างนี้เอง     

ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่อาจบอกเล่าไปยาวกว่านี้ แต่มีความสุขจังที่ได้คิดถึง  เวลาเราเดินทางไปจังหวัดใดแล้วมีเพื่อนอยู่นั่น การได้นัดพบได้คุยกัน แล้วมีคนอื่นถามว่า  "ติดต่อกันมาตลอดเลยหรือ"  ไม่นะ ไม่เลย  ไม่ได้เจอกัน ไม่ได้โทรหากัน ต่างคนต่างก็แยกกันไปมีชีวิตของตัวเอง  แต่เมื่อเราพบกันความเป็นเพื่อนในวันวานมันก็ฟื้นคืนชีพได้เองนั่นแหละ  ล่าสุดมีคนถามว่า "ไม่เคยเจอกันมาเป็นสิบปีจริงเหรอ" แล้วทำไมดูสนิทกันมากเลย ที่จริงเราก็ไม่รู้หรอกว่าเพื่อนสมัยเรียนสำหรับคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร แต่เพื่อนสมัยเรียนของเราที่นี่ก็คือเพื่อนแบบนี้แหละ แม้ไม่ได้คุยกันนานหลายปี   แค่เพียงมีใจให้นึกถึง สบโอกาสจะพบเจอ แค่โทรเรียกหา  เฮ้ย  อยู่ไหน   จะไปที่โน่นว่ะ   ว่างป่าว /  เออ มาดิ อยากเจอว่ะ  

และนับตั้งแต่มีไลน์แอบพลิเคชั่นเข้ามา  ก็ได้ฟื้นความสนุกสนานและความสัมพันธ์ในวันเก่าก่อนเพิ่มขึ้นอีกทางด้วย  โดยข้อความผ่านไลน์ที่มีเพื่อนเกือบทั้งชั้นอยู่ในกลุ่มเดียวกัน  ใครว่างก็พิมพ์ๆ เรื่องลูกเต้า สามี  คานทอง เรื่องลูกน้องเจ้านาย ที่ทำงาน ปัญหาชีวิต ความอ้วน ความแก่   พ่อแม่เจ็บป่วย หนี้สินเงินทอง   เมาท์มอยข่าวสารบ้านเมือง ละครน้ำเน่า กอสซิบดารา เรื่องไม่สบอารมณ์ งี่เง่า ไร้สาระ ก็พ่นกันไปตามประสา ถ้าใครคนหนึ่งกำลังเศร้า  จะมีใครอีกคนมาให้กำลังใจ ถ้ามีใครกำลังฮา จะมีคนมาฮากว่า ถ้ามีใครกำลังโกรธเป็นบ้า  จะมีใครอีกคนมาชวนว่านั่งวินไปตบมันกันมั้ย ...นี่แหละคือเพื่อน ที่ถูกหล่อมความสัมพันธ์มาจากน้ำใสใจจริง  จึงเป็นตัวของตัวเองกันสุดๆ 


 ไม่ว่าเพื่อนจะอยู่ ณ จุดใด
สายใยที่ผูกพันความเป็นมิตรแท้ก็ยังคงกระชับมั่น


ถึงทุกวันนี้ยังคงพูดได้เต็มปากเต็มคำ  สถาบันแห่งนั้นเปรียบเสมือน "บ้าน" หลังที่สองของชีวิต ที่ที่ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชา และมอบช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำดีๆ 

ในวัยฝันวันเยาว์ของเราผอง  ข้าวสีทองดาษดาฟ้าแจ่มใส
ทั่วโลกหล้าอ่าอุ่น ละมุนละไม   มีความรักเริงไหวในชีวา
มีวันใดไหนจะเป็นเช่นวันโน้น  ความอ่อนโยนแผ่วเพรียกเหมือนเรียกหา
ให้ทบทวนหวนคำนึงถึงเวลา  อย่าร้างราคืนกลับประทับทรวง


"  ผมยังจำได้ถึงวันเวลาในอดีต.....เมื่อเรายังมีความทุกข์  ความกังวลและเหนื่อยหนักน้อยกว่าเวลานี้อยู่มาก  มันเป็นช่วงเวลาที่หลายๆ คนคงจะยอมรับว่าเป็นเวลาดีที่สุดของชีวิต เมื่อเราผ่านพ้นความไร้เดียงสาอย่างเด็กๆ มาแล้ว  แต่ก็ยังไม่เคยชินกับความขมขื่นลำเค็ญของวันเวลาแห่งความเป็นผู้ใหญ่   เรามีวันเวลาระหว่างกลาง - วันของวัยหนุ่มสาวเอาไว้เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของเรา" 

น้ำใสใจจริง 














Create Date : 21 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2557 17:31:41 น. 8 comments
Counter : 2174 Pageviews.

 
ยังไม่เคยอ่านเล่มนี้เลยครับ
แล้วก็ยังไม่เคยดูที่เป็นละครด้วย
แต่อ่านจากรีวิวแล้วทำให้คิดถึงเพื่อนๆเลยครับ
คงต้องรีบไปหา น้ำใสใจจริง มาอ่านบ้างแล้ว


โดย: เด็กชายโจตี้ (สมาชิกหมายเลข 1884125 ) วันที่: 22 พฤศจิกายน 2557 เวลา:1:55:42 น.  

 
เห็นรูปทำให้คิดถึงเลยค่ะ แต่ละคนในละครวัยละอ่อนจริงๆ 555


โดย: kunaom วันที่: 22 พฤศจิกายน 2557 เวลา:16:08:46 น.  

 
รีวิวละเอียด อ่านเพลินมากครับ
เรื่องนี้ชอบมาก


โดย: อุ้มสม วันที่: 22 พฤศจิกายน 2557 เวลา:18:39:58 น.  

 
ชอบนิยายเรื่องนี้มากเลยค่ะ เป็นอีกหนึ่งเล่มโปรดของนางมปากกา ว.วินิจฉัยกุล
เรื่องราวสมัยเรียนของคุณเจ้าของบล็อกน่าประทับใจมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วซึ้ง


โดย: Moonshiner วันที่: 23 พฤศจิกายน 2557 เวลา:0:48:08 น.  

 
รีวิวซะแทบจะต้องรื้อบ้านไปคุ้ยหนังสือเล่มนี้มาอ่านอีกรอบ...เป็นรอบที่...นับไม่ถ้วน

ละเอียดลออมากค่า
โหวต โหวต


โดย: แม่ไก่ วันที่: 23 พฤศจิกายน 2557 เวลา:12:32:37 น.  

 

เป็นเรื่องโปรดเช่นกันค่ะ รีวิว + เรื่องเล่าของจขบ. ถึงจะยาว แต่อ่านสนุกค่ะ


โดย: กล้ายางสีขาว วันที่: 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา:11:11:52 น.  

 
@คุณเด็กชายโจตี้ ลองอ่านเอาบรรยากาศคิดถึงเพื่อนค่ะ ^^

@คุณkunaom คิดถึงพี่เต๋า อิอิ

@เคยอ่านรีวิวของน้องอุ้มสมมาเหมือนกันค่ะ ดีใจจังที่ชอบ

ขอบคุณ @คุณแม่ไก่ @คุณกล้ายางสีขาว และ @คุณ Moonshiner

เรื่องเขียนรีวิวยาวนี่แก้นิสัยตัวเองไม่หายซะทีค่ะ เพลิน


โดย: prysang วันที่: 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา:19:35:53 น.  

 
สวัสดีค่า คุณปรายแสง ^^
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่รักเลยค่ะ
ชอบการดำเนินเรื่อง
ตัวละครแต่ละตัว
นุ่นว่าเป็นอะไรที่ใกล้ตัว
เหมือนเราจับต้องได้ไม่ยาก
แล้วก็เลยอิน ถึงบางทีมุขจะเก่าตามปีที่เขียนแต่ยังร่วมสมัยอยู่
ชอบมากๆเลยค่ะ นิยายเรื่องนี้

ขอบคุณมากๆค่า



โดย: lovereason วันที่: 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา:23:33:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.