กอด คอกันไป ไปให้สุด ปลายทาง คำว่ารักไม่จืดจาง ต่างแลกใจ ให้กัน
กอด คอกันไป ไปให้สุดทางฝัน บทเพลงเพื่อนนี้ขับขานเพื่อใจจริงและความรัก
ส่วนต่อไปนี้คือ น้ำใสใจจริงในชีวิตจริง ของเราในอีกหลายปีต่อมา ที่ไม่ว่าคุณจะอยากอ่านหรือไม่แต่เราอยากเล่า อิอิ แต่เตือนว่ายาวนะคะ --- ข้ามไปก็ได้
ตัวละครในนิยายเรื่องนี้เป็นรุ่นบุกเบิกรุ่นแรกของมหาวิทยาลัยภูธรแห่งหนึ่ง ขณะที่ตัวเราเองในวัยนั้นก็เป็นนักศึกษารุ่นสองของมหาวิทยาลัย (วิทยาเขต) ซึ่งยังถูกนับเป็นรุ่นบุกเบิกเช่นกัน พวกเรามีกันอยู่แค่ร้อยกว่าคน การบรรยายบรรยากาศต่างๆ ในนิยายเรื่องนี้จึงกระตุ้นความหลังความทรงจำแสนดี และทำให้คิดถึงมาก
ภาพของหอพักนักศึกษา แทบจะผุดขึ้นมาจากคำบรรยาย หอพักหญิงชายที่ตั้งโดดเด่นแม้จะมีเว้นระยะห่างแต่เราก็คู่กัน (หมายถึง หอพักน่ะนะ)
เรื่องเล่าผีหอพัก--เราก็มี กฏหอเราก็เข้ม ห้องน้ำรวม น้ำไม่ไหล ไฟก็ดับ สระผม ฟอกสบู่ ยังคาร่าง เรายังจดจำ ไปขยันดับเสียด้วย ส่วนการออกจากมอไปยังหมู่บ้านร้านตลาด สมัยเรามีจักรยานน้อยคัน อัพเกรดขึ้นมาเป็นมอเตอร์ไซด์ที่ท้ายแทบไม่เคยว่าง คนขับหนึ่ง ซ้อนท้ายสอง นั่งซ่อนหน้าคนขับอีกหนึ่งเป็นภาพที่พบเห็นกันได้ไม่แปลก เพราะใช่ว่าทุกคนจะมีมอเตอร์ไซด์เป็นของตัวเอง
ที่ตั้งมอของเราอยู่ห่างจากชุมชนพอสมควร ตอนนั้นถนนจากหน้ามอออกไปยังชุมชน ยังไม่มีไฟถนนเลยด้วยซ้ำ เคยครั้งหนึ่งที่ไฟรถมอเตอร์ไซด์เสีย ต้องขับมอเตอร์ไซด์ฝ่าความมืดกลางถนนมืดมิด ซึ่งนั่นมันชวนหลอนมาก กลัวคนไม่เท่าไหร่ แต่กลัวมากคือ ผ สระอี ผี
ก่อนที่เราจะเข้าไปอยู่ในหอพักที่สร้างเสร็จในปีต่อมา ในปีแรกพวกเราอาศัยเช่าบ้านอยู่รวมๆกันในชุมชน เพราะไม่มีหอพักมีแต่บ้านเช่าเป็นหลังๆ คนไม่เคยรู้จักจึงต้องจับกลุ่มมาอยู่รวมกันเพื่อเป็นการประหยัด ที่จริงในปีแรกนั้นเรามีอิสระกว่าการอยู่ในหอพักมาก บางทีก็ตั้งวงย่างหมูกะทะ (ปาร์ตี้ยอดฮิต) มี "ป๊อกซ่า" เป็นตำนานการชงเหล้าของเหล่าบรรดาขาเฮ้ว บ้านหลังหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นบ้านหรรษา (เราอยู่หลังนี้) เพราะมีพื้นที่กว้างและโต๊ะยาวตัวใหญ่เหมาะกับกิจกรรมหลากหลาย สุมหัวทำรายงาน ลอกการบ้าน ตั้งวงไพ่ เล่นบิงโก โขกหมากรุก กินข้าวกินปลา มาม่าสาบาน เราใช้ชีวิตด้วยกันที่นั่น
คุณรู้จักไหม มาม่าสาบาน ดึกดื่นทำรายงาน หิวขึ้นมาก็เทมาม่าหลายๆ ซอง ใส่ลงไปในกระทะน้ำร้อนรวมกัน ปรุงเสร็จก็ยกมาตั้งทั้งกระทะตักตะเกียบจ้วงช้อนกินรวมกันอย่างนั้นเองไม่จำเป็นต้องตักแบ่ง ยามมีกิน-กินด้วยกัน ยามอด-อดด้วยกัน อย่างหลังนี้จะเป็นช่วงเวลาปลายเดือนที่เงินส่งเสียจากทางบ้านต่างร่อยหรอ เอาล่ะ ถึงเวลาหยิบรองเท้าผ้าใบออกไปใส่วิ่งออกกำลังกายตามทางเดินริมทุ่งนา เหลียวซ้ายแลขวาไม่มีใคร ชะแว๊บลงไปเก็บผักบุ้งปลายนามาผัดกินกัน (เป็นนักศึกษา--ช่างยากจนข้นแค้น)
วิทยาเขตสร้างใหม่ ของมหาวิทยาลัยทางการเกษตร แน่นอนว่าที่ตั้งนั้นต้องเป็นพื้นที่กินอณาเขตป่าดงกว้างใหญ่ มีลักษณะเป็นที่ราบแอ่งกระทะ เพราะมองไปทางไหนก็จะเห็นทิวเขาล้อมรอบอยู่ไกลๆ ด้านหน้ามอ จะมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ฝั่งด้านซ้ายจะเป็นเขื่อนกั้น เราเรียกกันว่าอ่างเดือนเขื่อนดาว มีศาลเจ้าแม่ตั้งอยู่ ณ ยอดเนินริมสันเขื่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเราจะพากันไปจุดธูปบอกกล่าวเมื่อเข้ามา บอกลาเมื่อจากไป และในระหว่างปีที่ศึกษากันอยู่นั้น ก็จะมีการสักการะกันประจำปี หรือบางทีก็มีบนบานศาลกล่าวขอให้สอบผ่านได้เกรดดีๆ (พยายามทุกวิถีทางนะ)
ถนนเข้าหมู่บ้านผ่านหน้ามอจะแยกมาจากถนนสายหลักที่ตัดผ่านตัวอำเภอ ลึกเข้ามาแล้วเลาะเรียบริมอ่างเก็บน้ำนี้เข้าไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ที่อยู่ลึกเข้าไป นอกจากถนนลาดยางเส้นเล็กๆ และอ่างเก็บน้ำที่ว่านี้ อาคารคณะบริหาร อาคารเรียนรวม สนามบาสเกตบอล และ หอพักสองหลังแล้ว พวกเราถูกล้อมรอบไปด้วยป่ากับป่า
ในนิยาย โจม พระเอกของเรื่อง จะชอบเดินบุกป่าฝ่าดงไปดูตัวเงินตัวทอง บางครั้งก็มีเพื่อนๆ ไปเดินเล่นด้วย พวกเราก็เดินดูป่าเช่นกัน บางคนเพื่อนสาวก็เข้าไปหาหน่อไม้มาแกง (แอบทำกับข้าวในหอพัก มันเป็นเรื่องปกติของชาวหอ) และครั้งหนึ่งเพื่อนบ่าวยังได้งูมาด้วย --- ลูกทุ่งขนานแท้
"เสาร์พัฒนา" เป็นชีวิตที่ต้องตื่นมาเพื่อสถาบัน คุณนึกภาพนักศึกษาหน้าตางัวเงียที่แทบจะฟุบหลับมิหลับแหล่นั่งกองเปะปะแลดูไร้สภาพกันอยู่หน้าหอพักในยามถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่ไก่โห่เพื่อปฏิบัติภารกิจ "เสาร์พัฒนา" บางทีก็ถางป่า บางทีก็ปลูกป่า ณ อนึ่ง คิดถึงขณะนั้น ถ้าใช้ศัพท์สมัยนี้ต้องเรียกว่า ความเซ็งลงตับ
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน แม้จะไม่ได้เรียนสาขาเกษตร (ตอนนั้นยังไม่พร้อมเปิด) แต่พวกเราก็เลี้ยงปลากันด้วย แหล่งน้ำธรรมชาติ เลี้ยงธรรมชาติ แค่ปล่อยปลาลงไปปล่อยให้มันหากินโตกันเอง พอถึงเวลาจับปลาขาย รายได้เข้าสโมสรนักศึกษาไว้ทำกิจกรรมต่างๆ มันก็เป็นวันที่ทั้งเหนื่อย ทั้งฮา เพราะว่าพอสูบน้ำออกเหลือแต่โคลน ก็นักศึกษานี่แหละเฮโลดาหน้าลงไปจับปลามือเปล่า เพิ่งจะเคยจับปลาดุกตัวเป็นๆ ครั้งแรกก็ครั้งนั้นแหละ ตอนแรกจะเกร็งและกลัวมากเพราะกลัวเงี่ยงตำ แต่พอจับได้ รู้วิธี ทีนี้แหละหนุกหนานกันใหญ่
ในนิยายมีงานเทศกาลลอยกระทงที่ทางจังหวัดจะขอความร่วมมือมาทางมหาวิทยาลัย พวกเราก็มีงานฤดูหนาว ช่วงชีวิตหนาวเหน็บที่แสนเหนื่อยแต่ก็สนุกสนาน หนักทั้งเรียน เหนื่อยทั้งกิจกรรมที่ต้องรับผิดชอบ เพราะเรามีกันน้อยคน ชีวิตนักศึกษาที่นี่อย่าหวังว่าใครจะสามารถดำรงตนเป็นบุคคลผู้อู้งานได้ มันต้องมีงานหนึ่งงานใดหรือหลายงานที่แต่ละคนต้องช่วยกันรับผิดชอบคนละไม้ละมือ ช่วงเทศกาลงานฤดูหนาวจะมีอยู่เก้าวัน ก่อนหน้านั้นจะใช้เวลาวางแผนเตรียมงานกันก็ไม่น้อย พอถึงวันงาน กลางวันเราเรียนแต่เช้าจรดเย็น จากเย็นเราเข้าเมืองที่มีทั้งการออกร้านนิทรรศการ การขายสินค้าผลิตภัณฑ์ ส่วนทางมอของเราก็ต้องโปรโมทตัวเองในแง่ต่างๆ
การเปิดลานเบียร์ในงานฤดูหนาว เป็นงานค่อนข้างหนัก เพราะไหนจะต้องจัดการแสดง แดนเซอร์ นางรำ นักร้องนักดนตรีที่จัดได้ตั้งแต่สตริง ลูกทุ่ง หมอรำ ไหนจะเด็กเสิร์ฟ แคชเชียร์ ฝ่ายทำอาหาร แล้วยังต้องจัดชุดการแสดงไปขึ้นเวทีใหญ่ที่ทางจังหวัดขอมา ต้องวิ่งรอกสับเปลี่ยนกันมือเท้าเป็นระวิง กว่าจะเก็บร้านกลับออกจากเมืองก็ตีหนึ่งตีสอง รถปิ๊กอัพวิ่งฝ่าหมอกหนาอากาศหนาวเย็นพวกเรานั่งอัดกันเป็นปลากระป๋องด้วยสองสาเหตุ หนึ่งรถมีน้อยคัน และสอง--มันหนาวววว กว่าจะถึงตีสามตี่สี่เพิ่งเข้านอน เช้าหอบสังขารไปเรียน เป็นอย่างนี้กว่าจะเสร็จงานพวกเราแต่ละคนก็แทบเดี้ยง
แต่งานฤดูหนาวนั้นพวกเราจะภาคภูมิใจกับการบริหารจัดการขนานใหญ่ที่แม้จะเหนื่อยหนักแต่ก็ได้มาซึ่งเงินรายได้ที่ใช้ประโยชน์ได้เป็นจำนวนมาก จากรุ่นพี่บุกเบิก สู่รุ่นเรา พอรุ่นน้องถัดไป เริ่มมีคำถามเกิดขึ้นมาว่าการจัดลานเบียร์มันดูล่อแหลมเรื่องเหมาะสมหรือไม่ ในตอนนั้นมันไม่เกิดปัญหาอะไร มันจึงไม่มีอะไร เพราะสาวๆ ไม่ได้แต่งโป๊ การแสดงก็เหมือนจัดงานโรงเรียนทั่วไป อาจจะมีถูกแซวบ้างเพราะเป็น "สาวๆ" แต่ก็ไม่ได้มีใครมารุ่มร่ามให้เป็นประเด็น เราคิดว่าการที่มีมหาลัยมาเปิดวิทยาเขตที่จังหวัดของตนเอง มันจะนำมาซึ่งการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าอย่างหนึ่ง (ซึ่งเห็นได้ชัดยิ่งกว่าชัดในปัจจุบันนี้) นักศึกษาครูอาจารย์จึงค่อนข้างได้รับความเอื้อเอ็นดูและการให้เกียรติ
กีฬาชุมชน เป็นอีกเรื่องที่สนุกสนาน เมื่อเอาชาวบ้านแต่ละหมู่บ้านมาแข่งกีฬากันมันก็เหมือนกับพี่ฬาสีนั่นเอง มหาวิทยาลัยก็ได้รับเกียรติเป็นหมู่บ้านหนึ่ง และถึงจะเป็นกีฬาชุมชนก็ใช่ว่าจะจัดไม่เต็ม มีดรัมเมเยอร์ มีตีกลองใหญ่ มีขบวนกลองยาวของชาวบ้าน หมู่บ้านของเราก็จำเป็นต้องจัดเต็มกับเขาด้วยเหมือนกัน กีฬาที่ใช้แข่งก็มีสารพัดอย่างกินวิบาก วิ่งสามขา ขี่ม้าส่งเมืองฯลฯ ที่ดูพอจะเป็นการเป็นงานหน่อยก็การแข่งขันฟุตบอล เพราะจะมีนักกีฬาหนุ่มๆ รุ่นไม่ห่างกันมากมาแข่งกัน ค่อยสมน้ำสมเนื้อ แต่กระนั้นเถอะ --- พวกนั้นก็จะเป็นเด็กหนุ่มๆ มัธยม เหมือนกับที่บางครั้งทีมโรงเรียนมัธยมก็จะเชิญพี่มหาลัยไปแข่งกระชับมิตรด้วย หนุ่มสาวมหาลัยย่อมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ายากจดูยุติธรรม ถ้าชนะก็เหมือน "รังแกเด็ก" และถ้าแพ้นะ "อายเด็กชิบเป้ง"
ถ้าเอ่ยถึงการแข่งกีฬา ความทรงจำสุดฮาก็ต้อง "คุณนายลำไย" พวกเราไม่ได้รับแจ้งให้เตรียมอะไร แต่ในวันเปิดพิธี ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในชุมชนอยากเห็นการแสดงชุดเปิดสนามจากนักศึกษามหาลัย --- เหลียวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เตนท์ชาวบ้านรอดูอยู่รอบสนามพร้อมส่งเสียงเชียร์ สุดท้ายด้วยสปิริตมันก็ต้องทำ เพื่อนเราคนหนึ่งเป็นเจ้าแม่แห่งการแสดง เธอจึงร้องขอเพลง คุณนายลำไย ที่กำลังโด่งดัง แล้วก้าวขึ้นไปในฐานะผู้นำแดนเซอร์ โชคดีจริงๆ เลยนะ ที่สมัยนั้นมือถือยังไม่ถ่ายคลิป
จะว่าไปแล้วเรื่องกีฬา เวลาเราจัดกีฬาสีก็สนุกกันสุดเหวี่ยงเช่นกัน แม้ว่าประเภทกีฬาที่ใช้แข่งนั้นก็พอๆ กันกับกีฬาชุมชน ใช่จะเป็นกีฬาสากลทีมชาติ กีฬายอดฮิตประจำมอ คือ เปตอง โยนกันตุ๊บๆ โดยใช้ทางเดินดินแดงหน้าอาคารเรียนนั่นแหละเป็นสนาม ทุกวันนี้เห็นการเล่นปิงปองทีไร เราคิดถึงที่นั่นเสมอ
นอกจากการรวมตัวกันนั่งรถแดงไปดูหนังในตัวจังหวัดเป็นครั้งคราวแล้ว หนังกลางแปลง หน้าตลาดสดก็เป็นอีกหนึ่งความบันเทิงของพวกเรา งานของจังหวัดจะเป็นงานฤดูหนาว ส่วนงานลอยกระทงเราจะถูกขอความร่วมมือจากทางอำเภอในเรื่องจัดการแสดง ในงานก็จะมีการออกร้านเหมือนงานวัด มีหนังกลางแปลงมาฉาย เสื่อค่ะเสื่อ หนึ่งผืนพกมา คลี่พรืดปูลงพื้น เบียดเสียดกันดูหนังกลางแปลง อากาศหนาวนะ แต่เฮฮาอบอุ่นดี
คืนเวียนเทียน ใครจะไปรู้...ว่าพระสงฆ์ต่างจังหวัดเข้าจำวัดแต่หัวค่ำ วัดปิดแล้ว แต่พวกเรายังร้องปลุกหลวงพ่อขอเข้าไปเวียนเทียนรอบโบสถ์ หลวงพ่อก็ดีใจหาย (พระนี่นะ) นอกจากจะมาเปิดให้ยังอุตส่าห์มามานั่งรอพวกเราเทียนรับสังฆทาน และเทศนาสั่งสอนด้วย (แต่ไม่ได้ด่าเรื่องปลุกพระขึ้นมาจากการจำวัดหรอกนะ) นึกถึงทีไรก็ยังขำกันครานั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะศรัทธาแรงกล้าหรือว่าพวกเรามันบ้าบอ
หน้าหนาวเราจะมีคนเข้าป่าไปหาเศษไม้มาก่อไฟผิงอยู่แถวๆ ลานดินข้างหอผัก พอมีกองไฟ เพื่อนๆ ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาคุย บางทีก็เผาเผือกเผามัน มีเพื่อนดีดกีตาร์ร้องเพลงมันเป็นบรรยากาศที่พอนึกย้อนกลับไปก็นะ..รื่นรมย์ของแท้
บางทีเราก็มีปาร์ตี้ มีคอนเสิร์ต (เล่นกันเอง) อยู่ตรงใต้หอพัก ซึ่งจะเป็นวันที่อาจารย์อนุญาตให้ทำอาหารใต้ชายคาหอได้สักวัน อาหารก็ไม่ได้มาจากไหนไกลหรอก บ่อปลาข้างๆ นั่นแหละอาหารหลัก อื่นๆ ก็ช่วยกันลงขัน แม่ครัวไม่ต้องหาจากที่ใดไหนอื่น เมื่อร้อยพ่อร้อยแม่จากถิ่นอิสานเหนือใต้มาอยู่รวมกัน มันไม่เป็นการยากเลยที่จะหาคนมีฝีมือและชอบทำครัว
เกาะเสม็ด อยากเที่ยวหนุกหนานด้วยกัน พวกเราก็วางแผนเก็บเงินรายเดือนลงขัน พอเก็บได้พอก็เหมารถบัสไปกันฮาเฮ เอ่ยถึงสถานที่แห่งนั้นเมื่อไรเราเป็นต้องคิดถึงวันเวลาเหล่านั้นทุกที เพื่อนแม่ครัวจะจัดเตรียมข้าวเหนียวหาซื้อข้าวเหนียวหมูทอดไก่ทอดไว้ไปกินกันบนรถ การได้เที่ยวด้วยกัน ครั้งนั้น มันสนุกมากจริงๆ
คืนฝนดาวตก ตีหนึ่งตีสอง นักศึกษาที่สมัครใจตื่น หรือไม่สมัครใจแต่ถูกเพื่อนลากออกมาจากกองผ้าห่ม ต่างพากันขี่มอเตอร์ไซด์ซ้อนท้ายขนเสื่อขนผ้าห่มจากบ้านเช่าในชุมชนเข้ามาที่มอ ถนนทางเข้ามอเรานั้นจะตัดเรียบริมอ่างเก็บน้ำเข้าไป อย่างที่บอกว่าที่มอเราเป็นที่ราบแอ่งกะทะ ท้องฟ้ากว้างใหญ่เปิดโล่งโจ้ง กองไฟ ถูกก่อและกองไฟก็ถูกรุมร้อม เสียงกีตาร์มีอยู่เสมอถ้าพวกเราได้มาชุมชนกันเพื่อผ่อนคลาย นอกจากจะมีเพื่อนที่เป็นศิลปินประจำรุ่นร้องเพลงดีเล่นกีตาร์ได้ อาจารข์ของเราก็เป็นศิลปินเพลงด้วยเช่นกัน (แต่แนวหลักคือเพื่อชีวิต) เพื่อนเราคนนี้เรานับถือในความสามารถของเค้ามาก เป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องเห็นคอร์ดกีตาร์ แค่ได้ฟังเพลงสองสามครั้ง ก็เล่นเพลงนั้นได้เองแล้ว เอาล่ะบรรยากาศพร้อมคนก็พร้อม สะบัดเสื่อสิคะ แล้วก็นอนเรียงรายห่มผ้าเบียดกัน เรื่องเล่าจิกกัด ความขำขันเฮฮาต่างๆ ก็ตามมา หนาวนะ แต่ใจก็อบอุ่นดีมีแต่เสียงหัวเราะ เมื่อถึงเวลาฝนดาวเริ่มตก แสงสีจากฝนดาวตกทั่วฟ้าในปีนั้น ความประทับใจ--ยากจะลืม
ใช่แต่จะมีแต่เรื่องเฮฮาหนุกหนาน เรื่องเรียนเป็นอะไรที่หนักหน่วงเช่นกัน น้ำตาของเพื่อนใกล้รีไทร์ ปัญหาที่ต้องช่วยกันแก้ไข เพื่อนที่เรียนเก่งต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งของวันหยุดออกไปติวเพื่อน หรือไม่เพื่อนก็มาหาให้ติวที่บ้าน เพื่อจะช่วยกันเรียนแล้วจบไปด้วยคน เวลามีแบ่งกลุ่มทำรายงาน คนเรียนดีอันดับต้นๆ จะแยกกลุ่มกันหมด มันไม่ใช่เรื่องการแบ่งแยกระดับสมอง เพราะเราก็รู้อยู่แล้วใครเรียนดีเรียนแย่ แต่การแบ่งกลุ่มให้มีความสามารถเท่าๆ กัน คะแนนกลุ่มก็จะออกมาใกล้เคียงกัน ไม่มีกลุ่มไหนคะแนนสูงลิบเพราะคนเก่งไปรวมหัวกัน หรือกลุ่มไหนคะแนนต่ำเตี่ยเรี่ยดินเพราะเหลือแต่พวกที่ไม่มีใครเอา เราถูกรุ่นพี่สอนมาให้ช่วยกันเรียนช่วยกันรอดในแบบนี้ เพราะถึงยังไงความแตกต่างมันจะมีมากอยู่แล้วในการทดสอบรายบุคคล ติวใต้หอ ปีที่เราอยู่หอพักและมีรุ่นน้อง คนเป็นรุ่นพี่แต่ละคนที่เรียนเก่ง ก็จะต้องจัดตารางติวให้น้องใต้หอพักด้วย ในช่วงเวลาที่เด็กเก่งๆ ต้องทำอย่างนั้นเราเชื่อว่ามันก็คงต้องมีเบื่อหน่ายกันบ้าง แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป มันคงน่าภูมิใจไม่น้อยที่ได้ช่วยเหลือกัน ได้รับการจดจำจากน้องว่าเป็นพี่ และสำหรับเพื่อน การที่ทุกคนได้เรียนจบไปพร้อมกันมันดีที่สุดแล้ว
รับปริญญา ตอนนั้นเพื่อนคนนึงครอบครัวมีปัญหาหนัก จนมีปัญหาเรื่องเงินไม่สามารถเดินทางไปรับปริญญาได้ มันก็คงเป็นไปตามนั้น หากว่าการอยู่ร่วมเป็นเพื่อนกันมา จะไม่ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง มันเป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่ในวันสำคัญอย่างนั้นเพื่อนคนนึงของเราจะขาดหายไป ภาพทำเนียบรุ่น ที่นักศึกษาสวมชุดครุยจะถือปริญญานั่งเรียงรายอย่างสวยงามบนอัฒจันท์จะขาดเพื่อนคนหนึ่งไป และมันจะขาดอยู่อย่างนั้นให้นึกถึงไปชั่วชีวิตของเราที่มองดูภาพนั้น เพื่อนทั้งห้องจึงตกลงร่วมลงขันเพื่อจะเป็นค่าใช้จ่ายให้เพื่อนมารับปริญญาพร้อมกัน เป็นเพื่อนต้องไม่ทิ้งกัน ความหมายมันคืออย่างนี้เอง
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่อาจบอกเล่าไปยาวกว่านี้ แต่มีความสุขจังที่ได้คิดถึง เวลาเราเดินทางไปจังหวัดใดแล้วมีเพื่อนอยู่นั่น การได้นัดพบได้คุยกัน แล้วมีคนอื่นถามว่า "ติดต่อกันมาตลอดเลยหรือ" ไม่นะ ไม่เลย ไม่ได้เจอกัน ไม่ได้โทรหากัน ต่างคนต่างก็แยกกันไปมีชีวิตของตัวเอง แต่เมื่อเราพบกันความเป็นเพื่อนในวันวานมันก็ฟื้นคืนชีพได้เองนั่นแหละ ล่าสุดมีคนถามว่า "ไม่เคยเจอกันมาเป็นสิบปีจริงเหรอ" แล้วทำไมดูสนิทกันมากเลย ที่จริงเราก็ไม่รู้หรอกว่าเพื่อนสมัยเรียนสำหรับคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร แต่เพื่อนสมัยเรียนของเราที่นี่ก็คือเพื่อนแบบนี้แหละ แม้ไม่ได้คุยกันนานหลายปี แค่เพียงมีใจให้นึกถึง สบโอกาสจะพบเจอ แค่โทรเรียกหา เฮ้ย อยู่ไหน จะไปที่โน่นว่ะ ว่างป่าว / เออ มาดิ อยากเจอว่ะ
และนับตั้งแต่มีไลน์แอบพลิเคชั่นเข้ามา ก็ได้ฟื้นความสนุกสนานและความสัมพันธ์ในวันเก่าก่อนเพิ่มขึ้นอีกทางด้วย โดยข้อความผ่านไลน์ที่มีเพื่อนเกือบทั้งชั้นอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ใครว่างก็พิมพ์ๆ เรื่องลูกเต้า สามี คานทอง เรื่องลูกน้องเจ้านาย ที่ทำงาน ปัญหาชีวิต ความอ้วน ความแก่ พ่อแม่เจ็บป่วย หนี้สินเงินทอง เมาท์มอยข่าวสารบ้านเมือง ละครน้ำเน่า กอสซิบดารา เรื่องไม่สบอารมณ์ งี่เง่า ไร้สาระ ก็พ่นกันไปตามประสา ถ้าใครคนหนึ่งกำลังเศร้า จะมีใครอีกคนมาให้กำลังใจ ถ้ามีใครกำลังฮา จะมีคนมาฮากว่า ถ้ามีใครกำลังโกรธเป็นบ้า จะมีใครอีกคนมาชวนว่านั่งวินไปตบมันกันมั้ย ...นี่แหละคือเพื่อน ที่ถูกหล่อมความสัมพันธ์มาจากน้ำใสใจจริง จึงเป็นตัวของตัวเองกันสุดๆ
ไม่ว่าเพื่อนจะอยู่ ณ จุดใด
สายใยที่ผูกพันความเป็นมิตรแท้ก็ยังคงกระชับมั่น
ถึงทุกวันนี้ยังคงพูดได้เต็มปากเต็มคำ สถาบันแห่งนั้นเปรียบเสมือน "บ้าน" หลังที่สองของชีวิต ที่ที่ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชา และมอบช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำดีๆ
ในวัยฝันวันเยาว์ของเราผอง ข้าวสีทองดาษดาฟ้าแจ่มใส
ทั่วโลกหล้าอ่าอุ่น ละมุนละไม มีความรักเริงไหวในชีวา
มีวันใดไหนจะเป็นเช่นวันโน้น ความอ่อนโยนแผ่วเพรียกเหมือนเรียกหา
ให้ทบทวนหวนคำนึงถึงเวลา อย่าร้างราคืนกลับประทับทรวง
" ผมยังจำได้ถึงวันเวลาในอดีต.....เมื่อเรายังมีความทุกข์ ความกังวลและเหนื่อยหนักน้อยกว่าเวลานี้อยู่มาก มันเป็นช่วงเวลาที่หลายๆ คนคงจะยอมรับว่าเป็นเวลาดีที่สุดของชีวิต เมื่อเราผ่านพ้นความไร้เดียงสาอย่างเด็กๆ มาแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยชินกับความขมขื่นลำเค็ญของวันเวลาแห่งความเป็นผู้ใหญ่ เรามีวันเวลาระหว่างกลาง - วันของวัยหนุ่มสาวเอาไว้เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของเรา"
น้ำใสใจจริง
แล้วก็ยังไม่เคยดูที่เป็นละครด้วย
แต่อ่านจากรีวิวแล้วทำให้คิดถึงเพื่อนๆเลยครับ
คงต้องรีบไปหา น้ำใสใจจริง มาอ่านบ้างแล้ว