สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๗ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันปีใหม่แล้วนะคะ ครั้งแรกคิดว่าจะไม่มีบล๊อกปีใหม่สำหรับปอป้าในปีนี้ เพราะปี ๒๕๕๖ ที่กำลังจะผ่านไปมันมีแต่เรื่องทุกข์โศกตั้งแต่เดือนมกราคม ยันเดือนธันวาคม แม้กระทั่งวันนี้ก็ยังไม่หยุดเรื่องทุกข์อันเป็นธรรมดาของสัตว์โลก ก็เลยไม่มีจิตใจคิดเรื่องสนุกสนานบันเทิงใจสักเท่าไร แต่ก็นะ คนเราถ้าเข้าถึงพระธรรมได้ อะไร ๆ มันก็ต้องทนได้ ทำใจได้ แม้จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ดีเอาเสียเลย ว่าแล้วก็ลุกขึ้นมาอัพบล๊อกลาทีปีทุกข์โศกกันดีกว่าค่ะ วันนี้เอาความรู้เรื่องปีใหม่ที่พวกเราร้องไชโย ๆ ๆ กันนั้นมาให้อ่านก้นสักหน่อย เวลาไปไชโยตอนปีใหม่จะได้ไชโยได้เต็มปากเต็มคำ แถมเอาไปเล่าสอนลูกสอนหลานได้ด้วย บทความนี้ก็ต้องขอบคุณอากู๋เค้านะคะ ปอป้าไปขอยืมอากู๋เขามาให้อ่านกันค่ะ ว่ากันเลย...นะคะ
ความเป็นมาของวันขึ้นปีใหม่ วันปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ ๑๒ เดือน ก็กำหนดว่าเป็น ๑ ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก ๑ เดือน เป็น ๑๓ เดือนในทุก ๔ ปี ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี ๓๖๕ วัน ในทุก ๆ ๔ ปี ให้เติมเดือนที่มี ๒๘ วัน เพิ่มขึ้นอีก ๑ วัน เป็น ๒๙ วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า ปีอธิกสุรทิน ความเป็นมาของวันขึ้นปีใหม่ไทย ในอดีตวันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว ๔ ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม ๑ ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ ๒ กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน ๒ ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๒ เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ ๑ เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๗ ขึ้นใน กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อ ๆ มา และในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ ๑ เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์ ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ ๑ มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ ๑ เมษายนมาเป็นวันที่ ๑ มกราคม เพราะ ๑. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ ๒. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา ๓. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก ๔. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทยกิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่ ๑. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ ๒. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร ๓. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่าง ๆ วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น วันปีใหม่ วันที่ ๑ มกราคม ของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย
เกี่ยวกับ เพลงพรปีใหม่ เพลงพระราชนิพนธ์ พรปีใหม่ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๑๓ ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ เมื่อเสด็จนิวัตพระนคร และประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต มีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานพรปีใหม่ แก่บรรดาพสกนิกรไทยด้วยเพลง จึงทรงพระราชนิพนธ์เพลง "พรปีใหม่" และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องเป็นคำอำนวยพรปีใหม่ แล้วพระราชทานแก่วงดนตรี ๒ วง คือ วงดนตรีนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำออกบรรเลง ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวงดนตรีสุนทราภรณ์ นำออกบรรเลง ณ ศาลาเฉลิมไทย ในวันปีใหม่ วันอังคารที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๕เพลงพรปีใหม่ เพลงพระราชนิพนธ์ในหลวง ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์ ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี โปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์ ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัย ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่ ผองชาวไทยจงสวัสดี ตลอดปีจงมีสุขใจ ตลอดไปนับแต่บัดนี้ ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์ สวัสดีวันปีใหม่เทอญ ปอป่านำเพลงพระราชนิพนธ์มาให้เพื่อน ๆ ฟัง ๒ เวอร์ชั่น เปิดบล๊อกมาก็จะได้ยินเสียงป้าเปิร์ดแจ้ว ๆ เร้าใจตามสไตล์แจ๊สแท้ ส่วนในยูทู้ป ก็เป็นอีกสไตล์หนึ่ง อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรก็ปิดปากป้าเบิร์ดเธอเสียก่อนแล้วเปิดยูทู้ปฟังดู หวังว่าคงจะถูกใจกันบ้างไม่มากก็น้อย แต่อย่าเผลอไปเปิดพร้อมกันล่ะ เดี๋ยวจะปวดหูไม่รู้ด้วย...อิ ๆ ประวัติการส่ง ส.ค.ส.ในวันปีใหม่ การส่ง ส.ค.ส หรือบัตรอวยพรนั้น ประเทศไทยรับวัฒนธรรมมาจากต่างประเทศ ซึ่งนิยมส่งบัตรอวยพรกันมาเป็นเวลากว่า ๒๐๐๐ ปีแล้ว ตั้งแต่ราวศตวรรษที่ ๑๘ หรือตรงกับปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา บัตรอวยพรนี้ปรากฎในรูปแบบ " บัตรเยี่ยม " (Visiting Card) เป็นบัตรกระดาษขนาดเท่าไพ่ นิยมเขียนข้อความ หรือพิมพ์รูปภาพต่างๆ ลงไปเพื่อเยี่ยมเยียนกันในวันขึ้นปีใหม่ ต่อมาแพร่หลายไปในเทศกาลต่างๆ เช่น วาเลนไทน์ คริสต์มาส มีการส่งพิมพ์และส่งบัตรอวยพรกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น สำหรับในประเทศไทยนั้น เชื่อกันว่าบัตรอวยพรปีใหม่ที่เก่าแก่ที่สุด คือ บัตรอวยพรที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประดิษฐ์ขึ้น เมื่อ ๑๒๐ กว่าปีก่อน โดยในรัชสมัยของพระองค์ เป็นยุคที่มีการติดต่อสื่อสารกับต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จึงมีการรับเอาขนบธรรมเนียมของตะวันตกมาด้วย ทั้งนี้การส่งบัตรอวยพรของพระองค์นั้น ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด แต่ได้ปรากฎสำเนาคำพระราชทานพรขึ้นปีใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ ของพระองค์ ในหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์ดเดอร์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๔๐๙ แปลได้ใจความว่า " ทรงขอส่งบัตรตีพิมพ์คำอวยพรนี้ถึงบรรดากงสุล เจ้าหน้าที่กงสุลต่างๆ และชาวต่างประเทศที่ทรงคุ้นเคยโดยทั่วถึงกัน " ได้รับความรู้กันแล้วนะคะ ปีใหม่ปีนี้เป็นปีใหม่ที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในสภาวะแห่งความวุ่นวาย จะเฉลิมฉลองอะไรกันก็ให้ระมัดระวัง ให้พอเหมาะพอควร ที่สำคัญสุราแปลว่าเหล้า กินแล้วเมาเดินโซเซ โซเซธรรมดาไม่ไปขวางหูขวางเท้าใครเขาก็ไม่เป็นไร เกิดไปเหยียบตาตุ่มใครที่เขากำลังอารมณ์ไม่ดี ระวังจะเลือดตกยางออกนะคะ ปอป้าขอเตือนไว้ก่อน ท้ายนี้ ก็ขออวยพรให้พี่น้องชาวบล๊อกและชาวเฟสของปอป้าทุกท่าน ครอบครัวอันเป็นที่รักของท่าน จงประสบแต่สิ่งที่ดีงามพรั่งพร้อมด้วยพรอันประเสริฐ คิดและปรารถนาทำสัมมาการสิ้งใดให้ได้สมดั่งใจหวัง มีสุขภาพแข็งแรง มีกิจการค้าเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้น ที่รับประทานเงินเดือนเขาก็ให้ได้เลื่อนขั้นรับเงินเดือนรับโบนัสกันมาก ๆ มีความสุขกันทุกคนตลอดปีใหม่นี้และตลอดไปนะคะ
จงประสบแต่สิ่งที่ดีงามพรั่งพร้อมด้วยพรอันประเสริฐ คิดและปรารถนาทำสัมมาการสิ้งใดให้ได้สมดั่งใจหวัง
มีสุขภาพแข็งแรง มีกิจการค้าเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้น ที่รับประทานเงินเดือนเขาก็ให้ได้เลื่อนขั้นรับเงินเดือนรับโบนัสกันมาก ๆ
มีความสุขกันทุกคนตลอดปีใหม่นี้และตลอดไป...นะคะ