วันนี้ขอเว้นจากพุทธวจนที่เคยเผยแพร่อยู่ทุกสัปดาห์ก่อนนะคะ เพราะมีคำเรียกร้องจากเพื่อนรักของพี่ตั้มบุตรชายของปอป้าที่จากไปแล้วว่า อยากทราบเรื่องราวเกี่ยวกับพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ พอเอ่ยปากจะยกหนังสือให้ไปอ่านเอาเองก็ได้รับการปฏิเสธทันทีพร้อมทั้งบอกว่าอยากอ่านจากบล๊อกของแม่มากกว่า เมื่อเพื่อนรักของพี่ตั้มซึ่งคอยดูแลปอป้ามาตลอดตั้งแต่พี่ตั้มเสียไปเรียกร้องมาอย่างนี้ มีหรือที่แม่อย่างปอป้าจะกล้าปฏิเสธได้ วันนี้จึงถือโอกาสเปิด Group Blog ใหม่ให้ลูกเชนเสียเลย โดยตั้งชื่อ Group Blog ใหม่นี้ว่า พุทธสาวก พุทธสาวิกา ตามชื่อหนังสือที่ท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต เป็นผู้รวบรวมเขียนเอาไว้ ซึ่งปอป้าจะคัดลอกนำมาลงให้อ่านกันต่อไปเรื่อย ๆ
คิดดูแล้วก็ดีเหมือนกันนะคะ ที่ลูกเชนได้มาจุดประกายให้กับปอป้า เพราะจะได้มีอะไรใหม่ ๆ สลับกันอ่านกับพุทธวจน เพื่อนบล็อกและท่านผู้อ่านทั้งหลายจะได้ไม่เบื่อ เพื่อไม่ให้เสียเวลา วันนี้ขอเริ่มต้นที่พระภิกษุพุทธสาวกสำคัญของพระพุทธเจ้าองค์แรกกันเลยค่ะ
พระอัญญาโกณฑัญญเถระ
พระผู้เฒ่าอดีตโหราจารย์องค์นี้เดิมชื่อ โกณฑัญญะ เป็นบุตรของพราหมณ์ตระกูลโทณวัตถุ เมืองกบิลพัสดุ์ เรียนจบไตรเพท เชี่ยวชาญในพยากรณ์ศาสตร์ จึงได้รับเชิญไปทำนายพระลักษณะ และขนานพระนามเจ้าชายสิทธัตถะด้วยผู้หนึ่ง ในจำนวนพราหมณ์ทั้งหมด ๘ คนนั้น ท่านโกณฑัญญะหนุ่มแน่นกว่าพราหมณ์ทั้งหมด
ในขณะที่พราหมณ์อื่น ๆ ทำนายเป็นสองคติว่า ถ้าเจ้าชายอยู่ครองเพศฆราวาส จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกในโลก พราหมณ์หนุ่มโกณฑัญญะกลับยืนยันว่า เจ้าชายจะเสด็จออกผนวช และจะได้เป็นศาสดาเอกแน่นอน
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช โกณฑัญญะจึงชวนบรรดาลูก ๆ ของพราหมณ์ทั้ง ๗ ได้ ๔ คน ตามไปบวชคอยเฝ้าปรนนิบัติพระองค์ คัมภีร์ไม่บอกเวลาแน่นอนว่าโกณฑัญญะและสหายตามไปทันพระพุทธองค์ในช่วงไหน พอถึงตอนทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ก็มีกล่าวถึงพราหมณ์ทั้ง ๕ ในฐานะเป็นศิษย์ใกล้ชิดแล้ว สมัยนั้นเชื่อกันทั่วไปว่าการจะบรรลุจุดหมายปลายทางของชีวิตได้ ต้องดำเนิน ๒ ทาง คือ ทางหนึ่งผ่านความสุขทางเนื้อหนังมังสา อันเรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค อีกทางหนึ่งผ่านการทรมานตนเองด้วยตบะวิธีต่าง ๆ อันเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค
พระพุทธองค์ทรงผ่านทางแรกมาตั้งแต่อยู่ในพระราชวังแล้ว ทรงเห็นว่าทางนั้นไม่ทำให้บรรลุธรรมได้ มีแต่ทำให้ จม อยู่ในห้วงความทุกข์ จึงเสด็จออกผนวช แล้วไปบำเพ็ญทางจิต (ระบบโยคะ) อยู่กับดาบส ทั้งสองทางนี้ความจริงถ้าไม่ ติดตัน อย่างท่านดาบสทั้งสองก็พาให้บรรลุได้ พระองค์ทรงเห็นว่าดาบสทั้งสองนำไปไม่ถึงจุดหมาย จึงลองมาอีกทางหนึ่ง คือการทรมานตนเอง ทรมานจนถึงขั้นสุดท้าย คืออดอาหาร
ในที่สุดก็ทรงเห็นว่าทางนี้ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน จึงย้อนกลับมาหาระบบโยคะใหม่ หลังจากทรงได้พระสติว่า ทุกอย่างต้องพอดีจึงจะดี คราวนี้ไม่ก้าวเลยไปจนถึงสมาบัติ ๘ หากเข้าสมาธิจนได้ฌาน ๔ แล้ว ก็ทรงใช้ฌาน ๔ นั้นเป็นบาทแห่งวิปัสสนา เมื่อทรงหันไปทางวิปัสสนา ในไม่ช้าไม่นานก็ได้ตรัสรู้
จะเห็นว่าในการเทศน์ครั้งแรก พระองค์ระบุเฉพาะกามสุขัลลิกานุโยค กับอัตตกิลมถานุโยคเท่านั้นว่าไม่ควรดำเนิน ส่วนระบบโยคะ ถือว่าเป็นการบำเพ็ญทางจิต เพียงแต่โยคะแบบฤาษีทั้งสองมิใช่ทาง ต้อง ปรับ หรือประยุกต์ให้เป็นบาทฐานของวิปัสสนา จึงจะสัมฤทธิ์ผล
ขณะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ พราหมณ์ทั้ง ๕ อันได้นามเรียกรวมว่า ปัญจวัคคีย์ ก็หมายใจว่าพระองค์คงจะได้สำเร็จโพธิญาณ ครั้นทรงเลิกทุกรกิริยา หันมาเสวยพระกระยาหาร ก็ผิดหวัง โดยเฉพาะโกณฑัญญะผู้เคยเชื่อมั่นมาตั้งแต่แรก ถึงกับประณามว่า พระองค์ทรง คลายความเพียร เวียนมาเป็นคนมักมาก คนไม่เอาไหนแล้ว เจ็บปวดสุดขีดถึงขั้นที่เรียกว่า เผาตำรา ทิ้งเลยทีเดียว
โกณฑัญญะได้ชวนพรรคพวกหนีไปอยู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (ป่าสวนกวาง) ซึ่งห่างไปจากตำบลพุทธคยา สถานที่ที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาประมาณสองร้อยกว่ากิโลเมตร ไปอย่างคน อกหัก ว่าอย่างนั้นเถอะ
เมื่อพราหมณ์ทั้ง ๕ จากไป กลายเป็นผลดีแก่พระองค์ เพราะมีแต่ความสงบสงัด สะดวกแก่การบำเพ็ญเพียรทางจิต ในไม่ช้าก็ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังที่ทราบกันดีแล้ว หลังตรัสรู้แล้วก็ทรงรำลึกถึงอุปการคุณของปัญจวัคคีย์ที่เคยรับใช้พระองค์มา จึงเสด็จมุ่งตรงไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (ปัจจุบันเรียกว่า สารนาถ) เพื่อแสดงธรรมโปรด
ทันทีที่เสด็จไปถึง ปัญจวัคคีย์อันมีโกณฑัญญะเป็นหัวหน้า พูดกันว่า มาแล้วท่านผู้คลายความเพียรเวียนมาเป็นคนมักมาก คงไม่มีใครดูแลสิท่า จึงบากหน้ามาหาเรา เราอย่าต้อนรับ ปูแต่อาสนะไว้ อยากนั่งก็นั่ง ไม่อยากนั่งก็ตามใจ
ครั้นพระองค์เสด็จมาถึงจริง ต่างก็ลืมสัญญาที่ให้แก่กันและกันไว้ ลุกขึ้นต้อนรับพระองค์ แต่ปากยังแข็งอยู่ เรียกพระองค์ว่า อาวุโส โคดม พระองค์ตรัสปรามว่า อย่าเรียกเราเช่นนั้น เราได้ตรัสรู้แล้ว นั่งลง จะแสดงธรรมให้ฟัง ท่านทั้ง ๕ ไม่เชื่อ ขนาดอดข้าวแทบตายยังไม่บรรลุ นี่กินข้าวจนอ้วนแล้ว จะมีทางบรรลุได้อย่างไร ว่าอย่างนั้นเถอะ พระพุทธองค์ตรัสให้รำลึกว่า ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เคยมีครั้งไหนบ้างที่พระองค์ตรัสคำนี้ ทำให้ปัญจวัคคีย์ชักจะเชื่อแล้วว่าน่าจะเป็นความจริง จึงนั่งลงฟังธรรม
พระพุทธองค์ตรัสแสดงอริยสัจ ๔ ให้ปัญจวัคคีย์ฟัง เนื้อหาเริ่มด้วยตรัสถึงทางสองทางที่ไม่ควรดำเนิน คือการหมกมุ่นในกาม กับการทรมานตนเอง แล้วตรัสถึงทางที่ควรดำเนิน คือ มัชฌิมาปฏิปทา (คือ อริยมรรคมีองค์แปด) เสร็จแล้วก็ทรงแสดงอริยสัจ ๔ ครบวงจรโดยละเอียด
สิ้นสุดพระธรรมเทศนา โกณฑัญญะได้ ดวงตาเห็นธรรม คือ รู้เห็นตามเป็นจริงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับเป็นธรรมดา พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ แปลว่า ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ๆ เพราะตรัสดังนี้ คำว่า อัญญา จึงกลายมาเป็นชื่อหน้าของท่าน หลังจากท่านได้บวชแล้ว
โกณฑัญญะทูลขอบวช พระองค์ทรงบวชให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา เพราะตรัสสั้น ๆ เพียงว่า จงมาเป็นภิกษุด้วยกันเถิด วิธีบวชแบบนี้ พระพุทธองค์เท่านั้นทรงใช้และใช้มาระยะหนึ่งก็ทรงเลิก จากนั้นประทานให้การบวชเป็นหน้าที่ของภิกษุสงฆ์ทำกันเอง ทรงใช้วิธีเอหิภิกขุครั้งสุดท้ายเมื่อครั้งบวชให้สุภัทปริพาชกก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
ท่านอัญญาโกณฑัญญะกว่าจะได้บวชก็อายุมากแล้ว พระพุทธองค์ทรงยกย่องในเอตทัคคะ (ความเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่น) ในทาง รัตตัญญู (แปลกันว่า ผู้รู้ราตรีนาน) หมายถึงผู้มีประสบการณ์มาก อยู่มานาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก บางท่านว่า รัตตัญญูนี้เป็นตำแหน่งโหร ซึ่งย่อมาจาก อโหรัตตัญญู (แปลว่า ผู้รู้กลางวันและกลางคืน หมายถึงโหราจารย์) ว่าอย่างนั้น
ท่านทูลลาพระพุทธองค์ไปจำพรรษาอยู่ริมฝั่งน้ำมนทากินี ในป่าฉัททันต์เชิงเขาหิมพานต์ ตลอด ๑๒ ปี นาน ๆ จะมาเฝ้าพระพุทธองค์ ท่านมีหลานชายผู้ฉลาดเฉียบแหลมคนหนึ่ง นาม ปุณณะ บุตรนางมันตานีพราหมณี น้องสาวท่าน ท่านเห็นว่าจะเป็นกำลังแห่งพระศาสนาได้อย่างดี จึงไปนำมาบวชเป็นภิกษุ พระปุณณมันตานีบุตร ภายหลังได้เป็นพระธรรมกถึกชั้นยอด ทำงายเผยแพร่พระพุทธศาสนาร่วมกับพระสาวกอื่น ๆ อาทิ พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งจะเล่าให้ฟังภายหลัง
พระอัญญาโกณฑัญญะมีอายุยืนยาวถึง ๙๐ ปี จึงนิพพานที่เชิงเขาหิมพานต์ อันเป็นสถานที่ที่ท่านชอบอยู่ประจำนั้นแล นัยว่าพระอนุรุทธเถระเป็นประธานในการจัดการเผาศพท่าน แล้วนำอัฐิท่านไปถวายพระพุทธองค์ที่พระเวฬุวัน พระพุทธองค์ทรงให้ก่อเจดีย์บรรจุอัฐิของท่านไว้ให้เป็นที่สักการะบูชาของประชาชนต่อไป
เครดิตภาพ : Google
ยิ่งเป็นเรื่องเล่าแบบนี้ ต้องตามติดไม่เลิกแน่แล้วค่ะ
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
พรหมญาณี Dharma Blog ดู Blog