รีวิว Skincare La Mer SKII เกือบทุกตัว มีอะไรดีนอกจากแพง


รีวิว Skincare ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันค่ะ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเจ้าของกระทู้อายุ 33 ปีแล้วค่ะ เคยใช้ Skincare มาหลายแบรนด์ ซึ่งมีบางแบรนด์ที่ราคาใกล้เคียงกับ 2 แบรนด์นี้ค่ะ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเจ้าของกระทู้ใช้แต่ของแพงนะค่ะ แค่อยากจะเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่มีราคาใกล้เคียงกันเท่านั้นเองค่ะ ตอนอายุยังไม่เยอะเท่านี้ก็ใช้อะไรที่แพงมากค่ะ เริ่มอายุเยอะก็ต้องดูแลกันเพิ่มขึ้นค่ะ

ขอเริ่มที่ La Mer ก่อนนะค่ะ

รู้จักแบรนด์มานานแล้วค่ะ ไม่เคยคิดจะใช้เนื่องจากไม่มีเคาน์เตอร์ที่จังหวัดที่เจ้าของกระทู้อยู่ด้วย แล้วก็ศรัทธาในแบรนด์เก่าที่เคยใช้ด้วย สภาพผิวหน้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากด้วย และรู้ว่าราคาแพงมากด้วยค่ะแล้วมาใช้ได้ยังไงเริ่มจากน้ำหนักขึ้นเยอะช่วงปีที่แล้ว เนื่องจากเที่ยวต่างประเทศบ่อยมากๆเลยไม่ได้ออกกำลังกายและเวลาไปเที่ยวก็ทานเต็มที่กลัวไม่คุ้มกลับไปก็หาแบบนี้ไม่ได้แล้ว กลับมาก็เลยต้องมาเข้าฟิตเนตแบบจริงจัง พอเริ่มเล่นฟิตเนตสิวก็เริ่มขึ้นตอนแรกขึ้นที่หน้าผาก คาง จมูก ลามไปถึงแก้ม ปรกติเป็นคนแทบไม่มีสิวเลยจะมีก็แค่สิวเสียดที่จมูกบ้างนิดหน่อยค่ะ เลยถามเพื่อนค่ะ เพื่อนเลยแนะนำ La Mer จริงๆแนะนำมานานแล้วแต่ไม่ได้สนใจ แต่ที่สนใจเพราะเพื่อนเป็นคนแพ้ง่ายใช้ La Mer ไม่แพ้เลยลองเอาขนาดทดลองของเพื่อนมาลองใช้ปรากฏว่าชอบมากๆๆๆ สิวไม่ขึ้นด้วยค่ะ เลยจะรีวิวให้ฟังค่ะ



THE CLEANSING FOAM
แบรนด์บอกว่า:
เนื้อโฟมอ่อนโยนผสานคุณค่าจาก Sea Algae Fibers ทำหน้าที่ทำความสะอาดผิว เพื่อปรับสมดุลและมอบความสดชื่นให้กับผิวร่วมกับ Deconstructed Waters™ ในขณะที่ White peal Powders ช่วยทำความสะอาดและมอบความมีชีวิตชีวาให้กับผิวอย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งช่วยเติมสารอาหารที่จำเป็นให้กับผิว เหลือไว้แต่ผิวที่ได้สมดุลอย่างลงตัวและสดชื่น
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันดีๆอะ ล้างแล้วรู้สึกสะอาดมาก หน้านุ่มและชุ่มชื่นมาก ใช้ปริมาณไม่เยอะด้วยค่ะ ซื้อมาใช้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกาปีที่แล้ว ตอนนี้ยังเหลือเกินครึ่งหลอดอยู่เลยค่ะ คิดว่าน่าจะใช้ได้อย่างน้อยๆ 6 เดือน ก็ตกเดือนละ 2,275 หาร 6 = 379.17 บาท ถูกไปเลยค่ะ
ต่างจากแบรนด์ยังไง:
มันรู้สึกสะอาด หน้านุ่มกว่าแบรนด์อื่นมากเลยค่ะ ควรจะบอกชื่อแบรนด์อื่นไหมค่ะ ถ้าอยากรู้หลังไมค์ดีกว่าเนอะเพราะทุกแบรนด์เค้าต้องมีดีของอยู่แล้ว แต่แบรนด์นี้อาจจะถูกกับผิวหน้าเรามากกว่าเท่านั้นเองค่ะ



THE CLEANSING GEL
แบรนด์บอกว่า:
เนื้อเจลปราศจากน้ำมันประกอบด้วยแร่เหล็กทัวมาลีน กระบวนการ Deconstructed Waters™ ในแบบเฉพาะของลาแมร์ ช่วยทำความสะอาดผิวจากสิ่งสกปรก ความมันส่วนเกินบนใบหน้า โดยไม่ทำให้เกิดความแห้งตึง เหมาะสำหรับผิวมันถึงผิวผสม
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันไม่โอนะ คือจริงๆใช้ตัว THE CLEANSING FOAM อยู่ค่ะ แต่ด้วยความโลภ BA ยี่ห้อเก่าที่รู้จักกัน เค้าแนะนำร้านขายเครื่องสำอางที่พนักงานห้างเอามาขายถูกกว่าในเคาน์เตอร์เยอะ ปรกติที่ซื้อ La Mer ทุกตัวเค้าจะลดใน 35% อยู่แล้ว ตัวนี้ไม่มีกล่องลดให้ 50%เหลือ 1,750 ก็เลยซื้อมาค่ะ ล้างแล้วรู้สึกลื่นๆหน้าอยู่ รู้สึกไม่ค่อยสะอาดค่ะ
ต่างจากแบรนด์ยังไง:
ไม่เคยใช้เจลล้างหน้าเลยสักครั้ง อันนี้ไม่มี comment ขอผ่านนะค่ะ



THE WHITENING LOTION INTENSE
แบรนด์บอกว่า:
โลชั่นเติมความชุ่มชื้น ด้วยส่วนผสมจาก MicroWhite Ferment™ ที่เน้นการลดเลือนจุดด่างดำและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอให้กลับมาแลดูเรียบเนียนให้คุณค่าการบำรุงควบคู่ไปกับน้ำสกัดเข้มข้น Miracle Broth™ หัวใจหลักสำคัญในการช่วยฟื้นบำรุงผิวของลาแมร์ ช่วยเติมความชุ่มชื่นอ่อนนุ่มให้กับผิวและช่วยเสริมกระบวนการฟื้นบำรุงผิวตามธรรมชาติ เพื่อผิวที่นุ่มเนียนเรียบ เตรียมพร้อมรับประโยชน์สูงสุดจากการปรนนิบัติผิวด้วยผลิตภัณฑ์กลุ่ม Blanc de la Mer™ ในขั้นตอน
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันก็โออะ คือไม่ใช้ก็ได้ค่ะ ตัวนี้คือโทนเนอร์ใช้หยอดบนสำลีเช็ดทั่วหน้าและลำคอค่ะ ส่วนตัวเป็นคนแต่งหน้าไม่มาก ไม่ใช่คนสวยอะไรนะค่ะ คือแต่งจัดๆจะดูแก่ไม่เวอร์เลยค่ะ เคยลองมาหลายครั้งแล้วค่ะ แต่คิดว่าถ้าเป็นคนแต่งหน้าเยอะหน่อยน่าจะใช้ได้ดีนะค่ะ
ต่างจากแบรนด์ยังไง:
เคยใช้โทนเนอร์ไม่กี่แบรนด์ แล้วก็ไม่ได้ใช้ทุกวันด้วยค่ะ ใช้เฉพาะตอนนวดหน้าหรือก่อนมาร์กหน้าเท่านั้นค่ะ แต่เอาเป็นว่ามันไม่ทำให้หน้าแห้งเท่าแบรนด์อื่นค่ะ อาจจะเพราะมันเป็นบำรุงให้ตัวด้วยมั่งค่ะ



THE TREATMENT LOTION
แบรนด์บอกว่า:
The Treatment Lotion ต้นกำเนิดแห่งความอัศจรรย์สู่ความกระจ่างใส ขั้นตอนสำคัญในการฟื้นบำรุง เปรียบเสมือน "Liquid Energy" ที่จะช่วยปลอบประโลม และมอบความชุ่มชื่นสู่ผิวอย่างล้ำลึก ผิวได้รับการฟื้นบำรุง ช่วยให้สีผิวแลดูเรียบเนียน สม่ำเสมอเพื่อให้ผิวเตรียมพร้อมรับคุณประโยชน์สูงจากการบำรุงในขั้นต่อไป
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันดีนะ แต่อธิบายไม่ถูกอะ ตัวนี้วิธีใช้คือหลังล้างหน้าหรือเช็ดโทนเนอร์แล้วหยอดลงบนมือ2-3หยอดลูบให้ทั่วหน้าและลำคอ เวลาใช้กับไม่ใช้มันแตกต่างกันตรงที่เครื่องสำอางจะติดดีกว่า อย่างถ้าไม่ใช้ขั้นตอนการแต่งหน้าทุกครั้งคือลงbbหรือรองพื้นตามด้วยแป้งฝุ่น ตอนบ่ายๆหน้าจะมันตรงทีโซน แต่ถ้าใช้หน้าจะไม่มันเลยค่ะ
ต่างจากแบรนด์ยังไง:
ตัวนี้มีในไม่กี่แบรนด์ ส่วนใหญ่จะเป็นของญี่ปุ่นแต่ไม่แน่ใจว่ามันเป็นตัวเดียวกันรึเปล่านะค่ะ ขั้นตอนการใช้มันอยู่ลำดับเดียวกันอะ เลยเอามาเปรียบเทียบกันค่ะ ตัวนี้ซึมเร็วกว่า แต่ให้ความชุ่มชื่นน้อยกว่า ใช้ปริมาณน้อยกว่า เพราะแบรนด์ต้องใช้กับสำลีเลยเปลื้องกว่าค่ะ



CRÈME DE LA MER
แบรนด์บอกว่า:
ต้นกำเนิดจากท้องทะเล ผลิตภัณฑ์อันเป็นตำนานที่อุดมด้วยคุณค่าแห่งการฟื้นบำรุงผิวจากธรรมชาติ ช่วยให้เส้นริ้วและริ้วรอยลดเลือนลง ผิวแลดูกระชับ รูขุมขนดูจางลง ผิวแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น ด้วยส่วนผสมทรงประสิทธิภาพช่วยฟื้นบำรุงได้แม้กระทั่งผิวที่แห้งที่สุด ช่วยให้ผิวสดใส แลดูอ่อนเยาว์ ด้วยคุณค่าจากสารอาหารมากมายที่มีอยู่ในน้ำสกัดเข้มข้น Miracle Broth™ หัวใจหลักของ ลาแมร์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมการทำงานของกระบวนการฟื้นบำรุงผิวตามธรรมชาติ จะช่วยฟื้นบำรุงและปลอบประโลมผิวที่บอบบาง ให้กลับมาชุ่มชื้น กระจ่างใส เปล่งประกายผิวสุขภาพดี
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันก็ดีแต่มีมันอื่นดีกว่าค่ะ ตัวนี้คือตัวที่ได้ขนาดทดลองมาจากเพื่อนค่ะ ตัวนี้ต้องวอร์มครีมก่อนใช้ ตักครีมประมาณ 1 เม็ดไข่มุกเล็กถูที่นิ้วมือจนเนื้อครีมกลายเป็นใสๆ แล้วเอามาแปะและกดเบาๆทั่วหน้า ใช้ไม่ถูกวิธีสิวมาแน่ค่ะ
ต่างจากแบรนด์ยังไง:
คุณสมบัติมันเหมือนรวมเอาซีรั่มเข้าไปแล้ว คือใช้แค่ตัวนี้ก็เห็นผล ต่างจากแบรนด์อื่นๆคือใช้ตัวเดียวไม่เห็นผล ได้ทั้งความชุ่มชื่น เรียบเนียน สว่างใส และลดเลือนริ้วรอย แต่สว่างใสเห็นผลน้อยสุดค่ะ 



THE MOISTURIZING SOFT CREAM
แบรนด์บอกว่า:
เนื้อผลิตภัณฑ์เนียนนุ่มบางเบากว่า แต่มอบคุณค่าการฟื้นบำรุงผิวเฉกเช่นเดียวกันกับ Crème de la Mer ผลิตภัณฑ์อันเป็นตำนาน ช่วยมอบความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก ให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส ด้วยคุณค่าจากน้ำสกัดเข้มข้น Miracle Broth™ หัวใจหลักสำคัญในการช่วยฟื้นบำรุงผิวของลาแมร์ จะช่วยเสริมการทำงานของกระบวนการฟื้นบำรุงผิวตามธรรมชาติ ให้ผิวแลดูมีชีวิตชีวา เปล่งประกาย แลดูอ่อนเยาว์
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันดีมากแนะนำเลยค่ะ เป็นตัวเดียวกันกับตัวข้างบนคุณสมบัติเหมือนกัน แต่ใช้ง่ายกว่าเยอะ ตักครีมประมาณ 1 เม็ดไข่มุกเล็ก แตะลงบนผิวหน้าเกลี่ยและกดเบาๆค่ะ หลังใช้รู้สึกหน้าแน่นขึ้น เรียบเนียน ริ้วรอยเล็กๆดูจางลง หน้านุ่มมากๆด้วยค่ะ ประทับใจตัวนี้สุด เวลาไปต่างประเทศจะเอาแค่โฟมล้างหน้า THE MOISTURIZING SOFT CREAM(คือตัวนี้) แล้วกันแดดไปค่ะ จริงๆถ้าอยากเริ่มใช้ La Mer แนะนำให้ซื้อตัวนี้ก่อนเลยค่ะ
ต่างจากแบรนด์ยังไง:
ขอก็อปมาจากด้านบนเลยนะค่ะ เพราะเป็นตัวเดียวกันอยู่แล้วค่ะ คุณสมบัติมันเหมือนรวมเอาซีรั่มเข้าไปแล้ว คือใช้แค่ตัวนี้ก็เห็นผล ต่างจากแบรนด์อื่นๆคือใช้ตัวเดียวไม่เห็นผล ได้ทั้งความชุ่มชื่น เรียบเนียน สว่างใส และลดเลือนริ้วรอย แต่สว่างใสเห็นผลน้อยสุดค่ะ



THE CONCENTRATE
แบรนด์บอกว่า:
ผลิตภัณฑ์สูตรพิเศษที่ถูกพัฒนามาเพื่อปรนนิบัติผิวบริเวณที่บอบบางและกังวลเป็นพิเศษ ด้วยคุณค่าการบำรุงจากท้องทะเลออกแบบมาเพื่อปลอบประโลมผิวด้วยส่วนผสมของน้ำสกัดเข้มข้น Miracle Broth™ หัวใจหลักสำคัญในการช่วยฟื้นบำรุงผิวของลาแมร์ ผิวที่กังวลและบอบบาง กลับมาเสมือนถูกฟื้นบำรุงขึ้นใหม่ The Concentrate จะช่วยเสริมการทำงานของกระบวนการฟื้นบำรุงผิวตามธรรมชาติ เหมาะสำหรับเตรียมผิวและดูแลผิวก่อนและภายหลังการทำทรีทเมนท์พิเศษแก่ผิว
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันไม่ใช่สำหรับเราค่ะ ตอนนั้นไม่ค่อยมีความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์ La Mer เท่าไร เลยให้ BA เลือกให้เค้าเลือกอันนี้ให้ค่ะ พอมารู้ทีหลังมันแพงที่สุดนี้เองสินะ อันนี้ไม่อยากพูดถึงเลยค่ะ แค่ใช้แล้วหน้านุ่มขึ้นเท่านั้นเองค่ะ มันเหมาะสำหรับคนที่ทำเลเซอร์หน้ามาค่ะ
ต่างจากแบรนด์ยังไง:
ไม่เคยเห็นซีรั่มที่คุณสมบัติเหมือนกันในแบรนด์อื่นๆนะค่ะ เลยเปรียบเทียบไม่ได้ค่ะ



THE WHITENING ESSENCE INTENSE
แบรนด์บอกว่า:
เซรั่มอันทรงประสิทธิภาพ ช่วยมอบความรู้สึกกระจ่างใสและช่วยรับมือกับริ้วรอยแห่งวัย VibraWhite Ferment™ Blendผสานคุณค่าจากสารหมักบ่มทั้งสามชนิด ช่วยเลือนความหมองคล้ำของผิว รอยและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ร่วมกับน้ำสกัดเข้มข้น Miracle Broth™หัวใจหลักสำคัญในการช่วยฟื้นบำรุงผิวของลาแมร์ ช่วยเติมความชุ่มชื้น ให้ผิวอ่อนนุ่ม และช่วยในกระบวนการฟื้นบำรุงผิวตามธรรมชาติช่วยให้ผิวเนียนสวย กระจ่าใส กระชับได้รูป และรูขุมขนกระชับแลดูจ่างลง
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันดีแต่แพงไปหน่อยค่ะ เพราะหาตัวอื่นมาแทนได้แล้วค่ะ ใช้ประมาณ 1-2 ปั๊มใช้หลัง the treatment lotion ทาทั่วหน้า ซึมไวมากทาแล้วหายไปหมดเลย หลังใช้หน้าดูกระจ่างใสขึ้นนิดหน่อย ยังไม่เคยเจอเซรั่มตัวไหนใช้แล้วสว่างใสแบบต่างแตกทันทีนะค่ะ หาอยู่เหมือนกันถ้ามีตัวไหนแนะนำให้ด้วยนะค่ะ กระที่ข้างแก้มดูจางลงเล็กน้อยค่ะ
ต่างจากแบรนด์อื่นยังไง:
เนื้อซีรั่มของ La Mer จะซึมเร็วสุด ส่วนผลรับไม่แตกต่างกันมากค่ะ มี 1 ตัวที่ดีกว่า La Mer คือ SK-II Cellumination essence ให้ผลรับดีกว่าและถูกกว่าด้วยค่ะ เดี๋ยวจะมีรีวิวในกระทู้นี้ด้วย



THE EYE CONCENTRATE
แบรนด์บอกว่า:
เนื้อครีมเข้มข้นที่ประกอบไปด้วยแร่เฮมาไทด์ และน้ำสกัดเข้มข้น Miracle Broth™ ถึง 3 รูปแบบ ช่วยมอบความชุ่มชื้น ฟื้นบำรุงผิวช่วยลดเลือนความหมองคล้ำสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ และริ้วรอยรอบดวงตาให้ดูลดเลือนลง เผยให้เห็นผิวรอบดวงคาที่สดใส เปล่งประกายดูมีสุขภาพดี
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันเลิศมากค่ะ แพงยังไงก็จะซื้อ ปรกติเวลายิ้มจะมีรอยตีนกาเล็กๆขึ้นที่หางตา ตั้งแต่ใช้ตัวนี้ มันหายไปหมดเลย ดีมากๆๆๆเลิศสุดค่ะ นอกจากนั้นใต้ตาที่บวมก็หายไม่หมดค่ะ
ต่างจากแบรนด์อื่นยังไง:
ดีกว่าแน่นอนค่ะ เคยแบรนด์ที่แพงกว่านี้อีกค่ะ ไม่เคยมีแบรนด์ไหนทำให้รอยตีนกาเวลายิ้มหายไปได้เลยค่ะ



THE SPF 50 UV PROTECTING FLUID PA+++
แบรนด์บอกว่า:
เนื้อผลิตภัณฑ์บางเบาช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ทั้งจากรังสี UVA และ UVB อันก่อให้เกิดริ้วรอย สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ส่วนผสม Photonic Spheres แร่อัญมณีและสาหร่ายทะเล ช่วยเสริมปราการปกป้องผิวตามธรรมชาติ ให้ความรู้สึกสบาย
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันดีนะ คือดีค่ะแต่ราคาสำหรับกันแดดมันแพงไปหน่อยไหม ใช้แล้วหน้าไม่มันคือถ้ากันแดดที่มี spf สูงใช้แล้วหน้าจะมัน แต่ตัวนี้ไม่มัน ทารองพื้นหรือbbก็ไม่เป็นคราบ ล้างออกง่าย ส่วนตัวเป็นใช้กันแดดเปลื้องกว่าคนอื่น 1 หลอดใช้ได้ประมาณเกือบเดือนเองค่ะ แต่คิดว่าจะซื้อใช้ต่อไปค่ะ เพราะกันแดดมันสำคัญที่สุด คือถ้าแต่งหน้าเสร็จแล้วลืมทากันแดดจะล้างหน้าลงบำรุงใหม่ทากันแดดให้ได้เลยค่ะ
ต่างจากแบรนด์ยังไง:
ใช้แล้วหน้าไม่มัน คือบางแบรนด์แค่ spf 30 ต้องซับมันตั้งแต่เที่ยงๆแล้วค่ะ ตัวนี้ไม่ต้องใช้ซับเลย หรือไม่บางตัวใช้แล้วหน้าไม่มันแต่ทำให้รองพื้นเป็นคราบค่ะ ตัวนี้ดีสุดที่เคยใช้มาค่ะ



THE LIP BALM
แบรนด์บอกว่า:
บอบบางกว่าส่วนใดๆบนใบหน้า ริมฝีปากมีความอ่อนไหวต่อจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและอากาศ รวมถึงปัจจัยกระทบต่อความแห้งที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ด้วยส่วนผสมในการฟื้นบำรุงอันเข้มข้นและเนื้อผลิตภัณฑ์อันหรูหรา ของ The Lip Balm ช่วยฟื้นบำรุงริมฝีปากที่ไม่เรียบเนียนให้อ่อนนุ่ม เพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นบำรุงริมฝีปากแห้งแตก และลอกเป็นขุย ด้วยคุณค่าจากน้ำสกัดเข้มข้น Miracle Broth™ หัวใจหลักสำคัญในการช่วยฟื้นบำรุงผิวของลาแมร์และ Lip Lipid Complex เอกสิทธิ์เฉพาะของลาแมร์ จะช่วยฟื้นบำรุงริมฝีปากอันบอบบาง มอบความชุ่มชื้นและกักเก็บความชุ่มชื้น ให้ริมฝีปากที่แห้งแตก ลอกเป็นขุย กลับมานุ่มนวลอีกครั้ง
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันดีแต่แพงไปสุดๆเลยค่ะ ตัวนี้ซื้อแบบไม่มีกล่องเลยได้ลด 50% เหลือ 1,250 แต่ก็ยังแพงไป ถ้าราคาลดปรกติคงไม่ซื้อแล้วค่ะ ถามว่ามันมีไหมดีเลยค่ะทำให้นุ่มชุ่มชื่น แต่มีแบรนด์อื่นๆที่มีสรรพคุณเหมือนกันมาแนะนำ นั้นคือ fresh lip มีรีวิวในนี้ด้วยค่ะ
ต่างจากแบรนด์ยังไง:
ถ้าไม่เคยใช้ fresh lip ตัวนี้ก็ดีมากๆเลยค่ะ เท่าที่ใช้มาหลายแบรนด์ la mer ชนะหมดค่ะ ยกเว้น fresh lip เพราะให้ผลรับเหมือนกันแต่ถูกว่าเยอะค่ะ แถมมี spf ให้ด้วยค่ะ

ต่อไปเป็นแบรนด์ SKII ค่ะ มาใช้ได้ยังไง แบรนด์นี้ได้มาจากญี่ปุ่นค่ะ ตั้งใจจะไปซื้ออีกแบรนด์ค่ะแต่แบรนด์นั้นเค้าไม่มีเคาน์เตอร์ที่สนามบิน เลยซื้อSKII แบบ travel set มาลองใช้ค่ะ ประทับใจเหมือนกันค่ะ แต่ให้ผลรับแตกต่างกับ La Mer คือเน้นผิวกระจ่างใส ทำให้ผิวดูโกลว์ ไม่ค่อยช่วยเรื่องริ้วรอย ให้ความชุ่มชื่น หน้าแน่นขึ้นเท่ากับ La Mer ค่ะ

Cellumination mask-in lotion(ลืมถ่ายรูปแยกค่ะ)
แบรนด์บอกว่า:
โทนเนอร์โลชั่นที่เปี่ยมประสิทธิภาพ ให้ความชุ่มชื้นราวกับมาส์ก อุดมด้วย “ออร่า ไบรท์ ค็อกเทล*” ไวท์เทนนิ่ง คอมเพล็กซ์ ที่มีส่วนผสมของพิเทร่าTM สูตรเฉพาะของ SK-II ช่วยคืนความกระจ่างใสและความนุ่มเนียนของผิวในทันที เตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อๆไปสัมผัสประสบการณ์ความชุ่มชื้นราวกับใช้มาสก์ เผยผิวดกระจ่างใสตามธรรมชาติ ช่วยลดเลือนจุดด่างดำและความหมองคล้ำ
ความรู้สึกส่วนตัว:
ต้องใช้คู่กับ facial treatment essence ไม่งั้น หน้าแห้งมากเลยค่ะ ตัวนี้หยอดลงบนมือ 3-4 หยอดลูบแล้วตบเบาๆทั่วหน้าค่ะ หลังใช้หน้าชุ่มชื่นขั้นมานิดหน่อยค่ะ
ต่างจากแบรนด์อื่นยังไง:
ถ้าเทียบคงเทียบได้กับ lamer เท่านั้น เพราะมันไม่ใช่โทนเนอร์ เป็นเตรียมผิวให้ผลิตภัณฑ์ตัวอื่นมากกว่าค่ะ ดีเหมือนกันคือมันเป็นตัวอะไรไม่รู้แต่ไม่มีไม่ได้ค่ะ



Facial treatment essence
แบรนด์บอกว่า:
เอ็สเซ็นส์ยอดนิยมและได้รับรางวัลจากสื่อต่างๆ มากที่สุด เอกลัษณ์เฉพาะจาก SK-II เฟเชียล ทรีทเมนท์ เอ็สเซ็นส์ อุดมด้วยไปด้วยพิเทร่าTM มากกว่า 90% พิเทร่าTM คือส่วนผสมสุดพิเศษที่มีเฉพาะในผลิตภัณฑ์จาก SK-II เท่านั้น นับจากวันแรกที่ถูกค้นพบกว่า 30 ปีก่อน จนถึงวันนี้พิเทร่าTM ยังให้ผู้หญิงทั่วโลกได้สัมผัสประสบการณ์ความกระจ่างใสไม่เปลี่ยนแปลง สูตรเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์ของเฟเชียล ทรีทเมนท์ เอ็สเซ็นส์ ช่วยผลัดปรับสมดุลของเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันดีมากเลยค่ะ สำหรับคนที่ต้องการความกระจ่างใส ตัวนี้เห็นผลเรื่องความกระจ่างใสเร็วที่สุด ผิวแข็งแรงขึ้นด้วยคือมันแน่นขึ้นค่ะ แต่ส่วนตัวเป็นความชุ่มชื่น ผิวนุ่ม ไร้ริ้วรอยมากกว่า ช่วงนี้เลยใช้แต่Lamerค่ะ แต่หน้าร้อนตอนเช้าอาจจะกลับมาใช้SKIIค่ะ ถ้ามีปัญหาผิวมันค่ะ
ต่างจากแบรนด์อื่นยังไง:
ดีกว่าตัวผลิตภัณฑ์ที่ต้องใส่สำลีตบลงบนหน้าทุกตัวที่เคยใช้มาค่ะ แต่ผลิตภัณฑ์แบบนี้เปลื่องมากเลยค่ะ ส่วนตัวใช้ 1 ขวดครึ่งต่อเดือนค่ะ(ขนาด 150 ml)



Celluminatuon day surge uv spf 30
แบรนด์บอกว่า:
มอยซ์เจอไรเซอร์เพื่อผิวกระจ่างใสสำหรับกลางวัน ปกป้องผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วย SPF 30 PA+++, อุดมด้วย ออร่า ไบรท์ ค็อกเทล ดี ที่มีส่วนผสมของ พิเทร่าTM ช่วย ปกป้องผิวจากรังสียูวีและอันตรายจากแสงแดด ปรับผิวที่หมองคล้ำให้กลับดูกระจ่างใส จุดด่างดำดูลดเลือนและคืนความชุ่มชื้นในคราวเดียว ให้ผิวดูเปล่งประกาย
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันไม่ค่อยดีเท่าไรนะค่ะ คือใช้แล้วหน้ามันตอนบ่ายๆค่ะ spf ไม่มากด้วยค่ะ
ต่างจากแบรนด์อื่นยังไง:
เนื้อครีมไม่เนอะเหมือนบางแบรนด์ ซึมเข้าผิวดี ไม่ทำให้รองพื้นเป็นคราบค่ะ เสียตรงที่ spf น้อยไปกับหน้ามันช่วงบ่ายค่ะ

2 แบรนด์สุดท้ายจะไม่มีแบรนด์บอกว่านะค่ะ เพราะอันนึงเป็นภาษาอังกฤษอีกอันเป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ ภาษาอังกฤษพอจะแปลให้ได้อยู่แต่กลัวจะไม่ถูกต้องตามต้นฉบับ
ส่วนอีกแบรนด์ไม่สามารถแปลให้ได้จริงๆค่ะ


Fresh Lip อันนี้ใช้ตามโมเมพาเพลินค่ะ ใช้ดีมากเลยราคา อาจจะสูงสำหรับลิปมันทั่วไปมากแต่มันดีจจริงๆอะ ใช้อยู่ 2 ตัวค่ะ ขออนุญาติรีวิวพร้อมกันเลยนะค่ะ

Sugar Fresh Lip(สีนำ้ตาล) กับ Sugar Advanced Therapy(สีขาว)
ความรู้สึกส่วนตัว:
มันดีมากค่ะ ใช้แล้วปากนุ่มขึ้นทันที ไม่ได้ทาบุ๊บนุ่มปั๊มเลยนะค่ะ ทาก่อนนอนตอนเช้ารู้สึกนุ่มขึ้นแน่นอน ตัวสีนำ้ตาลจะ spf ใช้ทาตอนกลางวัน ส่วนอีกตัวทาตอนกลางคืนค่ะ มันดีขนานต้องเสียเงินซื้อไหม ถ้าเป็นไม่ได้ใส่ใจเรื่องปากนุ่มมากก็ไม่จำเป็นค่ะ แต่เค้าชอบอะ
ต่างจากแบรนด์อื่นยังไง:
นุ่มกว่าเยอะ จัดการกันปากแห้งเป็นขุยได้ดีค่ะ ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะด้วยค่ะ



ตัวสุดท้ายที่จะรีวิวคือ 
Three Balancing Cleansing Oil
ความรู้สึกส่วนตัว:
ชอบนะ ใช้แล้วรู้ผ่อนคลาย กลิ่นมันผ่อนคลายมากค่ะ นวดบนหน้าที่แห้งสักพักแตะน้ำใส่นิดนึนวดต่อน้ำมันจะกลายเป็นครีมน้ำนมนวดอีกสักพักก็ล้างออกค่ะ ผลรับหน้านุ่มเวอร์ผิวไม่แห้งด้วยค่ะ
ต่างจากแบรนด์อื่นยังไง:
กลิ่นชนะแบรนด์อื่นขาดเลยค่ะ ความสะอาดมากกว่า cleansing oil ตัวอื่น เคยใช้ cleansing oil แบรนด์อื่นรู้สึกไม่สะอาดเท่า cleansing cream หลังๆเลยไม่ได้ใช้ cleansing oil เลยค่ะ แต่ไม่อยากใช้ทิชชูหรือฟองน้ำเช็ดผิวมาก มันทำร้ายผิวค่ะ
เห็นรีวิวของคุณโมเมแนะนำตัวนี้เลยลองซื้อมาใช้ค่ะ




Create Date : 06 มีนาคม 2558
Last Update : 6 มีนาคม 2558 15:51:12 น.
Counter : 17095 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

=pray4mercy=
Location :
เชียงราย  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



มีนาคม 2558

1
2
3
5
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31