Group Blog
All Blog
### วิธีที่จะทำให้ใจของเราสงบและอิ่มอย่างถาวร ###











“วิธีที่จะทำให้ใจของเราสงบ

และอิ่มอย่างถาวร”

วิธีที่จะทำให้ใจของเราสงบและอิ่มอย่างถาวร

 ก็คือเราต้องไม่ทำตามความอยากเท่านั้น

 ให้เราดูสิ่งที่เราอยากได้ ว่าเวลาได้มาแล้ว

 มันมีผลอะไรกับจิตใจเรา

มันให้ความสุขเรานานสักเพียงไร

บางทีมันให้เราเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง

 แล้วมันก็จางหายไปแล้วมันก็จะเกิดความอยาก

ที่จะได้ใหม่ ส่วนของที่ไม่จางหายไป

ของที่ได้มาแล้วยังมีอยู่

มันก็กลับสร้างความวุ่นวายใจให้กับเรา

 เพราะเราได้ของอะไรมา เราก็มักจะรักจะหวงจะห่วง

เพราะเราอยาก จะให้ของที่เราได้มา

หรือบุคคลที่เราได้มานั้นอยู่กับเราไปเรื่อยๆ

 ไม่จากเราไป แต่พอเราคิดขึ้นมาว่า

เขาอาจจะ ต้องจากเราไปวันใดวันหนึ่ง

 หรือเขาจากเราไปจริงๆ

เวลานั้นแทนที่เราจะมีความสุขกับสิ่งที่เราได้มา

 สิ่งที่เราได้มานั้นกลับกลายเป็นเหตุ

ที่สร้างความทุกข์ใจให้กับเรา

 การสูญเสียสิ่งที่เรารักไปนี้มักจะทำให้เรา

 ร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจกัน

แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งที่เราได้มา

 เราจะมาเศร้าโศกเสียใจร้องห่มร้องไห้กับอะไร

 อันนี้ให้ใช้ปัญญาพิจารณาดูตาม

พระพุทธเจ้าได้ทรงพิจารณาและได้ทรงปฏิบัติมา

 พระองค์ทรงฝืน ความอยากทุกชนิด

ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ที่เรียกว่ากามตัณหา พระองค์ก็ทรงฝืนไม่ทำตาม

 ภวตัณหา คือความอยากมี อยากเป็น

 พระองค์ก็ทรงฝืนไม่กระทำ

วิภวตัณหา ก็ทรงฝืนไม่กระทำตามความอยาก

 พอไม่กระทำไปเรื่อยๆ ความอยากก็จะอ่อนกำลัง

ลงไปตามลำดับแล้วก็จะหมดไปในที่สุด

นี่แหละคือวิธีที่เราจะสร้างมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

ให้เป็นไปอย่างถาวร ต้องสร้างด้วยวิปัสสนาภาวนา

 คือหลังจากที่เราได้สมถภาวนาคือความสงบแล้ว

 เราก็เอาความสงบนี้มาต่อสู้

กับความหิวความอยากต่างๆ มาสนับสนุนปัญญา

ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพิจารณา

ให้พิจารณาว่าทุกอย่างไม่เที่ยง

ดีขนาดไหนก็ไม่เที่ยง

ถึงเวลามันก็ต้องจากเราไป

ถ้าเรารักมันเราก็จะทุกข์

 ของไม่ดีถ้าเราเจอมันเราก็จะทุกข์

 ถ้าเราอยากจะให้มันหายไป มันก็หายไม่ได้

 เพราะมันเป็นอนัตตา มันไม่ได้เป็นของเรา

มันไม่ได้เป็นตัวเรา

มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราจะสั่งให้มันหายไปได้

เช่นเวลาความแก่โผล่มา

เราจะสั่งให้มันหายไปไม่ได้

 เราจะกลับไปเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่ได้

เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยเราจะสั่งให้มันหายไปไม่ได้

 เวลาที่มันจะตายขึ้นมา เราไปสั่งให้มันไม่ตายไม่ได้

 เราก็ต้องหยุดความอยาก อย่าไปสั่งอย่าไปอยาก

ให้มันไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

เพราะมันจะทำให้เราต้องเครียด

 ต้องทุกข์ทรมานใจไปเปล่าๆ

 โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงแต่อย่างใด

ความแก่ก็ยังต้องแก่ ความเจ็บก็ยังต้องเจ็บ

 ความตายก็ยังต้องตาย

 แต่ความเจ็บ ความแก่

 ความตายนี้มันไม่ได้เป็นตัวปัญหา

 มันไม่ได้เป็นตัวที่สร้างความทุกข์ใจให้กับเรา

 ตัวที่สร้างความทุกข์ใจ ให้กับเราก็คือ

ความอยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตายนี้ต่างหาก

 อันนี้คือความจริงที่เรียกว่า “ปัญญา”

ที่เราสามารถพิจารณาและแยกแยะออกให้เห็นได้ว่า

 อะไรเป็นพิษเป็นภัยกันแน่

พวกเรากลัวความแก่ กลัวความเจ็บ กลัวความตาย

เหมือนกับกลัวเสือ แต่ความจริงมันเป็นเสือที่ไม่กัด

ตัวที่กัดเรา เรากลับไม่กลัว

เรากลับไม่รู้ว่ามันเป็นตัวที่กำลังกัดเรา

 ตัวที่กำลังกัดเราก็คือตัววิภวตัณหานี้

ความอยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย

 ไม่ใช่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย

คนที่ไม่มีความอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

เช่นพระอริยบุคคลทั้งหลายตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปนี้

ท่านไม่ทุกข์กับความแก่ ไม่ทุกข์กับความเจ็บ

 ไม่ทุกข์กับความตาย

เพราะท่านเจอเสือที่แท้จริงและได้ฆ่ามัน

ท่านรู้ว่าเสือตัวนี้ก็คือวิภวตัณหานี่เอง

ตัวที่ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย

 เพราะมันไม่มองความจริง มองแต่ความหลง

 คิดไปตามความหลง

รักอะไรแล้วก็ต้องให้มันอยู่กับเราไปตลอด

 รักร่างกายนี้ก็ต้องการ ให้มันไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

 ก็เลยสร้างเสือขึ้นมา เสือก็แท้จริงก็คือ

ความอยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย

 พอใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะแล้วก็เลยรู้ว่า

 ต้องฆ่าตัวไหน ตัวที่จะต้องฆ่าก็คือ

ตัวความอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนี่เอง

 ตัวนี้แหละที่เป็นเสือจริง

 เสือปลอมก็คือความแก่ ความเจ็บ ความตาย

มันไม่กัดเรา มันไม่ทำลายจิตใจของเรา

อันนี้จะเกิดขึ้น ถ้าเรามีสมถภาวนา

ถ้าไม่มีสมถภาวนา เราจะไม่มีกำลัง

ที่จะพิจารณาความจริงอันนี้

 มันต้องพิจารณาในขณะที่เกิดเหตุการณ์จริง

 ถ้ายังไม่มีเหตุการณ์จริง อย่างตอนนี้เราพิจารณากัน

 มันยังไม่ได้เป็นของจริง มันยังดับความทุกข์ไม่ได้

 มันยังฆ่าเสือไม่ได้ ต้องรอให้เสือมาจริงๆก่อน

ต้องรอให้เกิดวิภวตัณหาขึ้นมาจริงๆ

 การที่จะเกิดวิภวตัณหาขึ้นมา

ก็ต้องไปเจอความแก่

ความเจ็บ ความตายอย่างจริงๆ

 แล้วดูซิว่าจะทำใจได้หรือเปล่า

 ทำใจให้ไม่ทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ

ความตายได้หรือเปล่า

ถ้าทำได้ก็แสดงว่าเราได้ฆ่าเสือ

 ตัวที่มาคอยกัดกินใจของเรา

นี่คือเรื่องของวิปัสสนา

ที่จะต้องเอามาใช้ในการฆ่าเสือทั้ง ๓ ตัวนี้

เสือคือกามตัณหา วิภวตัณหา ภวตัณหา

กามตัณหาก็คือความอยากในกาม

 เช่นอยากจะเสพกาม อยากร่วมหลับนอนกับผู้อื่น

 เห็นเขาสวยเห็นเขาหล่อ

ห็นแล้วเกิดอารมณ์กำหนัดยินดี

 ถ้าไม่เสพแล้วมันหงุดหงิดกินไม่ได้นอนไม่หลับ

ถ้าได้เสพแล้วจะมีความสุข

 แต่ไม่รู้ว่าเป็นความสุขเดี๋ยวเดียว

แล้วเดี๋ยวก็ต้องเสพใหม่

 เหมือนกับยาเสพติดที่เวลาอยากขึ้นมา

ก็คิดว่าเสพแล้ว จะมีความสุข

พอได้เสพแล้วมันก็เป็นความสุขเดี๋ยวเดียว

พอผ่านไปแล้วไม่นาน ก็เกิดความอยากขึ้นมาใหม่

ก็ต้องเสพใหม่ แต่เราจะเสพไปได้ตลอด

ไปถึงเมื่อไหร่ เพราะร่างกายของเราก็ไม่เที่ยง

 ร่างกายของคนที่เราจะเสพด้วย

 เขาก็ไม่เที่ยงและสิ่งที่ไม่เที่ยง เร็วกว่าร่างกายของเขา

ก็คือจิตใจของเขา เขาอาจจะเปลี่ยนใจ

ไม่ชอบเราวันใดวันหนึ่งขึ้นมาก็ได้

 ไม่อยากจะร่วมหลับนอนกับเราเมื่อไหร่ก็ได้

ถึงเวลานั้นแล้วเราจะทำอย่างไร

 เราก็จะต้องหงุดหงิดทุกข์ทรมานใจ

นี่คือไม่ได้เป็นวิธีสร้างความสุขให้กับใจ

 ไม่ได้เป็นวิธีดับความทุกข์ให้กับใจ

 แต่เป็นวิธีตรงกันข้ามกัน คือสร้างความทุกข์ให้กับใจ

ทำลายความสุขที่มี ที่ได้จากความสงบไป

นี่แหละคือเสือที่เราต้องฆ่ามันให้ได้

จะฆ่ามันให้ได้ต้องล่อมันออกมาจากกรง

 ต้องล่อให้มันออกมา ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์อะไรต่างๆ

มันไม่รู้จะฆ่าเสือได้อย่างไร เสือมันไม่ออกมา

ถ้าเราอยากจะฆ่าเสือ เราก็ลองถือศีล ๘

 ไปดู คนที่อยู่ด้วยกันต้องนอนหลับด้วยกันนี้

ลองถือศีล ๘ ไปดูสักพักหนึ่ง

 ดูซิว่าเสือมันจะออกมาหรือไม่ออกมา

มันต้องรอมันต้องสร้างภาวะ

ให้เกิดความอยากขึ้นมาให้ได้

 ถ้าไม่สร้างภาวะให้เกิดความอยาก

 คือเวลาเกิดความอยากต้องรีบทำตามความอยาก

 ความอยากนั้นก็หายไป

 เวลามันอยากแล้วเราอย่าไปตอบสนองความอยาก

ดูซิว่าจิตใจของเราเป็นอย่างไร ทุกข์หรือไม่ทุกข์

 ทุกข์แล้วเราจะแก้อย่างไร

จะแก้ด้วยการทำตามความอยาก

หรือจะแก้ด้วยการไม่ทำตามความอยาก

ถ้าแก้ด้วยการทำตามความอยาก

ก็เหมือนกับเวลาที่เราต้องการดับไฟ

เราเอาน้ำมันเทลงไป เราคิดว่าเป็นน้ำ

แต่ความจริงมันเป็นน้ำมัน เวลาเทลงไปใหม่ๆ

 ไฟมันทำท่าจะดับ เพราะตอนนั้นน้ำมันยังไม่ร้อน

 มันก็เป็นเหมือนน้ำ แต่สักครู่เดียวเท่านั้นแหละ

 น้ำมันที่มันเย็นนั้นมันร้อนขึ้นมา มันก็เกิดการปะทุ

ทำให้เกิดไฟลุกขึ้นเป็นกองใหญ่กว่าเก่า

นี่คือการดับความอยากด้วยการทำตามความอยาก

 พออยากปั๊บก็ทำตามความอยากปั๊บ

 ความทุกข์นั้นก็หายไป แต่หายไปไม่นาน

 เดี๋ยวมันกลับเกิดความอยากที่ใหญ่โตกว่าเดิม

 ต้องการมากกว่าเดิม เคยได้แค่นี้

คราวหน้า อยากจะได้ ๒ เท่าของคราวที่แล้ว

นี่คือลักษณะของการดับความทุกข์

ด้วยการทำตามความอยาก

 มันจะทำให้ความทุกข์นี้รุนแรงขึ้น

ความอยากรุนแรงขึ้นไม่ใช่ให้เบาให้น้อยลงไป

ถ้าจะให้เบาให้น้อยลง ต้องทำแบบพระพุทธเจ้า

คือต้องไม่ทำตามความอยาก ต้องใช้ปัญญาพิจารณา

ให้เห็นว่า มันเป็นความทุกข์ แล้วใช้สมถภาวนา

ใช้ความสงบมาคอยหล่อเลี้ยงจิตใจ

ไม่ให้ทุกข์ทรมานไปกับความอยากต่างๆ

 พอฝืนได้แล้ว ครั้งต่อไป

ความอยากมันก็จะอ่อนลงเบาลงไป

 ความรุนแรงจะอ่อนลงไปเรื่อยๆ

จนเรารู้สึกสบาย มันจะเกิดขึ้นมานี้

 ถ้าเราสู้กับตัวแรกได้แล้วตัวที่ ๒ ตัวที่ ๓

มันจะเล็กลงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่จะใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ

 เหมือนกับเราเทน้ำลงไปในกองไฟ

ไฟมันก็จะลดอุณหภูมิลงไป

ความรุนแรงของไฟก็จะอ่อนลงไป

 พอเราเทครั้งที่ ๒ ลงไปมันก็ยิ่งอ่อนลงไปเรื่อยๆ

แล้วเดี๋ยวในที่สุดไฟมันก็จะดับไป

นี่คือเรื่องของการใช้สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา

ในการบรรลุมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ของพระพุทธเจ้า

ที่พระองค์ได้ค้นคว้าศึกษาหาได้ด้วยตนเอง

 ทรงรู้ว่าการแก้ความทุกข์นี้

ต้องแก้ด้วยการละความอยาก

ไม่ใช่แก้ ด้วยการทำตามความอยาก

พอพระองค์ได้กำจัด

ความอยากหมดสิ้นไปจากจิตใจ

 พระทัยของพระองค์

ก็เหลือแต่ ความสุขเพียงอย่างเดียว

 เป็นความสุขที่ไม่เสื่อมไม่หมด

 เพราะจิตใจนี้เป็นสิ่งที่ไม่เสื่อมไม่หมดนั่นเอง

สิ่งที่อยู่ ในจิตใจก็จะอยู่ไปกับจิตใจไปตลอด

 เพราะสิ่งที่จะมาทำให้เสื่อมให้หมดนั้น

มันไม่มีคือการเกิดความอยากขึ้นมา

และการเผลอสติ ไม่รักษาความสงบไว้เท่านั้นเอง

 แต่ถ้าเรามีสติที่เราจะรักษาความสงบไว้ได้อย่างต่อเนื่อง

 ตลอดเวลา จนเป็นธรรมชาติของใจไป

 มีสติควบคู่กับใจไปตลอด อย่างที่หลวงตาท่านพูด

 สติปัญญาอัตโนมัติ

 อัตโนมัติก็คือไม่ต้องไขลานไม่ต้องคอยเจริญ

สตินี้ถ้าเราเจริญไปถึงขีดหนึ่งแล้ว

มันจะเป็นธรรมชาติไป มันจะเป็นของมันไปเอง

 มันจะดูมันจะทำหน้าที่ของมันไป

โดยที่เราไม่ต้องไปปลุกไปเรียกมัน

 เช่นเดียวกับปัญญาที่เราใช้การพิจารณาไตรลักษณ์

 อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ในเบื้องต้นนี้เหมือนกับเราต้องไขลาน

ต้องคอยบังคับให้มอง

ให้ใจมองทุกอย่างว่าเป็นไตรลักษณ์

เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

พอมองไปเรื่อยๆแล้วต่อไปมันจะเป็นนิสัยไป

 มันเห็นอะไรมันจะคิดถึงไตรลักษณ์ทันที

 มันจะคิดถึงอสุภะทันที มันจะคิดถึงธาตุ ๔

 ดินน้ำลมไฟทันที นี่ถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้ว

มันก็จะสามารถ ที่จะรักษาใจให้สงบไปได้ตลอด

 เป็นปรมัง สุขังได้ตลอดเวลา

ทั้งนี้ทั้งนั้นผลเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้นมาได้

ก็ขึ้นอยู่ ที่การปฏิบัติของพวกเราเอง

 ไม่มีใครสามารถที่จะปฏิบัติ ให้กับเราได้

 และสิ่งที่จะควบคุมบังคับให้เราอยู่ในล่องในรอย

ของการปฏิบัติก็คือคุณธรรม ๔ ประการ

ที่ได้ยกขึ้นไว้ในเบื้องต้น ก็คืออธิษฐานความตั้งใจ

 สัจจะความจริงใจ วิริยะความอุตสาหะ

พากเพียรและขันติ ความอดทน

 ถ้าเรามีคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว

เราจะสามารถทำในสิ่งที่เราเห็นว่า

เป็นคุณเป็นประโยชน์กับเรา

ก็คือจะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

 คือการเจริญทาน ศีล ภาวนานี้

ไปจนกว่าเราจะได้บรรลุมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘

“อธิษฐาน สัจจะ วิริยะ ขันติ”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 31 กรกฎาคม 2559
Last Update : 31 กรกฎาคม 2559 15:16:41 น.
Counter : 796 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ