Group Blog
All Blog
### เลือกทางเดินของชีวิต ###










“เลือกทางเดินของชีวิต”

ปัจจุบันนี้เป็นที่ตั้งวิถีชีวิต

ให้วิถีชีวิตนี้ไปในทิศทางหนึ่งทางใด

จะให้ไปในทางสวรรค์ก็ได้ ไปทางสุคติก็ได้

จะให้ไปในทางทุคติก็ได้

หรือจะให้ยุติการไปทั้ง ๒ ทางก็ได้

 ไม่ไปทางสุคติ และไม่ไปทางทุคติ

นี่คือความรู้ที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงตรัสรู้

แล้วได้นำเอาเผยแผ่สั่งสอน

ให้แก่สัตว์โลกอย่างพวกเรา

 ที่ยังไม่รู้กันให้ได้รู้กัน เมื่อได้รู้แล้ว

ก็จะสามารถเลือกทางเดินของชีวิตของตนได้

 พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับ ให้เดินตามทางของพระองค์

 พระองค์ทรงเป็นเพียงผู้มาบอกความจริงของทาง

ที่จะไปกันว่ามีทางไหนบ้าง ไปกันได้อย่างไร

แต่ไม่ทรงสั่งไม่ทรงบังคับว่าจะต้องไปทางนี้

ผู้ที่จะไปจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเอาเองว่า

จะต้องการไปทางไหน เพราะผู้ที่ตัดสินใจ

ผู้ที่เลือกทางนั้น

จะเป็นผู้รับผลของการตัดสินใจของตน

 นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า

ซึ่งต่างจากคำสอนของศาสดาอื่นๆ

ทรงสอนความจริงให้ฟังให้รู้ แต่ไม่ทรงบังคับ

ให้กระทำหรือไม่กระทำ

เพราะทรงรู้ว่าการบังคับนี้ไม่เป็นผลดี

 เพราะเวลาบังคับนี้ มักจะเหมือนกับ

จะสร้างการต่อต้านขึ้นมาในใจของผู้ที่ถูกบังคับ

หรือถ้าอย่างที่มีคำพูดว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ

 ยิ่งห้ามแทนที่จะหยุดให้เขากระทำสิ่งที่ห้าม

กลับไปยุยงให้เขาทำเพิ่มมากขึ้น

พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจหลักของจิตวิทยาอันนี้

 จึงไม่ทางบังคับยกเว้นในกรณีของผู้ที่มาบวช

 ในพระพุทธศาสนานี้ พระพุทธเจ้าต้องบังคับ

คือทรงตั้งกฎกติกา

ให้ผู้ที่จะมาอยู่มาบวชในพระพุทธศาสนา

 จะต้องอยู่ในกฎระเบียบคือในพระวินัย

ในข้อห้ามต่างๆของการเป็นพระภิกษุ

ถ้าละเมิดข้อห้ามก็จะสามารถถูก จับสึก

 ลาสิกขาลาเพศไปได้ คือจะถูกขับออกจากองค์กร

ออกจากสมาคมของพระภิกษุได้

 เหตุที่จะต้องทำเพราะว่าสถาบันสงฆ์

เป็นสถาบันที่เป็นตัวอย่าง

เป็นเหมือนกับสถานที่ศึกษาเล่าเรียน

ผู้ที่จะมาศึกษาเล่าเรียนจำเป็น

ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎตามระเบียบ

ของสถาบันการศึกษา

 เพื่อที่จะได้บรรลุเป้าหมายของการศึกษา

แต่ก็ไม่ได้บังคับให้มาบวชกัน

การบวชนี้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามความสมัครใจ

 ถ้าอยากจะบวชก็มาบวชได้

 แต่มาบวชแล้วก็ตั้งอยู่ในกฎกติกา

 ของการเป็นนักบวช

 ถ้าละเมิดกฎกติกาของการเป็นนักบวช

ก็ต้องสิกขาลาเพศไป ไม่ให้อยู่ร่วมกัน

 เพราะจะทำความเสื่อมเสีย

ให้แก่สถาบันของพระสงฆ์

ที่เป็นสถาบันที่มีประชาชนเคารพนับถือ

และยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่งเป็นที่อาศัยในเรื่อง

 ของการประพฤติปฏิบัติตนที่ดีงาม

 เมื่อไม่สามารถที่จะ ประพฤติปฏิบัติตน

ให้ดีงามได้ก็ไม่ควรที่จะอยู่ในสถาบัน

 ที่สอนเรื่องการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม

เรื่องอย่างนี้พระพุทธเจ้าจึงจำเป็นต้องมีกฎกติกา

เพื่อที่จะได้ไม่ปล่อย ให้ผู้ที่ประพฤติตน

ไม่ดีไม่น่าดูไม่สวยงาม เข้ามาปะปน

กับผู้ที่ประพฤติดีประพฤติที่สวยงาม

 เพราะเหมือนกับจะเอาน้ำสกปรก

มาผสมกับน้ำที่สะอาด

ก็จะทำให้น้ำที่สะอาดนั้นต้องสกปรกไปด้วย

จึงเป็นที่ทำให้พระองค์ทรงต้องมีกฎกติกาบังคับ

 ให้ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนา

จำเป็นที่จะต้องเคารพกฎกติกาของการเป็นนักบวช

แต่ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนทั่วไป

 คือเป็นผู้ที่มีศรัทธาความเชื่อ

ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 พระองค์ก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องรักษาศีล ๕

จะต้องใส่บาตรทุกวันจะต้องบำเพ็ญจิตตภาวนา

จะต้องไปที่สังเวชนียสถาน ๔ อันนี้ไม่ทรงบังคับ

 แต่ทรงแนะนำว่าเป็นการกระทำที่พึงกระทำ

ทำแล้วผู้กระทำจะได้รับประโยชน์

แต่ไม่กระทำก็ไม่ทรงว่าอะไร

พระพุทธศาสนาอย่างในประเทศไทย

จึงเป็นของที่ค่อนข้างจะแปลกสำหรับชาวประเทศ

ที่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ก็จะคิดว่าประเทศไทยมีพุทธศาสนิกชน

อยู่ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์

ก็จะคิดว่าประเทศไทยนี้เป็นประเทศที่สะอาด

ปราศจากอบายมุข ปราศจากผู้กระทำบาป

เพราะเป็นชาวพุทธ

 เมื่อเป็นชาวพุทธก็จะไม่เสพอบายมุข

 เช่นไม่ดื่มสุรายาเมาไม่เล่นการพนัน

ไม่เที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรี

 ไม่ไปดูมหรสพบันเทิงต่างๆ ไม่คบคนไม่ดีเป็นมิตร

 ไม่มีความเกียจคร้านแต่พอมาถึงเมืองไทยแล้ว

กลับเห็นภาพที่ไม่ตรงกับที่ตนเองได้คิดไว้

ไปไหนก็เห็นอบายมุขเต็มไปหมด เห็นบาร์เห็นผับ

เห็นสถานอาบอบนวด แหล่งโสเภณีอะไรต่างๆ

เต็มไปหมดก็ทำให้ไม่เข้าใจว่า

นี่เป็นเมืองพุทธได้อย่างไร

 ก็เป็นเพราะว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้บังคับ

 ให้ชาวพุทธจะต้องปฏิบัติตาม

 เพียงแต่สอนให้รู้ว่า

ควรจะปฏิบัติตามหรือไม่เท่านั้นเอง

 เช่นควรละเว้นจาก อบายมุขทั้งหลาย

ควรละเว้นจากการกระทำบาป

ควรเข้าวัดทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรม ใส่บาตรทำบุญ

ส่วนที่ชาวต่างประเทศเห็นที่ชาวพุทธทำกันมาก

ก็คือการทำบุญการใส่บาตร

 อันนี้เป็นจุดเด่นของ พุทธศาสนิกชนในประเทศไทย

 แต่จุดด้อยก็คือการไม่รักษาศีล

 การไม่ละเว้นจากอบายมุขต่างๆ

อันนี้เป็นเพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบังคับ

ให้พุทธศาสนิกชนที่ถือตนว่าเป็นพุทธศาสนิกชน

 จะต้องกระทำ แต่เพียงทรงแสดงว่า

คุณสมบัติของชาวพุทธที่ดี

 ควรเป็นผู้ที่มีศรัทธาความเชื่อในกฎแห่งกรรม

 คือเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอน

ให้คิดดี พูดดี ทำดี ที่สอนให้ละเว้น

จากการคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี

อันนี้เป็นคุณสมบัติของชาวพุทธที่แท้จริง

 ถ้าเราอยากจะรู้ว่าเราเป็นพุทธแท้หรือพุทธเทียม

 ก็ขอให้ดูการปฏิบัติ ของเรา

 ว่าเราได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่

ถ้าเราได้ปฏิบัติตามเราก็เป็นชาวพุทธ

เราก็เรียกตนเองว่าเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าได้

 เป็นลูกศิษย์ของพระอรหันตสาวกได้

 แต่ถ้าเราไม่ประพฤติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ไม่ประพฤติตามคำสอนของพระอริยสงฆ์สาวก

ถึงแม้ว่าเราจะเรียกตนเองว่า เป็นลูกศิษย์

มันก็เป็นเพียงแต่ชื่อเท่านั้นเอง

แต่ตัวตนเองลูกศิษย์นั้นไม่ปรากฏขึ้นมา

เพราะตัวตนของลูกศิษย์นี้เกิดจากการประพฤติ

ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ดังนั้นถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราอยากจะเป็นพุทธแท้

และอยากจะได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา

 เราก็ต้องปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ที่ทรงสอนให้เราทำบุญละบาป

และกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง

 กำจัดความอยากต่างๆ ให้หมดไปจากใจของพวกเรา

 เพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ต้องกลับมา

เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

 เพราะถ้ายังมีการเวียนว่ายตายเกิด

ก็ยังต้องมีการไปใช้วิบากกรรม

 ไปรับวิบากกรรมต่างๆทั้งส่วนที่ดีและส่วนที่ไม่ดี

 แล้วก็ต้องกลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตายต่อไปอยู่เรื่อยๆ

 ดังนั้นถ้าเราอยากจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริง

และได้รับประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา

เราก็ต้อง ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

 หมั่นทำความดีอยู่เรื่อยๆ

 หมั่นละการกระทำบาปอยู่เรื่อยๆ

 หมั่นชำระใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เรื่อยๆ

ถ้ามีการกระทำทั้ง ๓ ส่วนนี้แล้วเราก็จะเรียกตนเองว่า

 เป็นพุทธศาสนิกชน ได้อย่างเต็มร้อย

 และเราก็จะสามารถรับประโยชน์

จากการได้เป็นพุทธศาสนิกชน ได้อย่างเต็มร้อย

คือ ได้บรรลุถึงมรรคผล นิพพาน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๙

“กฎแห่งกรรม”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 30 สิงหาคม 2559
Last Update : 30 สิงหาคม 2559 11:52:21 น.
Counter : 1125 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ