Group Blog
All Blog
### ความอยากไม่มีขอบเขต ###













“ความอยากไม่มีขอบเขต”

ผู้ที่มาบวชที่นี่ถ้าอยากจะปฏิบัติ

ก็มักจะไปอยู่ศึกษากับครูบาอาจารย์กัน

 ส่วนพวกที่บวชชั่วคราวก็ไม่ได้ตั้งใจจะปฏิบัติ

 ก็ไม่ค่อยชอบขึ้นมา เพราะข้างบนนี้

 (เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาชีโอน)

มันกันดารพอสมควร

 ไฟฟ้าก็ไม่มี น้ำก็ต้องอาศัยน้ำฝนรองใส่แท้งก์

ต้องใช้อย่างประหยัดเพราะมีไม่มาก

มีแท้งก์อยู่ ๒ – ๓ ลูก ต่อหนึ่งกุฏิ

ถ้าต้องการสรงน้ำให้จุใจ ก็สรงที่ข้างล่างก็ได้

ในตอนเช้าเวลาลงไปข้างล่างก่อนจะออกบิณฑบาต

 เพราะมีน้ำประปา มีไฟฟ้า

 ที่ข้างบนนี้เวลาสรงน้ำก็ต้องประหยัดๆหน่อย

สัก ๔ – ๕ ขัน พอทำความสะอาดร่างกายก็พอแล้ว

สำหรับคนที่ชอบความสงบ

 เรื่องเหล่านี้จะไม่เป็นอุปสรรค

 เพราะความสงบให้ความสุขมากกว่า

มากกว่าความสุขที่ได้จากการอาบน้ำมากๆ

อาบฝักบัว อาบในอ่าง

 มันก็สุขแค่ขณะที่อาบเท่านั้นเอง

 พอออกจากห้องน้ำเดี๋ยวก็ร้อน จิตใจก็ร้อนต่อ

 แต่ถ้าจิตใจเย็นด้วยความสงบแล้ว

 จะเย็นตลอดเวลา

 เรื่องของใจจึงเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องอื่น

ถ้าเข้าถึงใจแล้ว ได้เห็นความสงบของใจแล้ว

 จะสามารถสละทุกสิ่งทุกอย่างได้

 เพราะไม่มีอะไรมีคุณค่าเท่ากับใจ

ที่ได้รับการดูแลรักษา ได้รับการอบรม ให้สงบ

ไม่วุ่นวายตามกระแสของความอยากต่างๆ

 ที่เป็นตัวสร้างความวุ่นวายให้กับใจของพวกเรา

 แต่พวกเราไม่ค่อยรู้กัน

 เพราะเราอยู่ภายใต้กระแส

ของความอยากมานาน

 จนติดเป็นนิสัย ถ้าได้ทำอะไรตามความอยาก

แล้วจะมีความสุข เหมือนกับคนที่ติดยาเสพติด

 หรือติดสุราหรือบุหรี่ ถ้าได้เสพเป็นประจำแล้ว

 เวลาอยากจะเสพแล้วได้เสพก็จะมีความสุข

 แต่ถ้าวันไหนไม่ได้เสพ

ก็จะรู้สึกหงุดหงิดเป็นทุกข์

 ต้องรีบบำบัดด้วยการหามาเสพต่อ

เลยกลายเป็นทาสของสิ่งต่างๆเหล่านี้ไป

พวกเราก็เช่นเดียวกัน มีความสุขกับความอยาก

 เวลาอยากจะไปไหนแล้วได้ไป ก็มีความสุข

 แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ไปเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย

ก็จะมีความทุกข์มาก เพื่อนฝูงไปกินเลี้ยงกัน

 แต่เราต้องนอนอยู่บ้านหรือนอนอยู่โรงพยาบาล

มีแต่ความทุกข์ใจ แต่พอออกจากโรงพยาบาล

หายจากไข้แล้ว ก็ต้องรีบไปทันที

 มีโอกาสก็ไปอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยหยุดคิดเลยว่า

 การไปนี้เป็นการสร้างความทุกข์ให้กับเรา

ที่จะรอเราอยู่ภายภาคหน้า

 เวลาที่เราไม่สามารถทำตามสิ่งที่เราต้องการได้

 อย่างเมื่อเช้านี้ก็มีหญิงชราคนหนึ่ง

ลูกหลานพามาทำบุญ

เป็นอัมพฤตเดินกะโผลกกะเผลก

 ก็ต้องประคับประคองมา เพราะอยากจะทำบุญ

ลูกหลานก็บอกเธอว่า ถ้าอยากจะทำบุญ

 ก็ต้องพยายามเดินมาให้ได้

เพราะรถวิ่งไปถึงกุฏิไม่ได้

 ต้องเดินไป เดินไปแล้วก็มีความทุกข์มาก

เพราะร่างกายไม่สามารถทำอะไร

ตามความต้องการ

อย่างที่เคยทำได้ ก็พยายามปลอบใจว่า

 เป็นเหมือนกันทุกคน

ต้องเป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น

 ต้องแก่ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย

แล้วก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น

แต่ใจของเราไม่ได้แก่

ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

ถ้าสามารถระงับดับความอยาก

 ที่จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้

 ที่ต้องอาศัยร่างกายเป็นเครื่องมือ

เราจะไม่เดือดร้อนเลย

ถ้าเป็นอัมพฤตอัมพาตไปไหนไม่ได้

 ต้องอยู่กับที่ก็อยู่ไป ใจไม่ได้อยากจะไปไหน

 ก็ไม่เดือดร้อน ใจมีความสุขเหมือนเดิม

ถ้ารู้จักทำความสงบให้เกิดขึ้น

ความทุกข์เกิดจากความดิ้นรนตะเกียกตะกาย

 ตามความอยาก

 ความอยากทำให้จิตกระเสือกกระสนดิ้นรน

 ก็เลยเกิดความทุกข์ขึ้นมา

 เวลาได้ทำตามความอยากก็มีความสุข

นี่เป็นจิตของคนที่ไม่เคยพบกับความสงบ

แต่คนที่พบกับความสงบแล้ว

 กลับเห็นการกระเสือกกระสนนี้เป็นความทุกข์

 เป็นความวุ่นวาย เวลาจะทำอะไร

ถ้าเรื่องมากก็ไม่ทำดีกว่า อยู่เฉยๆนี่แหละ

แสนจะสบาย กินแล้วนอนก็พอแล้ว

 คนเรากินแล้วนอนกันไม่ได้ อยู่ไม่เป็นสุข

 เพราะจิตใจไม่ได้รับการดูแลรักษา

ไม่ได้กำจัดความอยากที่อยู่ในจิตในใจ

เพราะพวกเราไม่รู้ว่าความอยากนี้เป็นโทษ

 ทนอยู่กับมันมา จนเป็นเหมือนเพื่อนของเรา

 เป็นเหมือนตัวที่จะเนรมิตสิ่งต่างๆมาให้กับเรา

โลกนี้จึงมีข้าวของเต็มไปหมด

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผลิตออกมานี้

ก็ออกมาจากความอยากของมนุษย์ทั้งนั้น

มันให้ความสุขกับเรามากน้อยเพียงไร

หรือให้ความทุกข์กับเรามากน้อยเพียงไร

เราไม่เคยเอามาชั่งดูกัน พอเกิดความอยาก

ก็อดไม่ได้ที่จะต้องขวนขวายหามา

หามาได้ไม่นาน

ก็ต้องหาสิ่งใหม่มาแทนสิ่งที่มีอยู่

 เพราะสิ่งที่มีอยู่ไม่มีความหมายแล้ว

ของในบ้านจึงเต็มไปหมด หาที่เก็บไม่ได้

 อย่างเสื้อผ้านี่มีเป็นสิบๆชุด เป็นร้อยชุดก็มี

สำหรับคนบางคน รองเท้าก็มีเป็นร้อยคู่

ทั้งๆที่เท้าก็มีอยู่เพียงคู่เดียว

เวลาใส่ก็ใส่ได้เพียงคู่เดียว

 แต่ความอยากไม่มีขอบไม่มีเขต

พอเห็นคู่ใหม่ก็ติดใจอยากจะได้ขึ้นมา

ซื้อมาใส่หนเดียวแล้วก็เก็บไว้ในตู้

บางทีไม่ได้ใส่อีกเลย

สิ่งเหล่านี้เราไม่ค่อยคิดกัน

 เพราะมันบาดใจเรา

 เวลาอยากจะได้อะไรแล้วไม่ได้

 ทำตามที่อยาก มันทรมานมาก

จึงต้องทำกันไปเรื่อยๆ

ชีวิตของเราก็เลยวนเวียนอยู่กับการแสวงหา

 สิ่งต่างๆไปเรื่อยๆ

เหมือนกับวิ่งตะครุบเงาตัวเราเอง

 เงาของตัวเราจะทอดไปข้างหน้าอยู่เสมอ

เราเดินตามเงาไป เงามันก็หนีเราไปเรื่อยๆ

ความพอก็เหมือนกัน

ความพอที่จะเกิดจากความอยากนั้นมันไม่มี

 ที่ว่าได้สิ่งนี้แล้วจะพอ มันไม่พอ

พอได้มาแล้วก็มีสิ่งอื่นที่อยากจะได้อีก

 เราจึงต้องเข้ามาแก้ปัญหาที่ใจเป็นหลัก

เพราะใจเป็นผู้สร้างความสุข

และสร้างความทุกข์ให้กับเรา

พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน

 ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดที่ใจ

 ไม่ว่าจะเป็นความสุขก็ดี

 ความเจริญก็ดี ความทุกข์ก็ดี

ความเสื่อมก็ดี ล้วนเกิดจากใจทั้งนั้น

 ถ้าใจฉลาดที่เรียกว่ากุสลาธัมมา มีปัญญา

ใจก็จะสร้างสิ่งที่ดีที่งามที่สุขให้กับเรา

ถ้าใจเป็นใจที่โง่เขลาเบาปัญญา ที่เรียกว่าอกุสลา

 มีความหลง มีอวิชชาความไม่รู้อยู่ในใจ

ก็จะไปตามความอยากต่างๆ

 จึงต้องมาพิจารณาดูว่า

 เราควรทำอะไรกับใจของเรา

ถ้าไม่รู้ก็ต้องศึกษา

 การได้ยินได้ฟังพระธรรม

คำสอนของพระพุทธเจ้า

 จากพระพุทธเจ้าเองก็ดี

หรือจากพระอริยสงฆสาวกทั้งหลายก็ดี

 จะทำให้เกิดปัญญา ว่าควรทำอย่างไร

ที่จะให้เรา มีความสุข มีความเจริญ

อย่างวันนี้เรามาทำบุญกัน

 ก็ถือว่าเป็นกุสลาธัมมา

 เป็นการกระทำที่เกิดจากความฉลาด

 จากปัญญา เป็นการกระทำ

ที่จะทำให้จิตใจมีความสงบ

การทำบุญให้ทานเป็นวิธี

ที่จะช่วยตัดความอยาก ความต้องการต่างๆได้

 ทำให้จิตใจเกิดความอิ่ม เกิดความสุขขึ้นมา

 ถึงแม้จะไม่ได้มากมายก่ายกอง

 แต่อย่างน้อยก็จะช่วยดับ

หรือต้านความอยากได้ในระดับหนึ่ง

 เช่นเรามีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง

วันนี้เรามาทำบุญกัน ๕๐๐ บาท ๑,๐๐๐ บาท

เงินก้อนนี้เราสามารถเลือกได้ว่า

 จะเอาไปทำอะไร

จะเอาไปซื้อของตามความอยากก็ได้

 ซื้อเสื้อผ้าสักชุดหนึ่งก็ได้

 ซื้อไปแล้วก็มีความสุขชั่วขณะที่ได้ของนั้นมา

 แต่ความอิ่มความพอมันไม่มี

 แต่จะมีความอยากเพิ่มขึ้นอีก

 พอได้ชุดนี้มาแล้ว

 เดี๋ยวไปเห็นชุดใหม่แขวนอยู่ในตู้

 เห็นว่าสวยก็อยากจะได้อีก

ถ้าเอาเงิน ๕๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ บาทนี้มาทำบุญ

แทนที่จะไปซื้อสิ่งที่เราอยากจะได้

 ก็ทำให้เราตัดความอยากได้ในระดับหนึ่ง

ทำให้จิตใจของเรามีความสุข

เพราะว่าเวลาได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์

เป็นความสุขกับผู้อื่น เราจะมีความสุขใจ

มีความอิ่มใจ แล้วเราจะทำไปเรื่อยๆ

เพราะเห็นว่าการทำบุญ

ทำให้เรามีความสุขใจอิ่มใจ

 เพราะบุญเป็นอาหารของจิตใจนั่นเอง

ส่วนการกระทำตามความอยากนี้

เป็นเหมือนตัวพยาธิ

 ที่จะคอยทำให้เรามีความหิวอยู่เรื่อยๆ

ทำตามความอยากมากน้อยเพียงไรก็ไม่พอสักที

คนบางคนที่หาเงินมาได้เป็นหมื่นล้านแสนล้าน

 ก็ยังไม่พอ ยังอยู่เฉยๆไม่ได้

 เพราะการทำตามความอยาก

ไม่ได้ทำให้จิตใจอิ่มนั่นเอง

 แต่คนที่ทำบุญให้ทานอยู่เรื่อยๆ

 จะไม่ค่อยมีความอยากเท่าไร

มีแต่ความสุข ความสบายใจ ไม่มีอะไรก็อยู่ได้

 เพราะธรรมชาติของใจเป็นอย่างนี้

ยิ่งได้มามากเท่าไรตามความอยาก

 ยิ่งมีความอยากความต้องการเพิ่มมากขึ้นไป

 ยิ่งตัดความอยากด้วยการเสียสละ

สิ่งที่ตนเองมีอยู่ไปได้เท่าไร

ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

 แทนที่จะไปซื้อของ ไปทำตามความอยาก

 ความอยากนั้นก็จะถูกตัดไป เมื่อถูกตัดไป

กำลังของความอยากก็จะอ่อนลงไปเรื่อยๆ

 ทุกครั้งที่อยากจะทำอะไรแล้ว

ไม่ทำตามความอยากนั้น

ครั้งต่อไปความอยากนั้นก็จะเบาลงไป

เช่นอยากจะเสพสุรายาเมา

แต่ตัดสินใจว่าวันนี้จะไม่เสพ จะไม่ดื่มวันหนึ่ง

พอพรุ่งนี้ความอยากจะดื่มก็จะเบาลงไป

 ถ้าไม่เสพไปสักระยะหนึ่ง ก็จะรู้สึกเฉยๆ

ธรรมชาติของความอยากเป็นอย่างนี้

 ยิ่งทำตามความอยากมากน้อยเพียงไร

มันจะยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากขึ้นเพียงนั้น

 สังเกตดูสมัยที่เราเป็นเด็กๆ

ความอยากของเด็กๆก็เป็นระดับหนึ่ง

 ได้สตางค์ไปซื้อขนมก็มีความสุขแล้ว

แต่พอโตขึ้นมาหน่อยก็ต้องซื้อของที่แพงขึ้น

ต้องใช้เงินมากขึ้น เมื่อโตเป็นหนุ่มเป็นสาว

ก็ยิ่งใช้เงินมากขึ้นไปใหญ่

พวกเราทุกคนไม่เคยมีความพอ

กับการใช้เงินใช้ทอง

 หามาได้มากน้อยเพียงไร

 ก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยพอใช้

เพราะจะมีรายจ่ายเพิ่มตามมากับรายรับเสมอ

 เพราะความอยากของเรา

จะขยายแผ่วงกว้างขึ้นไปเรื่อยๆ

 แต่ถ้าเคยฝึกหัดใช้เงินใช้ทองตามความจำเป็น

 ก็จะมีเหลือใช้ เช่นมีเสื้อผ้าสัก ๒ – ๓ ชุด

เอาไว้ใส่ เอาไว้เปลี่ยน

มีรองเท้าสักคู่สองคู่ไว้ใช้เท่าที่จำเป็น ก็พอแล้ว

 ถึงแม้จะมีเงินมีรายได้มากขึ้น

 ก็ไม่ใช้เงินนั้น ก็จะมีเหลือใช้

 เพราะสามารถควบคุมความอยากได้

ไม่ให้ฉุดลากให้เราไปทำตามความต้องการ

ตามความอยากต่างๆ

เพราะความอยากไม่มีที่สิ้นสุด

 ไม่มีขอบ ไม่มีเขต ถ้ามีเงินมาก

เราก็จะซื้อของแพงๆมากขึ้นไปเรื่อยๆ

 เมื่อก่อนขับรถคันละห้าแสน

ต่อไปอาจจะขับรถคันละห้าล้านก็ได้

 มันก็รถเหมือนกัน

พาเราไปจุดสู่หมายปลายทางได้เหมือนกัน

 เพียงแต่ว่ามีรสนิยมสูงขึ้น

 มีราคาแพงขึ้นเท่านั้นเอง

 ปัญหาของคนเราจึงอยู่ที่การใช้เงินใช้ทอง

ใช้ไปเท่าไรก็ไม่พอใช้เสมอ

 ถ้าใช้ไปตามความอยาก ตามความต้องการ

 แต่ถ้าใช้ไปตามความจำเป็น

 จะมีเงินทองเหลือใช้ จะได้เอาไปทำประโยชน์

 เอาไปช่วยเหลือคนอื่น เอาไปทำบุญทำทาน

 ก็จะทำให้จิตใจมีความสุข มีความอิ่มมากขึ้น

 ทำให้ความอยากความต้องการสิ่งต่างๆน้อยลง

คนที่ทำบุญจริงๆจะเป็นคนสมถะ

 ตัวเองจะไม่ค่อยมีสมบัติอะไรมาก

อย่างครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

ท่านเคยอยู่อย่างไรท่านก็อยู่อย่างนั้น

 มีสมบัติแค่ ๘ ชิ้น คือบริขาร ๘

 ได้แก่บาตรใบหนึ่ง ผ้าสามผืน มีดโกน ที่กรองน้ำ

 ประคดเอว ด้ายกับเข็ม นี่เป็นสมบัติ ๘ ชิ้นของท่าน

มีคนบริจาคมากี่ร้อยล้าน กี่พันล้าน

 ท่านก็ไม่ได้เอามาซื้อข้าวของมาใช้กับตัวท่านเอง

มีเท่าไรท่านก็เอาไปทำประโยชน์หมด.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

กัณฑ์ที่ ๒๓๔ วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๔๙

 (จุลธรรมนำใจ ๓)

“ความอยากไม่มีขอบเขต”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 28 สิงหาคม 2559
Last Update : 28 สิงหาคม 2559 7:34:32 น.
Counter : 861 Pageviews.

1 comments
  
ธรรมะสวัสดี
โดย: อุ้มสี วันที่: 28 สิงหาคม 2559 เวลา:10:21:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ