Group Blog
All Blog
### ตัวเราคือจิต ###





















“ตัวเราคือจิต”

พวกเราทุกคนนี้เป็นจิตทั้งนั้น ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา

 ตัวเราคือจิต เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่เราจะต้องกลัว

 ที่กลัวเพราะไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เราไปคิดว่าเราเป็นร่างกาย

 ที่ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายนั่นเอง เราก็เลยกลัว

 คิดว่าพอร่างกายตายไปแล้วเราก็จะตายไปด้วย

แต่ความจริงแล้ว เราไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

เราไม่เคยตาย แต่เราเคยทุกข์ ทุกข์มาตลอด

ทุกข์มาตั้งแต่นับวันเริ่มต้นไม่ได้จนถึงวันนี้ก็ยังทุกข์กันอยู่

 แล้วก็จะทุกข์กันอย่างนี้ต่อไปอีก ถ้าเราไม่มาแก้ความหลง

 ไม่มาแก้ความกลัว ไม่มาแก้ความรัก แก้ความชัง

ที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา

การที่เราจะแก้ได้ เราก็ต้องเอาความจริงมาแก้

ถ้าเราเห็นความจริงแล้ว เราก็จะไม่รักไม่ชัง ไม่กลัวไม่หลง

 เช่น เราก็จะไม่รัก ถ้าเราเห็นว่าสิ่งที่เราว่าสวยว่างามนั้น

 มันสวยเพียงชั่วคราว หรือสวยบางส่วน บางส่วนก็ไม่สวย

เช่นร่างกายของคนที่เราเห็นว่าสวย

เราก็สามารถมองให้เห็นว่าไม่สวยได้

เพราะร่างกายที่ว่าสวยนี้ ก็มีส่วนที่ไม่สวย

เช่นส่วนที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง ลองลอกหนังออกมาดู

แล้วดูซิว่าจะสวยไหม ร่างกายนี้ถ้าหนังเสียไปแล้วนี้

ดูสวยไหม ที่สวยก็สวยเพราะหนังนี้ไม่ใช่หรือ

 ถ้าเกิดหนังเป็นฝ้าเป็นด่าง เป็นแผลเป็น เป็นปานอย่างนี้

 หรือเป็นแผลที่เกิดจากไฟไหม้ พอเป็นอย่างนี้แล้ว

ก็ไม่สวยแล้ว หรือถ้าดูภายใต้ผิวหนังที่หุ้มห่อ

 ก็จะเห็นว่าหุ้มห่อกะโหลกศีรษะ

ที่ใบหน้าก็จะเห็นมีกะโหลกศีรษะ

ตามร่างกายก็มีโครงกระดูก กระดูกแขนกระดูกขา

 ซี่โครง ถ้าเห็นส่วนเหล่านี้แล้วก็จะระงับความรักได้

ส่วนความชังเราก็พิจารณาได้ ดูส่วนที่สวยแทนก็ได้

เวลาเห็นส่วนที่ไม่สวย ก็ดูส่วนที่สวยได้

 หรือดูส่วนที่เป็นธรรมดาของเขาว่าเขาเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ

 มาจากดินน้ำลมไฟ แล้วเดี๋ยวเขาก็จะกลับคืนสู่ ดินน้ำลมไฟไป

 เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ เช่นต้นไม้บางต้นนี้มีหนามมีอะไร

 มีเปลือกดูน่าเกลียดน่ากลัวจะตายไป

แต่ทำไมเรากลับไม่เห็นว่าน่าเกลียดน่ากลัว

 แต่ถ้าเป็นหนังของคนเป็นหนังแบบนั้น

ก็จะเกิดความขยะแขยงขึ้นมา

เราใช้การเปรียบเทียบดูได้ ทำให้เราดูแล้วไม่ชังได้

ดูแล้วเฉยๆได้ ดูแล้วไม่รักได้

ส่วนความกลัวก็ดูว่ามันไม่ใช่ตัวเรา

 ดูว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวเรา

ถ้ามันไม่ใช่ตัวเราแล้วเราไม่กลัวหรอก

 ร่างกายของคนอื่น จะเป็นจะตายอย่างไรเราไม่กลัว

เพราะว่าเราไม่ได้ไปเห็นว่าเป็นตัวเราของเรานั่นเอง

 นี่คือการมาแก้ปัญหา คือความรักชัง ความหลง ความกลัว

ความหลงก็ต้องให้รู้ว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่ของเรานั่นเอง

 ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา สัพเพ ธัมมา อนัตตา

 ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ให้ความสุขกับเรา

 ให้ความทุกข์กับเรามากกว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

ไม่นิ่ง ไม่ถาวร มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 ถ้าไม่เจริญก็เสื่อม เริ่มต้นก็จะเจริญ

เช่นเวลาคลอดออกมาจากครรภ์ ร่างกายก็จะมีแต่เจริญ

 เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ จนเติบโตเต็มที่แล้ว ทีนี้ก็เริ่มเสื่อมแล้ว

 เริ่มนับถอยหลังได้แล้ว

 ถ้าเป็นวันสิ้นปีเขาก็เรียกว่า เคาท์ดาวน์ได้แล้ว

พออายุย่างเข้าไป ๕๐ ๖๐ ทีนี้ก็นับถอยหลังได้แล้ว

เหลืออีก ๒๐ ปี เหลืออีก ๑๙ ปี เหลืออีก ๑๘ ปี

 นับถอยหลังไปเรื่อยๆ เดี๋ยวถึงศูนย์ก็จบ

นี่คือวิธีแก้ความหลง แก้ความกลัว แก้ความรัก แก้ความชัง

ถ้าเราเห็นความจริงแล้ว เราจะไม่รักไม่ชัง ไม่กลัวไม่หลง

 เราจะทำใจเฉยๆได้ เป็นอุเบกขา ไม่ต้องคิดปรุงแต่ง

 เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินอะไรก็สักแต่ว่าได้ยิน

 ไม่ต้องมาแก้ให้มันเหนื่อย ใครด่าเราก็ไม่ต้องไปแก้

ใครเขาจะกล่าวหาเรา ว่าเราดีเราชั่ว อะไรต่างๆนานา

ก็ปล่อยให้เขาว่าไป ให้เขาเหนื่อยเดี๋ยวเขาก็หยุดเอง

 เราไม่ต้องไปเหนื่อยไปแก้กับเขาหรอก

ถ้าเกิดคน ๑๐๐ คนมาด่าเรา เราก็ต้องไปแก้

เพราะว่าเราห้ามเขาไม่ได้ เราห้ามเขามาด่าเราไม่ได้

 มาว่าเราไม่ได้ เราอยู่กับความจริงก็แล้วกัน

ถ้าสิ่งที่เขาว่าจริง ก็ต้องยอมรับว่าจริง

ถ้าสิ่งที่ว่าไม่จริงก็รู้ว่าไม่จริงเท่านั้นเองไม่ต้องไปแก้ไปอะไร

 คนที่หูเบาอยากจะเชื่อก็เป็นเรื่องของเขา

แสดงว่าเขาก็อยากจะเกลียดเราอยู่แล้ว

 รอจังหวะเท่านั้นเอง

พอมีจังหวะให้เกลียดเขาก็จะเกลียดเรา

 ก็ปล่อยเขาเกลียดไป

ถ้าเราไม่ต้องอาศัยใครมาให้ความสุขกับเราแล้ว

 เราไม่เห็นจะเดือดร้อน เรามีความสุขอยู่ในตัวของเราแล้ว

เราไม่ต้องให้คนนั้นมาให้ความสุขกับเรา

 ไม่ต้องให้คนนี้มาให้ความสุขกับเรา

ใครจะเป็นเพื่อนเราก็ได้ ใครจะเป็นศัตรูก็ได้

 เป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้ไปอยากให้เขาเป็น

ไม่ได้ไปทำให้เขาเป็น เขาเป็นของเขาเอง

 แล้วเราก็ไปห้ามเขาไม่ได้ แต่เราอยู่โดยที่ไม่มีใครก็ได้

เราเข้าป่าอยู่คนเดียวก็ได้ ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร

อดตายในป่าก็ได้ถ้าไม่มีอะไรจะกิน

 มันจะตายก็ใช้ระบบไร้สายไป ใช้ระบบไร้ร่างกายไป

เราใช้ได้ ๒ ระบบไปกลัวทำไม มีทั้งมือถือมีทั้งโทรศัพท์บ้าน

 โทรศัพท์บ้านใช้ไม่ได้ก็ใช้มือถือได้ ใช่ไหม

 ทุกวันนี้เราวุ่นวายกับโทรศัพท์บ้านกันไหม

 เมื่อก่อนนี้วุ่นวายกันเหลือเกินโทรศัพท์บ้านเสียที

สายขาดต้องไปตามช่างมาต่อ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว

เรามีหลายระบบ มีระบบสำรอง

ตอนนี้พวกเรายังไม่มีระบบสำรองกัน

เรายังไม่มีระบบไร้ร่างกายกัน

เราจึงมาสร้างระบบไร้ร่างกายกัน ด้วยการภาวนา

 เข้าใจไหมระบบไร้ร่างกาย ก็คือสร้างความสุข

โดยที่ไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ

เหมือนกับใช้โทรศัพท์ที่ไม่ต้องใช้สายโทรศัพท์

เป็นเครื่องมือติดต่อกัน ใช้ระบบไร้สาย

ใช้ระบบไร้ร่างกาย ภาวนาทำใจให้สงบ

พอใจสงบแล้วก็จะมีความสุข มีความอิ่มมีความพอ

 ไม่ต้องเดือดร้อนกับใครทั้งนั้น

ใครจะอยู่ใครจะไป ใครจะรักใครจะชัง

ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

 เพียงแต่ว่าการภาวนาให้สงบนี้

มันสงบได้ชั่วคราวเท่านั้นเอง พอออกจากความสงบมา

พอเริ่มคิดปรุงแต่งเริ่มรับรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้

ความรักชังความกลัวความหลงที่ยังไม่ได้ถูกกำจัดไป

ก็จะหวนกลับคืนมา ออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับใจอีก

 เพราะการทำใจให้สงบด้วยสมถภาวนานี้

เพียงระงับความรักชังความกลัวความหลงไว้ชั่วคราว

ขณะที่ใจสงบ ความรักความชังความกลัว

ความหลงก็ทำงานไม่ได้ เหมือนกับรถยนต์

ถ้ารถยนต์เสียหรือรถยนต์ จอดนิ่งอยู่

ผู้โดยสารก็ไม่สามารถขับรถยนต์ไปไหนมาไหนได้

คนขับรถไม่สามารถที่จะขับรถให้พาไปที่นั่นที่นี่ได้

ก็ต้องนั่งอยู่ในรถ จนกว่าจะสตาร์ทรถได้

ถึงจะขับรถออกไปได้ ฉันใดเวลาจิตสงบ

 จิตก็เป็นเหมือนรถยนต์ ที่จอดนิ่งอยู่เฉยๆ

 คนขับรถหรือผู้โดยสารอยากจะไปไหนมาไหนก็ไปไม่ได้

 ก็ต้องรอให้รถวิ่งก่อน พอรถวิ่งแล้ว ถึงจะควบคุมบังคับ

ให้รถวิ่งไปในทางที่ตนต้องการได้

เวลาใจสงบ ความรักความชังความกลัวความหลง

 ก็จะหายไปชั่วคราว

พอใจออกจากความสงบออกจากสมาธิ ก็เริ่มคิดปรุงแต่ง

 เริ่มรับรู้สัญญาต่างๆ วิญญาณเริ่มรับรู้รูปเสียง

 กลิ่นรสโผฏฐัพพะ สัญญาก็เริ่มทำงาน

ว่าเป็นรูปที่น่ารักหรือน่าชัง น่ากลัวหรือน่าหลง

พอเกิดสัญญาขึ้นมา ก็เกิดสังขารความคิดปรุงแต่ง

ก็คิดไปในทางอยาก ถ้าไม่เป็นภวตัณหาก็เป็นวิภวตัณหา

ถ้าไม่เป็นวิภวตัณหา ก็เป็นกามตัณหา

 มันก็จะคิดอยู่ในวงของตัณหาทั้ง ๓ นี้

ถ้าไม่มีไตรลักษณ์ไม่มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

มาแก้สัญญาที่เห็นว่าน่ารักน่าชังน่ากลัวน่าหลง

แต่ถ้ามีอนิจจังทุกขังอนัตตามาแก้

มาเห็นว่าเป็นเพียงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

มันก็จะหยุดความรักความชังความกลัวความหลงได้

พอหยุดความรักชังกลัวหลงได้

 สังขารความคิดปรุงแต่งก็ไม่ปรุงไปทางกามตัณหา

 ภวตัณหา วิภวตัณหา ใจก็สงบไม่วุ่นวาย

 นี่สงบอย่างถาวร เพราะความรัก

ความชังความกลัวความหลงนี้

จะถูกความจริงทำลายไปหมด

 ถูกความจริงก็คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้ทำลายไปหมด

 พอทำลายไปหมดแล้วทีนี้จะเข้าสมาธิหรือไม่เข้าสมาธิ

 ใจก็จะไม่คิดปรุงแต่ง ไปในทางกามตัณหา

ภวตัณหา วิภวตัณหา ใจจะสักแต่ว่าเท่านั้น

สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าเห็น ไม่ปรุงแต่ง

 เพราะดูแล้วเฉยๆจืดชืดไปหมด

 เห็นอะไรก็ไม่รักไม่ชังไม่กลัวไม่หลง

 อันนี้ก็จะสามารถอยู่ได้โดย ที่ไม่ต้องมีอะไร

ไม่มีร่างกายก็อยู่ได้ ไม่มีเพื่อนก็อยู่ได้

ไม่มีมิตรก็อยู่ได้ ใครจะทำอะไรก็ปล่อยเขาทำไป

ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเราของเรา มันจะตายก็ปล่อยมันตายไป

 ไม่เป็นปัญหา อยู่ก็ได้ไม่อยู่ก็ได้

อยู่ก็ใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นเท่านั้น

 แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้กับใจของตนอีกต่อไป

 เป็นภาระของใจเสียมากกว่า ที่ต้องคอยรักษาดูแลร่างกายนี้

 แต่ถ้าการรักษาดูแลร่างกายหรือขันธ์ ๕ นี้

แล้วเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นที่คุ้มค่า คือประโยชน์สูงสุด

 คือให้ผู้อื่นได้หลุดพ้นจากความทุกข์

หลุดพ้นจากความหลง หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

การแบกภาระของร่างกายและเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ

 ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง แต่ถ้าแบกไปแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร

 ไม่ได้ทำให้ใครหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

 ไม่ได้ทำให้ใครหลุดพ้นจากความทุกข์

แบกไปให้เสียเวลาไปเปล่าๆ

ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามวาระอันสมควร

นี่คือเรื่องของการใช้จิต

โดยที่ไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ

เพราะร่างกายมันไม่เที่ยง มันมีอายุไม่เกิน ๑๐๐ ปี

หลังจากนั้นมันจะไม่สามารถทำหน้าที่ หาความสุขต่างๆ

ให้กับใจได้ และก็เป็นความสุขปลอม

 เพราะนอกจากหาความสุขมาแล้ว

ยังเอาความทุกข์มาให้ด้วย ของทุกอย่างที่เราได้มานี้

มันเป็นเหมือนเหรียญ ๒ ด้าน มันมีหัวมีก้อย

 มีสุขมีทุกข์ แล้วก็ส่วนใหญ่จะทุกข์มากกว่าสุข

เวลาได้อะไรมาใหม่ๆก็ดีใจ มีความสุข

 แล้วต่อมาก็ต้องมาทุกข์กับการดูแลรักษา

 ทุกข์กับการสูญเสีย ไม่คุ้มค่ากับความสุขที่ได้มา

 แต่ความสุขที่เราได้ทางใจนี้ ไม่มีความทุกข์แถมมาด้วย

 เป็นความสุขล้วนๆ สุข ๒ ด้านเลย

 ด้านหัวก็สุข ด้านก้อยก็สุข

 อันนี้แหละเป็นความสุขที่แท้จริง

 เป็นความสุขที่พวกเราควรที่จะสร้างขึ้นมาให้ได้

 เพราะถ้าเราได้ความสุขนี้แล้ว

ความสุขนี้จะอยู่คู่กับเราไปตลอด ไม่มีวันจากเราไป

แต่ความสุขทางร่างกายนี้

จะต้องมีวันสิ้นสุด จะต้องมีวันหมดไป

วันเวลาก็ใกล้เข้ามาทุกวันๆสำหรับพวกเราทุกๆคน

เวลาที่จะอยู่ในโลกนี้จะน้อยลงไปเรื่อยๆ

 เวลาที่ร่างกายนี้จะทำประโยชน์

จะหาความสุขเล็กๆน้อยๆ ก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ

แล้วก็จะหมดไป หมดไปแล้วก็ต้องกลับมาสร้างใหม่

มาสร้างร่างกายใหม่

แล้วก็มาได้ความสุขได้ความทุกข์ใหม่

 ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

ถ้าเราไม่รีบใช้เวลาที่เราได้มาพบพระพุทธศาสนานี้

 เวลาอื่นจะไม่สามารถสร้างประโยชน์

สร้างความสุขของใจได้อย่างถาวร

เพราะมีพระพุทธศาสนาเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น

ที่จะสอนให้เราสร้างความสุขที่แท้จริง

สร้างความสุขที่ถาวรได้ ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา เ

ราก็จะสร้างความสุขชั่วคราว

เช่นความสุขที่ได้จาก การเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ความสุขที่ได้จากได้ลาภยศสรรเสริญ

 แต่เป็นความสุขที่มีความทุกข์ที่รุนแรงตามมาด้วย

หรือถ้าเราเจอนักปราชญ์ที่มีความรู้ในระดับ

ความสุขระดับทานระดับศีล หรือระดับสมาธิ

เขาก็จะสอนให้เราให้เข้าสู่ความสุขระดับทานศีลสมาธิได้

 แต่ก็เป็นความสุขชั่วคราวอีกเหมือนกัน

 ความสุขเหล่านี้ มีวันเสื่อมหมดไปได้

 แต่ถ้าเราได้พบกับพระพุทธศาสนา

เราจะพบกับนักปราชญ์ คือพระพุทธเจ้า

หรือพระอรหันตสาวก ที่จะสอนให้เราเข้าถึงความสุข

ระดับวิปัสสนา ระดับปัญญา เป็นความสุขที่ถาวร

เป็นความสุขที่ไม่มีวันเสื่อมหมดไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

กัณฑ์ที่ ๔๕๘ ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖

“ระบบไร้สาย”









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 26 เมษายน 2559
Last Update : 26 เมษายน 2559 10:37:36 น.
Counter : 737 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ