Group Blog
All Blog
### ผู้นำทาง ###










“ผู้นำทาง”

ผู้ที่มีความปรารถนามีความต้องการหลุดพ้น

ออกจากกองทุกข์ทั้งปวง

 ออกจากกองทุกข์ของการ เวียนว่ายตายเกิด

ของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของการพลัดพรากจากกัน

 จำเป็นจะต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นผู้นำทาง

 เป็นผู้สั่งสอน เพราะมีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น

ที่รู้จักทางที่นำไปสู่ การสิ้นสุดของความทุกข์ทั้งหลาย

ทางที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

 เวียนว่ายตายเกิด ไม่มีใครนอกจาก

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น

ที่จะสามารถสั่งสอนให้หลุดพ้นกันได้

ดังนั้นการที่ได้มาพบกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

จึงถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นโชควาสนาโชคมหาศาล

เพราะนานๆ จะได้มีโอกาสมาพบกับพระพุทธ พระธรรม

หรือพระสงฆ์กันสักครั้งหนึ่ง เมื่อมีโอกาสได้พบแล้ว

 ก็ควรที่จะฉวยโอกาสนี้เข้าหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เพื่อที่จะได้ศึกษาคำสอน เพื่อที่จะได้นำเอาไปปฏิบัติ

เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้เป็นองค์แทนกันได้

 องค์ใดองค์หนึ่ง ไม่จำเป็นจะต้องมีครบทั้ง ๓ องค์

 ขอให้มีองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้นำทาง

 เช่นในสมัยพุทธกาลในระยะแรกๆ

 ของการประกาศพระศาสนาก็มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้สั่งผู้สอน

แล้วต่อมาก็มีผู้ที่ได้บรรลุเป็นพระอรหันตสาวก

 ก็เป็นผู้ช่วยสั่งสอน แล้วหลังจากที่พระพุทธเจ้า

ได้ทรงจากไปแล้วก็มีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ที่มีการจดจำถ่ายทอดกันมาตามยุคตามสมัยเป็นผู้นำทางได้

 เพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ก่อนที่จะจากไปว่า

 “พระธรรมคำสอนของเรานี่แล จะเป็นศาสดาแทนเราต่อไป

 พวกเธอจะไม่ได้อยู่อย่างปราศจากศาสดา

 ถ้าพวกเธอมีคำสอนของเรา”

นี่คือผู้นำทางสู่การหลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งหลาย

 หลุดพ้นจากการ เวียนว่ายตายเกิด

 คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว

 เราก็มีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

มีพระอรหันตสาวกเป็นผู้ทำหน้าที่นำทาง

ผู้ที่ปรารถนาการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

จนมาถึงปัจจุบันนี้ พวกเราก็ยังมีพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าที่ได้มีจารึกไว้ในพระไตรปิฎก

 ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และมีพระอรหันตสาวก

 ครูบาอาจารย์ที่ได้หลุดพ้นจากกองทุกข์แล้ว

เป็นผู้ช่วยนำทางเป็นผู้ช่วยสั่งสอน

พวกเราจึงควรที่เข้าหาพระธรรมคำสอน

หรือหาพระอรหัตสาวกให้เป็นผู้ช่วยสั่งสอนพวกเรา

เพราะถ้าเราปราศจากพระธรรมคำสอน

หรือปราศจากพระอรหันตสาวกเป็นผู้นำทางแล้ว

เราจะไม่มีวันที่จะ หลุดพ้นออกจากกองทุกข์

แห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้เลย

เพราะทางนี้เป็นทางที่ต้องมีผู้ที่รู้ทางพาไป

ถ้าไม่รู้นี้จะไม่สามารถไปได้ด้วยตนเอง

 ต่อให้ปฏิบัติไปจนวันตาย ถ้าไม่มีพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันตสาวกเป็นผู้สั่งผู้สอน

เป็นผู้นำทางจะไม่มีวันที่จะหลุดพ้นออกจากกองทุกข์

แห่งการเวียนว่าย ตายเกิดนี้ได้เลย

ต่อให้เก่งขนาดไหนต่อให้มีความรู้

ความฉลาดมากมายขนาดไหน ก็จะยังไม่สามารถ

 ที่จะรู้ทางนี้ได้ด้วยตนเอง

 ยกเว้นผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น

 ซึ่งนานๆจะมีปรากฏสักองค์หนึ่ง เช่นเจ้าชายสิทธัตถะ

 ผู้ที่ได้ออกบวชแล้วก็ได้มีดวงตาเห็นธรรม

ตรัสรู้พระอริยสัจ ๔ ด้วยพระองค์เอง

ไม่มีใครที่จะรู้ได้ด้วยตนเองเหมือนกับที่เจ้าชายสิทธัตถะได้รู้

 เพราะจะต้องมีความรู้ความฉลาดมาก

 ที่จะสามารถเห็นธรรมอันวิเศษนี้ได้

แต่พอมีองค์เดียวเห็น ก็พอเพียงที่จะนำเอามาแบ่งปัน

ให้แก่ผู้ที่ไม่มีได้ เหมือนแสงสว่างของเทียน

ถ้ามีเทียนแต่ไม่มีไฟจุดเทียน

 เทียนก็จะไม่สามารถที่จะสว่างไสวขึ้นมาได้

แต่พอมีผู้มีความฉลาดสามารถหาวิธี

จุดเทียนให้สว่างขึ้นมาได้เพียงดอกเดียว

ก็สามารถที่จะแบ่งแสงสว่างของเทียนดอกนั้น

ให้แก่เทียนดอกอื่นๆได้

จิตใจของพวกเราก็เป็นเหมือนเทียน

ที่ต้องรอให้มีผู้ที่จุดเเสงสว่างของเทียนนั้น

 เอาแสงสว่างมาจุดให้กับเทียน ของพวกเรา

 เอาธรรมะเอาแสงสว่างแห่งธรรม

มาจุดประกายให้กับใจของเรา

 ให้ใจของเรามีแสงสว่างแห่งธรรม ปรากฏขึ้นมา

ต้องรอคนที่ฉลาดอย่างพระพุทธเจ้า

มาจุดแสงสว่างอันนี้ขึ้นมา พอพระองค์ได้จุดแสงสว่างอันนี้

 ขึ้นมาแล้วก็ทรงสามารถแบ่งแสงสว่างนี้ให้แก่ผู้อื่นได้

โดยไม่มีจำนวนจำกัด มีมากมีน้อย

สามารถที่จะจุด แสงสว่างให้ปรากฏขึ้น

ภายในใจของทุกๆคนได้ อยู่ที่ว่าผู้ที่มีเทียนนี้

ยินดีหรืออยากจะให้จุดเทียนนี้หรือไม่

อยากต้องการแสงสว่างนี้หรือไม่

 ถ้าไม่ต้องการก็จะไม่จุด ก็คือจะไม่เข้าหา

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ถ้าไม่เข้าหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ก็จะไม่มีแสงสว่างปรากฏขึ้นมาภายในใจ

จะไม่เห็นทางหลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งหลาย

นี่คือความสำคัญของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

ต่อผู้ที่ปรารถนาความหลุดพ้นจากกองทุกข์

 แห่งการเวียนว่ายตายเกิด จำเป็นจะต้องมี

พระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์เป็นผู้นำทาง

 ถ้าไม่มีแล้ว ก็จะไม่มีวันที่จะหลุดพ้นได้

เราจึงถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ

เป็นที่พึ่งของชีวิตจิตใจ ของพวกเรา

เพราะว่าถ้าไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เราก็จะไม่สามารถพ้นจากความทุกข์ต่างๆ ได้

 พอเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งแล้ว

สิ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องมีขึ้นมาอีกอันหนึ่งก็คือ

 “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” ตนเป็นที่พึ่งของตน

ความหมายก็คือเราต้องเป็นผู้ปฏิบัติเอง

เราต้องเป็นผู้ศึกษาเอง เราต้องเป็นผู้เข้าหา

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เอง

คนอื่นทำแทนเราไม่ได้

 เราต้องเข้าไปหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ไปฟังเทศน์ฟังธรรม เมื่อฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว

เราก็ต้องนำเอาไปปฏิบัติ นี่คืออัตตาหิ อัตตโน นาโถ

 ตนเป็นที่พึ่งของตน

เพราะไม่มีใครที่จะมาทำหน้าที่นี้แทนเราได้

พ่อแม่ก็ทำแทนเราไม่ได้ สามีภรรยาก็ทำแทนเราไม่ได้

บุตรธิดาญาติสนิทมิตรสหายก็ทำแทนเราไม่ได้

การที่จะศึกษาการที่จะปฏิบัติ

 เพื่อการหลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งหลายนี้

ต้องเกิดจากการศึกษาและการปฏิบัติของเราเองเท่านั้น

เราจึงต้องเป็นที่พึ่งของตน

เราจึงต้องเป็นอัตตาหิ อัตตโน นาโถ

ดังนั้นการที่มีที่พึ่ง ๒ อย่างนี้จึงไม่ขัดกัน

 บางท่านถ้าไม่เคยได้ศึกษาได้ปฏิบัติก็จะคิดว่า

ทำไมต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

แล้วทำไมจึงต้องมีอัตตาหิ อัตตโน นาโถเป็นที่พึ่งอีก

ในเมื่อถ้าเราพึ่งตัวเราเอง ได้แล้ว

ทำไมเราจึงต้องไปพึ่งคนอื่น

 การที่เราจะพึ่งตัวเองได้นั้นเราต้องมีคนอื่นสอนเรา

ให้รู้จักวิธีทำตัวของเรา ให้เป็นที่พึ่งของเราได้

การที่เราจะหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายได้

 เราต้องมีผู้ที่ได้หลุดพ้นจากกองทุกข์แล้ว

เป็นผู้มาสั่งมาสอนพวกเรา เมื่อมีผู้มาสั่งสอนแล้ว

ถ้าเราศึกษาแล้วเรานำเอาไปปฏิบัติ เราก็จะหลุดพ้น

จากกองทุกข์ได้เช่นเดียวกัน เพราะวิธีการเหมือนกัน

ผลก็ต้องเหมือนกัน เหตุเหมือนกัน ผลก็ต้องเหมือนกัน

ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดสมัยใด

ในสมัยก่อนมีการปลูกข้าวแล้วก็มีการออกรวงข้าว

 ในสมัยนี้ถ้ามีการปลูกข้าว

ก็จะมีการออกรวงข้าวเช่นเดียวกัน

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ กาลหรือเวลา

ถ้ามีการปลูกข้าวก็จะต้องมี รวงข้าวออกมา ฉันใด

ถ้ามีการปฏิบัติ ฉันนั้นก็จะมีการหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย

 ในอดีตมีการปฏิบัติ มีการบรรลุมรรคผลนิพพานกัน

 ในปัจจุบันถ้ามีการปฏิบัติก็จะมีการบรรลุมรรคผลนิพพาน

 ถ้ามีผู้สั่งสอน อย่างถูกต้องแม่นยำ

ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือในปัจจุบัน ผลก็จะได้เหมือนกัน

ดังนั้นพวกเราจึงไม่ต้องลังเลสงสัยว่า

การปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในยุคนี้สมัยนี้

จะทำให้ได้หลุดพ้น ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้หรือไม่

 ทำให้เราบรรลุมรรคผลนิพพานกันได้หรือไม่

อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย

เพราะว่ามันเป็นหลักของเหตุและผล

 ถ้ามีเหตุผลก็จะต้องเกิดขึ้นมา

 ผลไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยจากกาลหรือเวลา

 ผลเกิดจากเหตุคือการกระทำ

การกระทำก็ต้องเกิดจากการได้ยิน ได้ฟังได้ศึกษา

เพื่อที่จะได้กระทำได้อย่างถูกต้อง

เมื่อทำได้อย่างถูกต้องแล้ว ผลก็จะเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน

 ดังนั้นถ้าเราได้ศึกษาพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า

ที่เป็นคำสอนที่เหมือนครั้งในสมัยพระพุทธกาล

ไม่มีความแตกต่างกันเลย

ในสมัยพระพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้เราทำทาน

 รักษาศีล ให้ภาวนา ในสมัยนี้คำสอนของพระพุทธเจ้า

ที่ได้บันทึกเอาไว้ ก็สอนเช่นเดียวกัน

สอนให้เราทำทาน รักษาศีล ภาวนา

ถ้าเราทำทาน รักษาศีล ภาวนา เราก็จะได้รับผล

เช่นเดียวกับที่ผู้ที่ทำทาน รักษาศีล ภาวนา

ได้รับผลในสมัยพุทธกาล ได้บรรลุมรรคนิพพานกัน

 ก็เกิดจากการทำทาน รักษาศีล ภาวนานี่เอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๙

“ผู้นำทาง”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 23 มิถุนายน 2559
Last Update : 23 มิถุนายน 2559 9:01:15 น.
Counter : 709 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ