Group Blog
All Blog
### ความจริงในใจ ๔ ประการ ###









“ความจริงในใจ ๔ ประการ”

ธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

ธรรมที่ทำให้พระพุทธเจ้าได้เป็น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ได้หลุดพ้นจากกองทุกข์

แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

ได้บรรลุถึงพระนิพพานก็คือพระอริยสัจ ๔

สัจธรรมความจริง ๔ ประการ

ที่มีอยู่ในพระทัยของพระองค์ คือ

๑.ทุกข์ ๒. สมุทัย ๓. นิโรธ ๔. มรรค

เรียกว่าพระอริยสัจ ๔ หรือสัจธรรม ๔ ประการ

 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ผู้ใดถ้าได้เห็นอริยสัจ ๔

 ได้เห็นสัจธรรมในใจของตน

ก็จะสามารถบรรลุหลุดพ้นจากความทุกข์

หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

 แต่การที่เราจะเห็นอริยสัจ ๔

 ที่มีอยู่ในใจของพวกเราทุกคนได้

เราต้องดึงใจเข้าข้างใน หันใจเข้าข้างใน

ตอนนี้เราหันใจของเราออกไป ข้างนอกใจ

 หันใจของเราไปในทางของรูปเสียง

กลิ่นรสโผฏฐัพพะ เราจึงมองไม่เห็นอริยสัจ ๔

ที่มีอยู่ในใจของพวกเรา

 เพราะพวกเราหันหลังให้กับอริยสัจ ๔

 หันหน้าให้กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน

เวลาที่ใจเราทุกข์เราจึงไม่รู้

ว่าอะไรเป็นต้นเหตุของความทุกข์

 เราก็ไม่รู้วิธีว่าจะดับทุกข์นี้ได้อย่างไร

 เพราะเราไปมองข้างนอก

แทนที่เราจะมองข้างใน

เวลาที่เราไม่สบายใจเราก็ไปโทษว่า

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนั้น

ทำให้เราไม่สบายใจกันทำให้เราทุกข์กัน

เช่นเราเห็นรูปที่เราไม่ชอบ

เห็นรูปที่ทำให้เราเสียใจ เราก็ไปโทษรูป

ว่าเป็นเหตุที่ทำให้เราเสียใจ

เราได้ยินเสียงเรา ก็ไปโทษเสียงว่าทำให้เราทุกข์

 เช่นเสียงดุด่าว่ากล่าว ครหานินทา ดูถูกดูแคลน

 พอเราได้ยินเสียงเหล่านี้ เราก็ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ

เพราะเราไม่รู้ว่าความทุกข์ใจของพวกเรานี้

เกิดจากความอยากของเรา

แต่เราไปคิดว่า ความทุกข์ใจของเรา

เกิดจากการพูดไม่ดีของผู้อื่น

พูดตำหนิติเตียนดูถูกดูแคลน ครหานินทา

 เป็นเพราะว่า ใจของเราไม่ได้หันเข้าข้างใน

 หันออกข้างนอก หันไปทางอายตนะภายนอก

 คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 เราจึงไม่เห็นเหตุของความทุกข์ของเรา

และเราก็ไม่รู้ว่าจะดับความทุกข์ของเราได้อย่างไร

 เราจึงไปดับความทุกข์

ในที่ที่ไม่ใช่เป็นต้นเหตุของความทุกข์

เราไปดับที่รูปเสียงกลิ่นรส

 เวลาเห็นรูปที่เราไม่ชอบเราก็เปลี่ยนมัน

 ได้ยินเสียงที่ไม่ชอบก็เปลี่ยนมัน

ได้สัมผัสกับอะไรที่ทำให้เราไม่สบายใจ

 ทำให้เราทุกข์ใจ เราก็ไปเปลี่ยนสิ่งนั้น

 ไปบอกให้คนนั้นให้เขาทำอย่างนั้น

ให้เขาทำอย่างนี้

 เพื่อที่จะได้ทำให้เราหายจากความไม่สบายใจ

 หายจากความทุกข์ใจ

แต่บางเวลาเราไม่สามารถที่ไปเปลี่ยนเขาได้

 ไปบอกให้เขาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ได้

 เวลานั้นเราก็ต้องทุกข์ไปเรื่อยๆ

เพราะเราไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนในสิ่ง

ที่เราคิดว่าเป็นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ใจกัน

 เช่นร่างกายของเรา

เราก็ไปสั่งไปเปลี่ยนเขาไม่ได้

เวลาเขาแก่ เวลาเขาแก่เราก็ทุกข์ใจกัน

เวลาเขาเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ทุกข์ใจกัน

 เวลาเขาจะตายเราก็ทุกข์ใจกัน

 แล้วเราก็พยายามที่จะไปเปลี่ยนเขา

 ถ้าเราเปลี่ยนได้ เราก็สบายใจขึ้นมา

 เช่นเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย

เราต้องการเปลี่ยนความเจ็บไข้ได้ป่วยให้หายไป

 เราก็หาหมอหายาหาอะไรรักษากันไป

 ถ้าได้ยาที่ถูกกับโรคภัยไข้เจ็บ

 โรคภัยไข้เจ็บก็หายไป ความไม่สบายใจ

 ความทุกข์ใจของเราก็หายไป

 แต่มันเป็นการหายเพียงชั่วคราว

 เพราะเดี๋ยวก็มีการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาใหม่

 และเราก็จะต้องเจอโรคภัยไข้เจ็บ

ที่หมอหรือยาไม่สามารถที่จะรักษาได้

ก็จะต้องอยู่กับโรคภัยไข้เจ็บนั้นไป

 หรือไม่เช่นนั้นก็ถึงกลับเสียชีวิตไป

 ตอนนั้นเราก็จะมีแต่ความทุกข์ใจ

 เพราะเราไม่สามารถที่จะ ดับความทุกข์ใจได้

 เพราะเราไม่รู้ว่าต้นเหตุของความทุกข์ใจ

ที่แท้จริงนั้นอยู่ภายในใจของเราเอง

อยู่ที่ความอยาก

พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า

ทุกข์ก็คือ การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย

 การพลัดพรากจากของที่เรารัก

 การเผชิญกับสิ่งที่เราไม่ชอบ

 จึงทำให้เรามีความทุกข์ใจกัน

แต่พระองค์ไม่ได้ทรงตรัสว่า

ต้นเหตุของความทุกข์ใจ ของพวกเรานั้น

อยู่ที่การเกิด อยู่ที่การแก่

 อยู่ที่การเจ็บ อยู่ที่การตาย

 อยู่ที่การสัมผัสกับสิ่งที่เราไม่ชอบ

 หรือสูญเสียพลัดพรากจากสิ่งที่เราชอบไป

แต่พระองค์ทรงตรัสว่า

 ต้นหตุของความทุกข์นั้น

เกิดจากความอยาก เกิดจากความอยาก

ที่จะเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

การที่เราเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผกฐัพพะได้

 เราต้องมีร่างกายที่แข็งแรง

ไม่ใช่ร่างกายที่แก่ ที่เจ็บ ที่ตาย

 เพราะร่างกายที่แก่ ที่เจ็บ ที่ตายนี้

ไม่สามารถเสพรูป เสียง

กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้นั่นเอง

เราจึงทุกข์เวลาที่ร่างกายของเราแก่

 ของเราเจ็บ ของเราตาย

 เพราะเราไม่สามารถทำตามความอยากของเราได้

 แต่ถ้าเรารู้ว่าต้นเหตุของความทุกข์ใจของเรา

เกิดจากความอยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 เราก็มาหยุดความอยากนี้

ถ้าเราหยุดความอยาก ที่จะเสพ

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะได้

เราไม่ต้องออกไปเที่ยวข้างนอกได้

เราไม่ต้องดูไม่ต้องฟังอะไรได้

เราอยู่เฉยๆได้โดยที่ไม่ต้องใช้ร่างกาย

พาเราไปไหนมาไหน ไม่ต้องพาร่างกายเรา

ไปดื่มไปรับประทานอะไร ไปดูไปฟังอะไร

 ถ้าเราสามารถอยู่เฉยๆได้

อยู่โดยไม่มีความอยาก

ในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะได้

 ความทุกข์ใจของเราจะไม่มี

 เราจะไม่ทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ

ความตายของร่างกาย เราจะไม่ทุกข์

กับการพลัดพรากจากของที่เราชอบ

 เราจะไม่ทุกข์กับการเผชิญกับสิ่งที่เราไม่ชอบ

 เพราะเราละตัณหาข้อที่ ๒ และข้อที่ ๓ ได้

ข้อที่ ๑ ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ข้อที่ ๒ ความอยากไม่พลัดพรากจากของที่เรารัก

 ข้อที่ ๓. ความอยากไม่เจอสิ่งที่เราไม่ชอบ

 ถ้าเราไม่มีความอยากเหล่านี้

คือเราพร้อมที่จะพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง

 เรายินดีที่จะให้สิ่งที่เรารักสิ่งที่เราชอบ

พลัดพรากจากเราไป

 เรายินดีที่จะเผชิญกับสิ่งที่เราไม่ชอบ

 เช่นคำครหานินทา ดุด่าว่ากล่าว

หรือเผชิญกับบุคคลที่ไม่เป็นมิตรกับเรา

บุคคลที่จะคอยปองร้ายเรา

คอยทำร้ายเราคอยกลั่นแกล้งร้ายเรา

ถ้าเราไม่มีความอยากที่จะไม่เจอเขา

 เราก็จะไม่ทุกข์เวลาที่เราเจอเขา

 เราจะรู้สึกเฉยๆ เขาจะด่าเราก็จะรู้สึกเฉยๆ

 เขาจะทุบจะตีเรา เราก็จะรู้สึกเฉยๆ

 เขาฆ่าเรา เราก็จะรู้สึกเฉยๆ

เราจะไม่มีความทุกข์ไม่มีความกลัวเขาเลย

 ถ้าเราไม่มีความอยากไม่เจอเขา

 ความทุกข์ของเราเกิดจากความอยาก

 ไม่เจอสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่เจอคนที่เราไม่ชอบ

คนที่เกลียดเรา โกรธเรา คนที่กลั่นแกล้งเรา

 คนที่เอารัดเอาเปรียบเรา

 คนที่จะคอยทำร้ายเรา เราไม่ชอบ

แต่บางครั้งเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้หนีไม่พ้น

 ถ้าหลบได้ก็หลบ หลีกได้ก็หลีก

 แต่มันถึงบางทีมันหลบไม่ได้หลีกไม่ได้

 ถ้าเราไม่อยากจะทุกข์

 ถ้าเราไม่ทุกข์เราก็ต้องไม่มีความอยาก

ที่จะไม่เผชิญกับเขา เราต้องหยุดความอยาก

ไม่อยากจะเผชิญกับเขาให้ได้

แล้วเราจะไม่ทุกข์กับเขา

 เช่นเดียวกับการที่เราทุกข์เพราะเรา

ต้องสูญเสียสิ่งที่เรารักไป บุคคลที่เรารักไป

เช่นตอนนี้พวกเราสูญเสียพระเจ้าอยู่หัวไป

 พวกเราก็มีความทุกข์ใจกัน เพราะอะไร

 ไม่ใช่เพราะการสูญเสีย ของพระเจ้าอยู่หัว

แต่ทุกข์เพราะอยากไม่ให้ท่านจากเราไป

ความอยากที่จะให้ท่านอยู่กับเรา

จึงทำให้เราทุกข์ใจ เวลาที่ท่านไม่อยู่กับเรา

 เรียกว่า “ภวตัณหา”

ความอยากให้คนนั้นคนนี้อยู่กับเรา

 ความอยากไม่ให้เขาพลัดพราก จากเรา

 มันก็เลยทำให้เราต้องทุกข์ใจกัน

 เศร้าโศกเสียใจกัน

ตอนนี้มีฝนมาเยี่ยมเยียนก็แล้วแต่ญาติโยม

 ถ้าจะคิดว่าเป็นน้ำมนต์ก็นั่งต่อไป

 เทวดามาปะพรหมน้ำมนต์ให้

ถ้าอยากจะขยับหลบน้ำมนต์ก็ขึ้นไปที่ศาลา

มีศาลา ๒ ศาลา ศาลาไม้นี้ก็มีที่ขึ้นมาได้

 ศาลาที่เป็น ๒ ชั้นก็มีที่ขึ้นไปหลบได้

อันนี้ก็เลยขอเวลาพักสักหน่อย

ให้ญาติโยมได้ขยับขยายย้ายที่กันก่อน

ถ้าพวกเราไม่มีความอยาก

เราก็ไม่ต้องขยับขยายกัน

 แต่เพราะเราไม่อยากเปียกกัน

 เราก็เลยทุกข์กัน

เราเลยต้องขยับขยายกัน

ถ้าเราเห็นอริยสัจ ๔ เราก็อยู่เฉยๆกัน

 ปล่อยมันเปียกไป เราก็ไม่ทุกข์กับความเปียก

 เห็นไหมนี่หยุดแล้ว เทวดามาแสดงธรรมให้เราดู

ให้เราดูอริยสัจ ๔ กัน แต่เรามองไม่เห็นกัน

 เรากลับไปเห็นว่าความทุกข์ของเราอยู่ที่ฝนตก

เราก็เลยต้องหนีฝน

เพื่อที่จะทำให้เราไม่ทุกข์กับมัน

 แต่ความจริงมันเป็นเพราะ

เราไม่อยากให้ฝนตกนั่นเอง

ไม่อยากเปียกฝนก็เลยทำให้เราทุกข์

 ทำให้เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้

ทำให้เราต้องหนีฝนกัน

หนียังไงเดี๋ยวก็ต้องเจออยู่ดี

 เพราะเราอยู่ใต้ฟ้า ใต้ฟ้าจะหนีฝนได้อย่างไร

 เหมือนกับที่พวกเราพยายามหนีความแก่

 หนีความเจ็บ หนีความตายกัน

 เราจะหนีกันได้อย่างไร

เราเกิดมาแล้วเราต้องแก่ ต้องเจ็บ

 ต้องตาย หนียังไงก็หนีไม่พ้น

หนีความแก่ด้วยการไปเสริมความงาม

ความหนุ่มความสาวด้วยศัลยกรรมตกแต่ง

 มันก็เดี๋ยวเดียวเท่านั้น มันก็ตามมาทัน

 หนีไปได้แป๊บหนึ่งเดี๋ยวมันก็มาตามทัน

 หนีความเจ็บไข้ก็รักษากันไปรักษากันมา

 เดี๋ยวมันก็ตามมาใหม่

มีโรคภัยไข้เจ็บรักษากัน

กี่ครั้งกี่คราวมันก็ไม่หมดไป

 เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นใหม่

หนีความตายก็หนีไป บางทีก็หนีได้

 บางทีก็หนีไม่ได้ ในที่สุดก็หนีไม่ได้

 เหมือนกับฝนนี้เราอยู่ใต้ฟ้านี้

มันหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น

ต้องเจอเข้าสักวันหนึ่ง

 เผลอออกไปข้างนอกแล้วไม่ได้ถือร่มไป

ไม่มีที่หลบฝน มันก็ต้องเปียกจนได้

แต่ถ้าเรายอมรับความจริงว่าเราจะต้องเปียก

เราก็ไม่ต้องไปกลัวฝน

เวลาเราอาบน้ำเราเปียกยิ่งกว่าตอนฝนตก

ทำไมเราไม่กลัวมัน อาบได้อย่างสบาย

 อาบได้อย่างเต็มที่

 เพราะเราตอนนั้นอยากจะเปียก

เราก็เลยไม่ทุกข์กับการเปียก

 แต่ตอนนี้เราทุกข์เพราะเราไม่อยากจะเปียก

 เห็นชัดๆ เลยว่า ความทุกข์ของเรา

ไม่ได้อยู่ที่การเปียกหรือการไม่เปียก

 เพราะเวลาเปียกก็มีความสุขได้

มีความทุกข์ได้อยู่ที่ใจของเราตอนนั้นว่า

อยากเปียกหรือไม่อยากเปียก

ถ้าอยากเปียกเวลาเปียกก็สุข

ถ้าอยากไม่เปียกแล้วเปียกก็ทุกข์

นี่คือพวกเราไม่เห็นความอยาก

ที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจของพวกเรา

 เวลาที่เราทุกข์ใจกับเหตุการณ์ต่างๆ

เราก็ไปแก้ที่เหตุการณ์ต่างๆ เ

วลาเราเสียของที่เรารักไป

ถ้าเราหาของใหม่มาทดแทนได้เราก็หามาแทน

ถ้าหาไม่ได้เราก็ร้องห่มร้องไห้ไป

จนกว่ามันจะหมดกำลัง เมื่อหมดกำลัง

ความทุกข์ใจก็ค่อยๆ หายไป

 เวลาย่อมรักษาแผลใจได้เสมอ

 เพียงแต่ต้องใช้เวลาหน่อย

และเวลาที่ยังไม่หายก็เหมือนกับ

เป็นคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย

 ใจที่ไม่มีธรรมะมารักษาใจ

 ใจที่ไม่มีปัญญาที่จะสอนใจให้มองว่า

ความทุกข์ของใจเกิดจากความอยากแล้ว

 ไม่สามารถหยุดความอยากได้

ก็ต้องปล่อยให้ความอยากมันหยุดของมันเอง

คือเมื่อเวลาผ่านไป เวลาที่เราสูญเสียอะไรไป

 ใหม่ๆ เราก็จะเสียใจมาก ทุกข์มาก

แต่พอเวลาผ่านไปๆ

ความเสียใจของเราก็จะ น้อยลงไปๆ

 เพราะความอยากของเราก็จะเบาลงไปๆ

 แล้วในที่สุดความอยากเราก็หายไป

 ความเสียใจที่เราสูญเสีย

 สิ่งนั้นหรือบุคคลนั้นก็หายไป

 แต่คราวหน้าถ้าเราเสียอะไรอีก

มันก็จะเป็นอย่างนี้อีก

 ถ้าเราไม่อยากจะต้องมาเสียอกเสียใจมาทุกข์ใจ

 เราต้องมาแก้ต้นเหตุของความทุกข์ใจ

 ก็คือความอยากทั้ง ๓ ประการนี้

ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ความอยากมีอยากเป็น อยากให้สิ่งต่างๆ

ที่เรารักเราชอบอยู่กับเราไปตลอด

และความอยากที่ไม่มีอยากไม่เป็น

คือความอยากที่ไม่ให้เจอกับสิ่งที่เราไม่ชอบ

ไม่เจอกับคนที่เราไม่ชอบ

ไม่เจอกับเหตุการณ์ที่เราไม่ชอบ

 เช่นความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้

เป็นเหตุการณ์ ที่เราไม่ชอบที่จะเจอกัน

แต่ถ้าเรามาเกิดแล้วเราก็ไม่มีทางเลือก

 เพราะสิ่งที่จะตามมาจากการเกิดก็คือ

การแก่ การเจ็บ การตายนี่เอง

มีทางเดียวเท่านั้นถ้าไม่อยากจะเจอ

ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็คือ

การไม่กลับมาเกิด เท่านั้น

 เมื่อไม่เกิดก็จะไม่มี

ความแก่ ความเจ็บ ความตายตามมา

 แล้วก็การที่จะไม่มาเกิดได้ก็ต้อง

 มาหยุดความอยากทั้ง ๓ นี้เอง

 หยุดความอยากในรปูปเสียงกลิ่นรส

 หยุดในความอยากให้สิ่งที่เรารัก

 เราชอบอยู่กับเราเป็นของเราไปเรื่อยๆ

 หยุดความอยากที่ไม่อยากจะเจอ

กับสิ่งที่เราไม่ชอบ

 บุคคลที่เราไม่ชอบ เหตุการณ์ที่เราไม่ชอบ

 ถ้าเราหยุดความอยากทั้ง ๓ ประการนี้ได้

 เราก็จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป

ไม่ต้องมาแก่ มาเจ็บ มาตายกัน

อย่างที่เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้

ทุกวันนี้เรายังต้องมาแก่ มาเจ็บ มาตาย

 แล้วก็ต้องมาทุกข์ กับความแก่

 ความเจ็บ ความตาย

 เพราะเรามองไม่เห็นต้นเหตุ

ของความทุกข์ใจของเรา

 เพราะมันอยู่ข้างในใจ เราหันหน้าไปข้างนอก

เราไม่ได้หันหน้าให้ใจ เราหันหลังให้ใจ

เราจึงมองไม่เห็นต้นเหตุของความทุกข์ใจ

 ที่มีอยู่ในใจของพวกเรา

 เพราะเราหันไปมองที่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 เราหันไปมองที่ร่างกายของเรา

เวลาที่ร่างกายแก่ เราทุกข์

 เราก็ไปโทษความแก่ว่าทำให้เราทุกข์

 เราจึงไม่มีวันที่จะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง

 เราก็จะไปแก้ที่ร่างกาย

 ร่างกายแก่ทำให้เราทุกข์

 เราก็ไปทำให้มันไม่แก่ ไปเสริมความงาม

ด้วยวิธีการต่างๆ ก็ทำให้รู้สึกหนุ่มขึ้นสาวขึ้น

 แก่น้อยลงไป ก็ทำให้ความทุกข์

กับความแก่นั้นน้อยลงไป

 แต่เดี๋ยวไม่กี่ปีไม่กี่เดือน มันก็กลับมาใหม่

 ความแก่มันก็ตามมาใหม่

ถ้าวิธีที่ถูกต้องเราต้องมาแก้ที่ความอยาก

 แต่เราไม่รู้เพราะเราไม่เห็น

 เราจึงต้องหันใจเรากลับมาข้างใน

ตอนนี้เราหันใจของเราออกไปทาง

รูปเสียงกลิ่นรสไปทางร่างกาย

ไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย

เราจึงไม่มีวันที่จะเห็นต้นเหตุของความทุกข์ใจ

 และเราก็จะไม่เห็น วิธีที่จะดับความทุกข์ใจ

 แก้ความทุกข์ใจได้

จนกว่าเราจะดึงใจกลับเข้าข้างใน

การดึงใจก็คือการนั่งสมาธินี้เอง

 การนั่งสมาธินี้เราดึงใจให้ออกจาก

รูปเสียงกลิ่นรส ออกจากร่างกาย

 ให้กลับเข้าไปสู่ภายในใจ

 เราต้องมีสิ่งที่จะดึงใจให้เข้าไป

เพราะตามปกติใจจะไม่เข้าไปเอง

 เพราะใจจะถูกกิเลสตัณหาโมหะอวิชชา

 คอยผลักให้ออกไปข้างนอกนั่นเอง

อวิชชา ปัจจยา สังขารานี้

ในปฏิจจสมุปบาท อวิชชา โมหะ ความหลง

จะผลักให้ใจปรุงเเต่งไปหารูปเสียงกลิ่นรส

ไปหาตาหูจมูกลิ้นกาย

เพื่อจะได้เสพรูปเสียงกลิ่นรส

 เวลาเสพได้สัมผัสก็จะเกิด

เวทนาสุขทุกขเวทนาขึ้นมา

แล้วก็เกิดตัณหาความอยากขึ้นมา

 ถ้าเจอสุขเวทนาก็อยากจะให้อยู่ไปนานๆ

 ถ้าเจอทุกขเวทนา ก็อยากจะให้หายไปเร็วๆ

ก็เลยทำให้เกิดอุปาทานเกิดความยึดมั่นถือมั่น

เกิดภวะ เกิดภพ เกิดชาติต่อไป

เราจึงต้องมาดึงใจให้เข้าข้างในเพื่อจะได้หยุด

ความคิดปรุงเเต่งคือสังขารที่จะคอยปรุง

ไปหารูปเสียงกลิ่นรส

เราจึงต้องมีสิ่งที่จะดึงใจเข้ามา

 สิ่งที่จะดึงใจเข้าข้างในได้นี้เรียกว่า “สติ”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

“ความจริงในใจ ๔ ประการ”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2559 11:34:20 น.
Counter : 716 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ