Group Blog
All Blog
### ที่พึ่งทางใจ ###








“ที่พึ่งทางใจ”

วันนี้พวกเราได้มาฟังเทศน์ฟังธรรม

 เพื่อมาศึกษาวิธีสร้างที่พึ่งทางใจ

 ทื่เป็นที่พึ่งที่สำคัญที่สุด

 เพราะใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำคัญตรงที่ว่า

ใจไม่มีวันตายนี่เอง ที่พึ่งทางร่างกายนี้

 สำคัญก็เพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง

เพราะร่างกายเป็นของที่จะต้องตายไป

สร้างที่พึ่งทางร่างกายให้ดีขนาด ไหนก็ตาม

 ก็ไม่สามารถที่จะยับยั้งความตายของร่างกายได้

 พอร่างกาย ตายไปแล้ว

 ที่พึ่งทางกายก็ไร้ความหมายไป

 เราจึงไม่ควรที่จะเสียเวลา

 กับการสร้างที่พึ่งทางร่างกายมากจนเกินไป

สร้างที่พึ่งทางร่างกายพอให้ อยู่ไปได้วันๆหนึ่งก็พอแล้ว

 เพราะเราก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ ร่างกายจะอยู่หรือไม่

ดูตัวอย่างของพระพุทธเจ้า ตอนที่ทรงเสด็จออกบวช

แล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ ให้ความสำคัญ

กับที่พึ่งทางร่างกายมากนัก ก็พอให้อยู่ไป

เช่นอาหารก็บิณฑบาต ได้อะไรมาก็รับประทานไป

ฉันวันละมื้อ ที่อยู่อาศัย ก็แล้วแต่จะหาได้

 ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ตามโคนไม้ ตามเงื้อมผา หรือในถ้ำ

 หรือตามเรือนร้าง พอหลบแดดหลบฝนได้

 ก็พอแล้วสำหรับเรื่องที่อยู่ อาศัย

ส่วนเครื่องนุ่งห่ม ก็คือ ผ้าไตร จีวร มีผ้า ๓ ผืน

ผ้านุ่ง ผ้าห่ม แล้วก็ผ้าคลุมกันหนาว ๓ ผืนนี้ก็พอเพียง

 ต่อความต้องการของร่างกายในเรื่องเครื่องนุ่งห่ม

 แล้วยารักษาโรค ก็รักษาไปตามมีตามเกิด

 ถ้าไม่มียา ก็ใช้ยาดองน้ำมูตร ยาดองน้ำปัสสาวะ

 ก็สามารถที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้

เพราะโรคภัยไข้เจ็บนั้น ก็มีอยู่ ๓ ระดับด้วยกัน

 ระดับแรกก็คือ เป็นเองแล้วก็หายเองได้ ไม่ต้องรักษาก็ได้

 ระดับที่สอง เป็นแล้วก็ต้องรักษาถึงจะหาย

 ถ้าไม่รักษาก็ไม่หาย

 แล้วก็ระดับที่สาม เป็นแล้วรักษาก็ไม่หาย

 ไม่รักษาก็ไม่หาย

 ก็มีอยู่ ๓ โรคที่ไม่ว่าใครก็ตามที่เกิดมาแล้ว

 จะต้องพบกันทั้งนั้น จะเป็นราชาพระมหากษัตริย์

 มหาเศรษฐีหรือขอทานข้างถนน ก็ต้องพบโรคทั้ง ๓ นี้

 แล้วต่อให้มีทรัพยากรมากมายขนาดไหนก็ตาม

 ก็ไม่สามารถที่จะล่วงพ้นโรคทั้ง ๓ ชนิดนี้ได้

ไม่สามารถล่วงพ้นความตายไปได้

ดังนั้น การที่เรามาเสียเวลา

กับการสร้างที่พึ่งทางร่างกายอย่างวิจิตรพิศดารนี้

 เป็นการกระทำของคนโง่ ของคนไม่ฉลาด

เอาเวลาเอาทรัพยากร ที่มีคุณค่านี้

มาสร้างกับสิ่งที่ไม่มีคุณค่ามากนัก

 แทนที่จะเอามาสร้างกับ สิ่งที่มีคุณค่าอย่างมาก

กลับไม่สร้างกัน การสร้างที่พึ่งทางใจนี้แหละ

 เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะว่าถ้าใจมีที่พึ่ง แล้ว

 ใจก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ไปตลอดอนันตกาล

 ไม่มีวันสิ้นสุด มีแต่ความสุขตลอดเวลา

พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระองค์แรก

 ที่ทรงสามารถสร้างที่พึ่งทางใจได้

แล้วหลังจากที่ทรงสร้างที่พึ่งทางใจได้สำเร็จแล้ว

 พระองค์จึงนำเอาวิธีสร้างที่พึ่งทางใจนี้

 มาเผยแผ่สั่งสอนให้แก่ผู้อื่นต่อไป

ผู้ที่ได้ยินได้ฟังแล้วเกิดศรัทธาความเชื่อ

 น้อมนำเอาไปปฏิบัติ

ก็จะสามารถสร้างที่พึ่งทางใจได้

 หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้

เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงหลุดพ้น

ท่านเหล่านั้นก็มีชื่อว่า พระอรหันตสาวก

เป็นผู้ที่รับรอง คำสอนของพระพุทธเจ้า

ว่าเป็น สวากขาโต ภควตาธัมโม

 เป็นธรรม ที่ตรัสไว้ชอบแล้ว

คือเป็นความจริงทุกประการ

 ไม่ว่าจะเป็นเหตุ หรือเป็นผล เป็นความจริง

ถ้าเจริญเหตุนี้แล้ว จะเกิดผลนี้ขึ้นมา

พอนำไปปฏิบัติ ไปพิสูจน์ ก็เป็นจริงอย่างที่ทรงตรัสไว้

 จึงไม่มีใครมาลบล้าง พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 มีแต่มายืนยัน มารับรองว่า

เป็น สวากขาโต ภควตาธัมโม เป็นสันทิฐิโก

 คือเป็นธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้

 เป็นธรรมที่ไม่ใช่ให้เชื่อเฉยๆ

 แล้วก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือไม่

อย่างคำสอนของศาสดารูปอื่น เช่นสอนว่า

 พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมา พระเจ้าเป็นผู้มาไถ่บาปไถ่กรรม

 ให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย อันนี้ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้

 ไม่เหมือนกับพระพุทธศาสนา พระธรรมคำสอนว่า

 ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนเป็นผู้ไถ่บาป

ตนเป็นผู้กำจัดความทุกข์ทั้งหลายให้หมดไปจากใจได้

อันนี้เป็นสิ่งที่แตกต่างกับศาสนาอื่น

 ศาสนาพุทธนี้ ท้าทายต่อผู้ที่ศึกษา

ถ้าอยากจะรู้ว่าจริงหรือไม่ ขอให้นำเอาไปปฏิบัติเถิด

 เอาไปพิสูจน์ดู

 แล้วจะไม่มีใครมาค้านว่าไม่ได้เป็นความจริง

 แล้วก็เป็นความจริงที่เป็นอกาลิโก

คือไม่เปลี่ยนไปตามกาล ตามเวลา

 เป็นจริง อย่างไรในสมัยพระพุทธกาล

 ก็เป็นจริงอย่างนั้นในสมัยปัจจุบันนี้

และจะเป็นจริงอย่างนี้ต่อไปในอนาคต

ตราบใดที่มีการศึกษา มีการปฏิบัติ มีการบรรลุธรรม

 ตราบนั้นก็จะมีพระอรหันต์ อยู่กับโลกไปเสมอ

นี่คือความจริงที่เป็นอกาลิโก

พวกเราที่มาอยู่ในสมัยปัจจุบันนี้

จึงอย่าลังเลสงสัยเคลือบแคลงใจ

ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ในโลกนี้แล้ว

 พระธรรมคำสอนของพระองค์นี้

ยังจะสามารถยังประโยชน์ให้แก่ผู้ ปฏิบัติได้หรือไม่

เพราะว่า แม้แต่ในสมัยปัจจุบันนี้

ก็มีผู้ที่สามารถพิสูจน์ ความจริง

ของพระธรรมคำสอนได้อยู่เรื่อยๆ

 ว่ายังเป็นความจริงอยู่ ยังประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

เหมือนกับในสมัยที่พระบรมศาสดาทรงประทับ อยู่

เพราะว่าธรรมที่ทรงตรัสไว้ว่า

ธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสไว้ชอบแล้วนี้แล

จะเป็นศาสดาของพวกเธอต่อไป

พวกเธอจะไม่ได้อยู่ปราศจากศาสดา

ก็คือ เรายังมีพระพุทธเจ้าอยู่กับเรา

 ในรูปของพระธรรมวินัย

ที่พวกเราศึกษากันอยู่มาอย่างต่อเนื่องนี่เอง

ขั้นตอนหลังจากที่เราศึกษาแล้วนั้น

 ก็คือต้องนำเอาไปปฏิบัติ ถ้าเราไม่นำเอาไปปฏิบัติ

 ปฎิเวธคือผลอันเลิศอันประเสริฐ เช่นมรรคผลนิพพาน

 ขั้นต่างๆจะไม่ปรากฏขึ้นมาแก่เรา

โสดาปฏิผลจะไม่ปรากฏขึ้นมา

สกิทา คามิผลจะไม่เกิดขึ้นมา

อนาคามิผลจะไม่เกิดขึ้นมา

 อรหัตผลจะ ไม่เกิดขึ้นมา ถ้าไม่มีการปฏิบัติ

 การปฏิบัติก็ต้องเป็นแบบปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

 คือสุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายปฏิปันโน

สามีจิปฏิปันโนเท่านั้น

ถึงจะยังผลคือ อริยบุคคลชั้นต่างๆขึ้นมาได้

ดังที่พวกเราได้เจริญบทสังฆานุสติกันอยู่เป็นประจำ

สุปฏิปันโน สาวกสังโฆ อุชุปฏิปันโน สาวกสังโฆ

ญายปฏิปันโน สาวกสังโฆ สามีจิปฏิปันโน สาวกสังโฆ

นี่ก็เป็นเหตุเป็นการปฏิบัติ เป็นขั้นที่สองของการเจริญ

สร้างสรณะที่พึ่งทางใจ ขั้นแรกก็คือปริยัติ

การศึกษาพระธรรมคำสอน ซึ่งในสมัยปัจจุบันนี้

ก็มีอยู่หลากหลายวิธีด้วยกัน จะศึกษาจากพระไตรปิฎก

ที่ได้มีการจารึกไว้ก็ได้

หรือจะศึกษาจากพระธรรมคำสอน

 ของพระอรหันตสาวกทั้งหลายโดยตรง

ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ก็ได้

 หรือจะศึกษาจากหนังสือคำสอนของท่าน

 หรือจากแผ่นซีดีบันทึกเสียง

หรือแผ่นวีดิโอบันทึกภาพและเสียง

 ก็เป็นการศึกษาเหมือนกัน เป็นปริยัติเหมือนกัน

 เพราะถ้าไม่ได้ศึกษาแล้ว

ก็จะไม่รู้จักวิธีที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องนั่นเอง

ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง ผลย่อมไม่เกิดขึ้นมา

หรือเกิดก็ไม่ได้เป็นผลที่ถูกต้อง เป็นผลที่ผิด

 แทนที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์

ก็จะนำไปสู่การสร้างความทุกข์ให้มีเพิ่มมากขึ้นไป

 การศึกษาหรือปริยัตินี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

 ถ้าไม่มีปริยัติแล้ว การปฏิบัตินี้จะเป็นไปได้ยาก

 ผลคือปฏิเวธนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 นอกจากเป็นบุคคลที่ฉลาดแหลมคม

เช่นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ทรงปฏิบัติโดยพระองค์เอง

 ศึกษาโดยพระองค์เอง โดยไม่มีใครสั่งสอนมาก่อน

เนื่องจากพระองค์ไม่สามารถหาผู้ที่รู้ความจริง

 ของการสร้างสรณะที่พึ่งทางใจได้นั่นเอง

ทรงศึกษากับครูบาอาจารย์หลายรูปหลายท่านด้วยกัน

 ท่านก็สอนได้เพียงแค่สรณะ

ที่พึ่งทางใจชั่วคราว คือขั้นสมาธิ

เวลาใจสงบอยู่ในสมาธิ

นั้นใจก็ปราศจากความทุกข์

 มีแต่ความสุข แต่สมาธินี้เป็นของชั่วคราว

 ไม่สามารถอยู่ในสมาธิไปได้ตลอดเวลา

อย่างมากที่ได้ยินได้ฟังมา

ก็อาจจะอยู่กันครั้งละอาทิตย์ ๒ อาทิตย์

หรือ ครั้งละ ๑ เดือนอย่างนี้เป็นต้น

แต่เนื่องจากร่างกายนี้ จำเป็นจะต้องรับปัจจัย ๔

ก็จะต้องออกจากสมาธิมา เพื่อมาเติมปัจจัย ๔

 ให้แก่ร่างกาย เช่น อาหารและน้ำดื่มเป็นต้น

 เวลาออกจากสมาธิมา

กิเลสตัณหาที่ถูกกำลังของสมาธิกดไว้

ก็จะออกมาเคลื่อนไหวเหมือนเดิม

ก็จะมาผลิตมา สร้างความทุกข์ให้แก่ใจเหมือนเดิม

เปรียบเหมือนหินทับหญ้า เวลาหิน ทับหญ้าไว้

หญ้าก็จะไม่สามารถงอกเงยขึ้นมาได้

 เวลายกหินออกจาก หญ้าไป ทิ้งไว้ซักระยะหนึ่ง

 หญ้าก็จะเจริญงอกงามขึ้นมาใหม่ได้ ฉันใด

 กิเลสตัณหาก็เป็นเหมือนหญ้า

เวลาอยู่ในสมาธิ ก็ถูกกำลังของสมาธิกดเอาไว้

ไม่สามารถทำงานได้

 ไม่สามารถผลิตความทุกข์ให้แก่ใจได้

 ใจจึงมีความสุข มีอุเบกขา สักแต่ว่ารู้

แต่พอใจต้องออกมาดูแลร่างกาย

 มาเติมธาตุ ๔ ให้แก่ร่างกาย ก็เกิดตัณหาตามมา

 เห็นอาหารเห็นเครื่องดื่ม

ก็แทนที่จะดื่มแทนที่จะรับประทานเพื่อร่างกาย

ก็เกิดความอยากดื่ม อยากรับประทานเพื่อความอยาก

 อยากจะดื่มเครื่องดื่มชนิดนั้น

 อยากจะรับประทานอาหารชนิดนี้เป็นต้น

 อันนี้เป็นการเติมธาตุให้กับร่างกาย

และกิเลสตัณหาไปพร้อมๆกัน

เพราะว่าไม่มีใครรู้จักวิธีที่จะฆ่ากิเลส ตัณหา

ให้ตายได้อย่างถาวรนั่นเอง

พระพุทธเจ้าจึงต้องศึกษาด้วยพระองค์เอง

เพราะทรงพยายามสอบถาม ครูบาอาจารย์ต่างๆแล้ว

ก็ไม่มีใครรู้วิธีที่จะทำลายกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจได้

 จนในที่สุด หลังจากได้ทดลองผิดทดลองถูก

ก็ทรงพบแนวทางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฎิปทา

ทางสายกลาง ทางแห่งมรรคที่มีองค์ ๘

หรือ ทางแห่งทาน ศีล ภาวนา นี่เอง

อันนี้ต้องเป็นคนที่ฉลาดจริงๆ ถึงสามารถ พบทางนี้ได้

 ถ้าไม่มีผู้สอน ไม่มีครูบาอาจารย์

ถ้าไม่มีความฉลาดระดับ พระพุทธเจ้าแล้ว

 ถ้าไม่ศึกษากับผู้อื่น จะไม่มีวันที่จะสามารถพบทางนี้ได้

จะไม่มีวันที่จะพบมรรค ๘ ไม่มีวันที่จะพบอริยสัจ ๔ ได้

 ทั้งๆที่เป็นของที่มีอยู่ภายในใจนี้

แต่ความหลงความไม่รู้นี้หลอกไม่ให้ดูข้างใน

หลอกให้ออกไปหาข้างนอก

หาวิธีดับทุกข์จากสิ่งต่างๆภายนอก

 แทนที่จะเข้ามาหาวิธีดับทุกข์ภายใน

เพราะเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นี้ มันอยู่ข้างในนี่เอง

 ถ้ารู้วิธีก็จะสามารถดับความทุกข์ที่มีอยู่ภายในใจได้

ถ้าเข้ามาดูว่า ต้นเหตุของความทุกข์ภายในใจคืออะไร

 และวิธีที่จะแก้ความทุกข์ภายในใจนี้

แก้อย่างไร แก้ที่ไหน

 ก็ต้องแก้ที่ใจนี้แหละ ไม่ได้ไปแก้ที่ข้างนอก

ไม่ได้ไปแก้ที่ร่างกาย ไม่ได้ไปแก้ที่ปัจจัย ๔

 ไม่ได้ไปแก้ธรรมชาติต่างๆ

อย่างที่ผู้ที่มีความมืดบอดพยายามแก้กันอยู่

ทุกวันนี้พยายามแก้ภายนอก แก้เรื่องของร่างกาย

 พยายามหาวิธีการต่างๆ ที่จะให้ร่างกายนี้อยู่ไปนานๆ

ไม่มีวันตาย หามาแล้วทุกยุคทุกสมัย

ก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำสำเร็จ

ก็ยังตกอยู่ในกองทุกข์อยู่เหมือนกัน

ไม่ว่าจะอดีตที่ผ่านมาอันยาวนานแสนนาน

หรืออนาคตที่จะตามมาต่อไป

ถ้าไม่ได้เข้าหาพระพุทธศาสนา

 หรือไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนา

 แล้วศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 แล้วนำเอาไปปฏิบัติ จะไม่มีวันที่จะหลุดพ้น

จากความทุกข์ไปได้เลย

นี่คือความสำคัญของการศึกษา

ตอนนี้พวกเราถือว่า มีบุญมีวาสนา

 มี โชคอย่างมหาศาล

 ที่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ได้พบกับทางที่จะนำ ไปสู่การหลุดพ้น

จากความทุกข์ทั้งหลายแล้ว

อยู่ที่ว่าพวกเราจะสนใจศึกษาพระธรรมคำสอนนี้หรือไม่

 และเมื่อศึกษาแล้ว จะนำเอาไปปฏิบัติตามได้หรือไม่

 อันนี้เป็นหน้าที่ของพวกเรา

เป็นอัตตาหิ อัตตโน นาโถ เป็นงานของเราเอง

ผู้อื่นไม่สามารถทำงานนี้แทนเราได้

ไม่เหมือนกับงานที่เราทำในบริษัท วันไหนเราติดธุระ

 เราก็ฝากงานนี้ให้กับคนอื่นเขาทำแทนเรา

 วันไหนเราไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วย

 เขาก็จัดหาคนอื่นมาทำหน้าที่แทนเราได้

 แต่งานนี้ ไม่มีใครทำหน้าที่แทนเราได้ ถ้าเราไม่ทำ

ก็จะไม่มีใครทำให้เรา และถ้าเราปล่อยเวลาให้ผ่านไป

โดยที่ไม่ทำงานนี้ เวลาของเราก็จะค่อยๆหมดไป

และก็อาจจะสายเกินไป เพราะว่าเราไม่รู้ว่า

เวลาของเรานี้ มีเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด

 อาจจะหมดไปในวันพรุ่งนี้ก็ได้ หรือวันนี้ก็ได้

หรืออีก ๑๐ ปีข้างหน้าก็ได้ อีก ๒๐ ปีก็ได้

ใครจะไปรู้ ถ้าเราประมาทคิดว่าสัก ๒๐ ปีข้างหน้า

แล้วเราค่อยมาศึกษา ค่อยมาปฏิบัติกันอย่างจริงๆจังๆ

 ถ้าเผื่อเราตายไปวันนี้ เราก็จะหมดโอกาส

แต่ถ้าเราคิดเสมอว่า

วันนี้อาจจะเป็นวันตายของเราก็ได้

ถ้าเราคิดอย่างนี้ เราก็จะไม่ทำงานอย่างอื่น

 เราก็จะทำงานของเรา งานที่ไม่มีใครทำแทนเราได้

งานที่สำคัญที่สุดของชีวิตของพวกเรา

 คือ งานสร้างสรณะที่พึ่งทางใจนี้เอง

เราก็จะทุ่มเวลา ชีวิตจิตใจของเรา ให้กับการศึกษา

 ให้กับการปฏิบัติ ถ้าเราจะทำจริงๆแล้ว

 ไม่มีอะไรจะมาขัดขวางเราได้ ไม่มีข้ออ้างอะไรต่างๆ

 เราสามารถตัดข้ออ้างต่างๆไปได้หมด

แต่ถ้าเราไม่ทุ่มเทไม่ตั้งใจที่จะทำแล้ว

เราก็จะมีข้ออ้างต่างๆ มาอ้างไม่ให้เรามาทำงานนี้กัน

เราต้องดูพระพุทธเจ้า

ดูพระอรหันตสาวกทั้งหลายเป็นตัวอย่าง

 ท่านตัดข้ออ้างไปหมด

 ท่านก็มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

ท่านก็มีครอบครัว มีสามีมีภรรยา มีบุตรมีธิดากันทั้งนั้น

 แต่ทำไมท่านตัดสิ่งเหล่านี้ไปได้อย่างง่ายดาย

 ทำไมพวกเรากลับตัดกันไม่ได้

 เพราะพวกเราไม่ฉลาดนั่นเอง

 หรือจะเรียกว่าโง่ก็ได้ ที่ไม่เห็นเทวทูต ๔

ที่คอยเตือนเราอยู่เรื่อยๆว่า

 เวลาเราใกล้จะหมดไปแล้วนะ

 เวลาเราเห็นคนแก่ แทนที่เราจะโอปนยิโก

น้อมเข้ามาหาตัวเราว่า เรากำลังจะแก่แบบนี้แล้วนะ

 เวลาเห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ไม่น้อมเข้ามา ว่า

เรากำลังจะเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว เวลาไปงานศพเห็นคนตาย

 เราก็ไม่น้อมเข้ามาที่ตัวเรา ที่ร่างกายของเรา

 ว่าร่างกายของเรานี้ จะตายเมื่อไหร่ก็ได้

 นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราไม่กระตุ้นจิตใจของเรา

พระองค์จึงทรงตรัสว่า

 เป็นการตั้งตนอยู่ในความประมาทนี้เอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

กัณฑ์ที่ ๔๖๓ วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๖

“วิธีสร้างที่พึ่งทางใจ”




ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 สิงหาคม 2559
Last Update : 21 สิงหาคม 2559 9:36:59 น.
Counter : 920 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ