Group Blog
All Blog
### ความจริงของร่างกายและจิตใจ ###












“ความจริงของร่างกายและจิตใจ”

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเรา

ชาวพุทธศาสนิกชนหมั่นศึกษา

 หมั่นพิจารณาความจริง

ของร่างกายอยู่เรื่อยๆ

 เพราะว่าถ้าเราไม่ศึกษา

ไม่พิจารณากันอยู่เนืองๆ

 เราจะลืม แล้วเราจะหลง

 เราจะไปยึดเราจะไปอยากให้ร่างกาย

 ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงของเขา

 แล้วก็จะทำให้เราเกิดความทุกข์

เกิดความวิตกกังวลเกิดความห่วงใย

 เกิดความหวาดกลัว

 เกิดความเศร้าโศกเสียใจ

เวลาที่ความจริงของร่างกาย

มันแสดงออกมาให้เราเห็น

 แต่ถ้าเราหมั่นพิจารณา

หมั่นศึกษาอยู่เนืองๆ

 เราจะไม่ลืมความจริงของร่างกาย

แล้วเราจะไม่หลงไม่ไปยึดไปติด

ไปอยากให้ร่างกายเป็นอย่างอื่น

นอกจากความเป็นจริงของร่างกาย

ความเป็นจริงของร่างกาย

ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ให้เราศึกษากันก็คือ

ห้เราหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ

 ว่าร่างกายนี้เมื่อเกิดมาแล้ว

ย่อมมีความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย

ความตายไปเป็นธรรมดา

 ล่วงพ้นความเจ็บไข้ ล่วงพ้นความแก่

 ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้

ย่อมมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา

 ล่วงพ้นความพลัดพราก จากกันไปไม่ได้

 ถ้าเราหมั่นพิจารณาหมั่นศึกษา

เราจะได้ไม่ลืมความจริงอันนี้แล้ว

เราจะได้ไม่ไปอยาก ให้ร่างกายไม่แก่

ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่พลัดพรากจากกัน

 เพราะจะทำให้เราต้องทุกข์กันนั่นเอง

ถ้าเราไม่มีความอยาก ให้ร่างกายไม่แก่

 ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่มีการพลัดพรากจากกัน

 เราจะไม่ทุกข์กับความจริงของร่างกาย

 และทรงสอนให้พิจารณาว่า

ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา

 ในร่างกายนี้ ไม่มีใครอยู่ในร่างกาย

 ไม่มีเราอยู่ในร่างกายอันนี้

ไม่มีพ่อไม่มีแม่ไม่มีพี่ไม่มีน้อง

ไม่มีสามีไม่มีภรรยา ไม่มีบุตรไม่มีธิดา

ไม่มีญาติสนิทมิตรสหาย

อยู่ในร่างกายอันนี้ ร่างกายอันนี้

มีเพียงดินน้ำลมไฟ

ที่มารวมกันชั่วคราวเท่านั้น

แล้วไม่ช้าก็เร็วดินน้ำลมไฟที่มารวมอยู่

ในร่างกายอันนี้ก็จะแยกตัวกันไป

 แยกกันไปคนละทิศคนละทาง

พอเกิดการแยกตัว

ก็เกิดการยุบสลายของร่างกายไป

ร่างกายที่เป็นรูปร่างที่มีอาการ ๓๒ อยู่นี้

ก็จะอันตธานหายไป

ไม่มีใครเป็นอะไรไปกับร่างกาย

ผู้ที่มาครอบครองร่างกายคือพวกเรานี้

 ไม่ได้เป็นร่างกายพวกเราเป็นใจ ที่รู้ที่คิด

 แต่มาหลงมายึดมาติดกับร่างกาย

มาคิดว่าร่างกายเป็นตัวเราของเรา

 มาคิดว่าร่างกายเป็นพ่อเป็นแม่

เป็นพี่เป็นน้อง เป็นญาติสนิทมิตรสหาย

 เป็นสามีเป็นภรรยา เป็นบุตรเป็นธิดา

 ความหลงนี้ทำให้เรา

เกิดความเศร้าโศกเสียใจ

 เวลาที่ร่างกายนี้ดับไป

 ซึ่งเป็นการดับเป็นการแยกตัว

ของธาตุ ๔ เท่านั้นเอง

 คือการแยกตัวของดินน้ำลมไฟ

ในร่างกายนี้ไม่มีใจ

 ใจมาครอบครองร่างกาย

ด้วยการเชื่อมต่อ

ของวิญญาณในขันธ์ ๕

วิญญาณที่เรียกว่า

จักขุวิณณาณ โสตะวิญญาณ

มีวิญญาณมาเชื่อมติดอยู่

กับตาหูจมูกลิ้นกาย

 จึงทำให้ใจสามารถรู้รูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ

ที่เข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นกายได้

 แต่ใจไม่ได้เป็นร่างกาย

ใจเป็นเพียงผู้ที่มาใช้ร่างกาย

เป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการดูการฟัง

การลิ้มรสการดมกลิ่น

การสัมผัสหนาวเย็นแข็งนุ่ม

ทางร่างกายเท่านั้น

ร่างกายกับใจนี้เป็นคนละส่วนกัน

 ร่างกายนี้ถ้าเปรียบเทียบ

ก็เหมือนกับหุ่นยนต์

เช่นสมัยนี้เรามีหุ่นยนต์กู้ระเบิด

เพราะเราไม่ต้องการให้มนุษย์นี้

ไปกู้ระเบิดด้วยตนเอง

ถ้าเกิดการผิดพลาด

 ก็อาจจะเกิดการเสียชีวิตได้

เราจึงสร้างหุ่นยนต์กู้ระเบิดขึ้นมา

 แล้วเราก็ส่งหุ่นยนต์นี้เข้าไปในสถานที่

 ที่เราคิดว่ามีระเบิด

 เพื่อให้หุ่นยนต์นี้ไปสำรวจดู

 หุ่นยนต์นี้ก็จะมีกล้องมีไมโครโฟน

มีเครื่องไม่เครื่องมือ

ที่จะสามารถพิจารณาได้ว่า

มีระเบิดหรือไม่มีระเบิด

 ส่วนผู้ที่ควบคุมหุ่นยนต์นี้

ไม่ได้ไปกับหุ่นยนต์

ผู้ที่ควบคุมหุ่นยนต์นี้จะอยู่อีกจุดหนึ่ง

 โดยใช้กระแสของวิทยุติดต่อสื่อสารกัน

 สั่งให้หุ่นยนต์ถ่ายภาพ

บันทึกเสียงอะไรต่างๆ

แล้วก็ส่งมาที่ผู้ที่ควบคุม

 ผู้ควบคุมก็จะมีจอภาพ มีลำโพงไว้

สำหรับดูภาพและฟังเพสียง

 อันนี้ก็เหมือนกัน ร่างกายนี้

ก็เป็นเหมือนหุ่นยนต์กู้ระเบิด

ส่วนใจก็เป็นผู้ที่ควบคุมบังคับหุ่นยนต์

เวลาเกิดการผิดพลาดขึ้นมา

แล้วเกิดระเบิดตูมตามขึ้นมา

 สิ่งที่จะถูกทำลายไปก็คือหุ่นยนต์กู้ระเบิด

 แต่ผู้ที่ควบคุมหุ่นยนต์กู้ระเบิดนั้น

ก็ไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย

 เพราะผู้ที่กู้หุ่นยนต์นี้

อยู่อีกจุดหนึ่งนั่นเอง

ใจกับร่างกายก็เหมือนกับ

 ร่างกายนี้อยู่ในโลกธาตุ

ใจนี้อยู่ในโลกทิพย์ อยู่คนละโลกกัน

แต่มีการเชื่อมต่อ ด้วยวิญญาณขันธ์

โสตวิญญาณ จักขุวิญญาณเป็นต้น

 มาเชื่อมกับร่างกาย มารับรู้เรื่องราวต่างๆ

ที่ร่างกายไปรับมา แล้วก็ส่งมาที่ใจ

ผ่านทางวิญญาณขันธ์

วิญญาณขันธ์ก็เปรียบเหมือนกับ

สัญญาณวิทยุที่เราใช้เชื่อมต่อ

ระหว่างผู้ควบคุมหุ่นยนต์กับหุ่นยนต์

 ผู้ควบคุมหุ่นยนต์ก็จะรับรู้สิ่งต่างๆ

 ที่หุ่นยนต์นั้นไปดูไปฟังไปสัมผัส

 มาทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 แต่เวลาเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย

 ใจนี้ไม่ได้ถูกกระทบกระเทือน

ไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย

 เพราะใจนี้อยู่คนละโลกกัน

อยู่ในโลกทิพย์

ส่วนร่างกายนี้อยู่ในโลกธาตุ

 โลกที่มีแต่ดินน้ำลมไฟ

โลกที่เราอยู่กันนี้สิ่งต่างๆ

ทำมาจากดินน้ำลมไฟทั้งนั้น

 ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม

 เป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นด้วยน้ำบ้าง

 ด้วยดินบ้าง ด้วยลมบ้าง ด้วยไฟบ้าง

บางทีก็ผสมกัน บางทีก็แยกกัน

 เช่นน้ำดื่มนี้ก็เป็นธาตุน้ำล้วนๆ

 ลมหายใจที่เราหายใจเข้าออก

นี้ก็เป็นธาตุลมล้วนๆ

 แต่ของบางอย่างนี้เกิดการผสม

รวมตัวของธาตุดินน้ำลมไฟ

 เช่นพืชต่างๆ ข้าวที่เรารับประทานเข้าไป

สิ่งเหล่านี้ก็มีการประกอบขึ้น

จากดินน้ำลมไฟ

 แล้วเมื่อเราเอาเข้ามา ในร่างกาย

ร่างกายเราก็เลยเป็นส่วนประกอบ

ของดินน้ำลมไฟ เราดื่มน้ำเข้าไป

เราหายใจเข้าไป เราเอาธาตุดิน

คืออาหารเข้าไป แล้วก็เกิดความร้อน

ขึ้นมาภายในร่างกาย เกิดธาตุไฟขึ้นมา

 ร่างกายเราจะมีอุณหภูมิ

ที่สูงกว่าร่างกายของคนที่ตายไปแล้ว

นี่คือความจริงของร่างกาย

ของพวกเราทุกคน

 เป็นเพียงหุ่นยนต์ที่เราได้มาจากพ่อแม่

 พ่อแม่เป็นคนสร้างหุ่นยนต์ ให้กับเรา

 เวลาพ่อแม่เขาร่วมหลับนอนกัน

 เขาก็จะผสมสร้างร่างกายขึ้นมา

ในท้องของแม่ แล้วใจของเรา

ที่ต้องการมีร่างกายก็ส่งกระแสวิญญาณ

มาเกาะติดอยู่กับร่างกายที่เริ่มก่อตัวขึ้นมา

นี่คือความเกี่ยวข้อง ระหว่างร่างกายกับใจ

เกี่ยวข้องกับตัวเรากับร่างกาย

ขอให้เรารู้ว่าตัวเราแท้ๆนี้ไม่ใช่ร่างกาย

 ตัวเราแท้ๆนี้คือจิต ที่คิดที่รู้เท่านั้น

ไม่มีร่างกายของตนเอง

แล้วโดนอำนาจของความอยาก

อยากเสพรูปเสียง กลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 จึงทำให้จิตให้ใจของเรานี้

ส่งกระแสวิญญาณมาเกาะติดอยู่ที่ร่างกาย

 เพื่อที่เราจะได้ใช้ร่างกาย

ไปเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ

 ร่างกายเองนี้ไม่รู้เรื่องสิ่งที่ร่างกาย

 ได้เสพได้สัมผัส

เช่นร่างกายเห็นภาพรับภาพเข้ามาทางตา

 รับเสียงเข้ามาทางหู

 ร่างกายไม่รู้เรื่องว่าเป็นเสียงเป็นภาพ

 อาหารที่เข้ามาในร่างกาย รสต่างๆ

กลิ่นต่างๆ ที่ร่างกายรับเข้ามานี้

ตัวร่างกายเขาไม่รู้ว่าเป็นรสอะไร กลิ่นอะไร

 ผู้ที่รู้นี้คือใจ โดยใช้ขันธ์เป็นเครื่องมือ

เวลาที่วิญญาณรับภาพเข้ามา

 สัญญาขันธ์ก็จะทำหน้าที่ดูว่า

 ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพอะไร

เคยเห็นภาพนี้มาก่อนหรือไม่

เช่นเห็นคน คนนี้เคยรู้จักกันหรือเปล่า

ถ้ามีข้อมูลเก่าอยู่ สัญญาก็จะบอกว่า

 คนนี้เป็นพี่ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นต้น

หรือเป็นหญิงเป็นชาย เป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่

อันนี้เป็นหน้าที่ของสัญญาขันธ์

 สัญญาขันธ์จะมาพิจารณาดูว่า

ภาพที่เข้ามานั้นเป็นภาพอะไร

 โดยอาศัยข้อมูลเก่าคือความจำ

ถ้าเคยเห็นภาพนี้มาก่อน

เห็นคนนี้มาก่อนก็จะรู้ว่าเป็นใคร

 ถ้าไม่เคยเห็นมาก่อนก็จะไม่รู้ว่าเป็นใคร

 แต่อาจจะรู้แบบรวมๆ

คือรู้ว่าเป็นมนุษย์หรือเป็นสุนัข หรือเป็นแมว

 เป็นนกเป็นต้น หรือเป็นหญิงเป็นชาย

 แต่อาจจะไม่เคยพบกันมาก่อน

ก็เลยไม่รู้ว่าชื่ออะไรเป็นใคร

มีความสัมพันกันอย่างไร

อันนี้เป็นหน้าที่ของสัญญาขันธ์

เวลาที่วิญญาณขันธ์รับภาพเข้ามาสู่ใจ

 ใจก็อยากจะรู้ว่าเป็นภาพอะไร

ก็ใช้สัญญามาเป็นผู้แยกแยะพิจารณาดู

 พอรู้ว่าเป็นภาพอะไร

ก็จะเกิดเวทนาคือ ความรู้สึกขึ้นมา

รู้สึกดีใจ รู้สึกเสียใจ

 หรือรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ขึ้นมา

 ถ้าเห็นภาพที่ชอบก็จะเกิดความสุขขึ้นมา

ถ้าเห็นภาพที่ไม่ชอบ

ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา

แล้วพอเกิดความสุข หรือเกิดความทุกข์

ก็จะมีสังขารขันธ์ขึ้นมา

 สังขารก็คือความคิดปรุงเเต่ง

ที่จะคิดไปในทางความอยากทันที

 เห็นภาพที่ชอบก็จะอยากให้ภาพนั้นอยู่

ถ้าเห็นภาพที่ไม่ชอบ

ก็อยากให้ภาพนั้นหายไป

 พอเกิดความอยากขึ้นมา

 ก็เลยเกิดความทุกข์ขึ้นมา

 เพราะถ้าเห็นภาพที่ชอบ

แล้วอยากให้อยู่แล้วเวลาภาพนั้นไม่อยู่

ภาพนั้นไปหายไป

ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้น

หรือว่าเห็นภาพที่ไม่ชอบ

แล้วอยากให้หายไปแล้วภาพนั้นไม่หายไป

 ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมาเช่นเดียวกัน

 ความทุกข์ของพวกเรานี้

เกิดจากความอยากของใจของพวกเราเอง

 ที่เราไปได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องมา

 จึงทำให้เราเกิดความรัก

 เกิดความชังขึ้นมา

ถ้าเรามาได้ศึกษาฟังเทศน์ ฟังธรรม

จากพระพุทธเจ้า เราจะได้ข้อมูลอันใหม่

ที่จะมาสอนให้เรานี้ไม่มีความรู้สึก

หรือทุกข์กับสิ่งต่างๆ ที่เราสัมผัสรับรู้

เห็นภาพเราก็จะสักแต่ว่าเห็น

ได้ยินเสียงเราก็จะสักแต่ว่าได้ยิน

 ไม่ว่าจะเป็นภาพชนิดไหน เสียงชนิดไหน

 ถ้าใจเรามีความรู้

ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้

ขึ้นมาภายในใจ เพื่อมาเปลี่ยนความรู้เก่า

ที่เป็นความรู้ที่ไม่ถูก

เช่นความรู้ว่าภาพที่เราเห็น

เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นพ่อเป็นแม่

เป็นพี่เป็นน้อง เป็นสามีเป็นภรรยา

ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้ที่ไม่ถูกต้อง

ตามหลักความเป็นจริง

ความรู้ที่ถูกต้อง ตามหลักความเป็นจริง

ต้องรู้ว่าเป็นเพียงการผสมรวมตัว

ของดินน้ำลมไฟ ธาตุทั้ง ๔

เช่นร่างกายที่เราเห็นนี้

ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของใคร

ก็เป็นการรวมตัวของธาตุทั้ง ๔

นี้คือดินน้ำลมไฟ แล้วก็เป็นสิ่งที่

จะต้องแก่ จะต้องเจ็บ และจะต้องตายไป

นี่คือข้อที่ถูกต้องตามหลักความเป็นจริง

ถ้าเราเห็นร่างกายทุกร่างกาย

ว่าเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ

เป็นร่างกายที่จะต้องมีวันเสื่อมมีวันหมดไป

ดังที่ได้แสดงไว้เมื่อวานนี้

 (วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๙)

อนิจจา วะตะสังขารา

สังขารคือสิ่งที่ถูกปรุงเเต่ง

ผสมปรุงเเต่งขึ้นมาด้วยดินน้ำลมไฟ

นี้เป็นของไม่ถาวร เป็นของชั่วคราว

มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

ย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา

 ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลไม่มีใคร

อยู่ในร่างกายอันนี้ มีเพียงดินน้ำลมไฟ

ที่จะแยกตัวกันออกไป

 นี่คือข้อมูลใหม่ที่เราควรที่จะมาศึกษา

มาสอนใจ เพื่อให้ไม่หลง กับข้อมูลเก่า

ข้อมูลเก่าเวลาเราเห็นร่างกาย

 เราจะเห็นว่าเป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้

เห็นร่างกายของพ่อก็ว่า เป็นพ่อขึ้นมา

 เห็นร่างกายของแม่ก็ว่า

เป็นร่างกายของแม่ขึ้นมา

 แล้วเราก็เกิดความรักพ่อรักแม่

 เราก็เกิดความอยากให้พ่อให้แม่

อยู่กับเราไปเรื่อยๆ

เราจะไม่อยากให้พ่อให้แม่จากเราไป

 แต่เราไม่ได้เห็นความเป็นจริงของร่างกาย

ไม่ว่าจะเป็นของพ่อหรือแม่

ว่าเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ

ที่มารวมตัวกันแล้วก็จะต้องมีการพลัดพราก

จากกันมีการแยกสลายออกจากกันไป

ร่างกายก็จะแก่ ร่างกายก็จะเจ็บ

 ร่างกายก็จะตายไป

นี่คือความรู้ใหม่

ที่เราจะต้องเอาเข้ามาสอนใจ

มาแก้สัญญาเก่า

สัญญาที่มาเห็นร่างกายว่าเป็นพ่อเป็นแม่

เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อน

เป็นญาติสนิมมิตรสหาย

เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นบุตรเป็นธิดา

 เราต้องมาดูใหม่ว่า เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ

เป็นอาการ ๓๒ เป็นเพียงผม ขน เล็บ

 ฟัน หนัง เนื้อ เอ็นกระดูก

เป็นต้นที่มาทำหน้าที่ ให้ร่างกายนี้

เคลื่อนไหวได้ ทำอะไรต่างๆ ได้

แต่มันก็เป็นของชั่วคราว

เป็นของที่จะต้องแก่ จะต้องเจ็บ

 จะต้องตายไป นี่คือความจริง

ที่พวกเราควรที่จะมาศึกษากัน

แล้วก็นอกจากร่างกายแล้วก็มีเราคือใจ

 ผู้รู้ ผู้คิดที่ไม่ได้เป็นร่างกาย

ที่ไม่ได้แก่ ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ตาย

ปกับร่างกาย เวลาเกิดอะไรกับร่างกายนี้

ไม่มีผลต่อจิตใจ เพราะอยู่คนละจุดกัน

เหมือนหุ่นกู้ระเบิดกับผู้ควบคุมหุ่นกู้ระเบิด

อยู่คนละจุดกัน เวลาเกิดระเบิดตูมตามขึ้นมา

 ทำให้หุ่นยนต์กู้ระเบิดนั้นถูกทำลายไป

 ผู้ควบคุมหุ่นยนต์นี้ไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย

เพียงแต่ขาดการติดต่อกันเท่านั้นไ

ม่สามารถติดต่อกันได้

เพราะเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ติดต่อกันนั้น

 ได้ถูกทำลายไป

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๙

“ความจริงของร่างกายและจิตใจ”





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 20 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2559 7:29:22 น.
Counter : 855 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ