Group Blog
All Blog
|
### ภูมิต้านทานความผิดหวัง ### เพราะต้องมีความรับผิดชอบ จะไปไหนมาไหน ก็ไปไม่ได้ ไปแล้วก็จะรู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ ถ้าไม่รู้เรื่องเลย ก็ไม่ต้องกังวล แต่ปกติก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีธุระจำเป็นจริงๆ หรือกะทันหัน ก็จะไม่ได้ไปไหน แต่ก็ไม่เป็นไร ก็มาตามบุญตามกรรมก็แล้วกัน ถ้าเจอก็เจอ ถ้าไม่เจอก็ไม่เจอ คราวนี้มากันมากขึ้น ก็ได้ประโยชน์ทั้ง ๒ อย่าง ถ้ามาแล้วเจอก็ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ได้ทำบุญตามที่อยากจะทำ แต่ถ้ามาแล้วไม่เจอ ก็จะได้พบกับความผิดหวัง ได้พบกับอริยสัจ คือความทุกข์ พอผิดหวังก็จะรู้สึกเสียใจ ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้านำไปพิจารณา ใช้ความทุกข์ทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา พิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า โลกนี้เป็นโลกของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ถ้าเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ก็จะไม่เสียใจ เกิดปัญญาขึ้นมา เป็นเครื่องมือที่จะใช้เผชิญ กับความทุกข์อื่นๆที่เหมือนๆกัน ที่เกิดจากความไม่แน่นอน เพราะไม่ทำให้เกิดปัญญา แต่ทำให้เกิดความหลงมากขึ้น เพราะอยากจะได้อะไร ก็ได้ตามความอยาก เลยไม่เห็นโทษของความอยาก เพราะความอยากนี่แล เป็นต้นเหตุของความทุกข์ เวลาอยากอะไรขึ้นมา ก็อยู่เฉยๆไม่ได้แล้ว แต่เราไม่รู้กัน เพราะไม่ชอบอยู่เฉยๆอยู่แล้ว เราชอบไปไหนมาไหนกัน เวลามีความอยากจะทำบุญ เราก็ไปกัน เป็นความอยากที่ดี อยากไปสร้างบุญสร้างกุศล ความอยากนี้มีทั้งดีและไม่ดี ในเบื้องต้นเราอาจจะยังไม่เข้าใจ เวลาไปเจอความผิดหวัง ถ้าเอามาพิจารณาดูว่า เกิดขึ้นเพราะอะไร ก็จะเห็นว่าเกิดจากความอยากของเรา ถ้าไม่ได้อยากให้พบกันในวันนี้ ก็จะไม่ผิดหวัง ถ้าไม่ได้พบกัน ต่อไปเวลามีความอยาก ก็จะไม่ยึดติดกับความอยากนั้น ต้องเผื่อไว้ว่าอาจจะไม่ได้ดังใจก็ได้ อย่างนี้ก็จะเกิดความฉลาดขึ้นมา ไม่ได้ไปหวังว่า เวลาอยากจะได้อะไรแล้ว จะต้องได้เสมอไป ถ้าไม่ได้แล้วจะเป็นจะตาย แต่กลับคิดว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ก็ไม่ตาย เพราะตอนที่ไม่มีความอยากนี้ เราก็อยู่ได้ เมื่อมีความอยากนี้แล้ว ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็ยังอยู่ต่อไปได้ เช่นอยากจะไปปฏิบัติธรรม อยากจะไปแสวงหาความรู้ แล้วไม่ได้ดั่งใจหวัง ก็จะทำให้มีความมุมานะมากขึ้น ถ้าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราจริงๆ ก็ต้องไม่ท้อแท้ อย่างเวลาไปกราบครูบาอาจารย์ อยากจะอยู่ปฏิบัติธรรมกับท่าน บางทีท่านยังไม่รับเราครั้งแรกที่ไปขอท่าน ท่านจะบอกไม่ว่าง หรืออยู่ไม่ได้ เราก็ต้องทำใจ ถ้ายังมุ่งมั่นเชื่อมั่นว่า ท่านสามารถให้สิ่งที่ดีที่งามแก่เราได้ วัดของท่านเป็นสถานที่ ที่เราสามารถสร้างความดีงาม ให้เกิดขึ้นได้ ก็ต้องกลับไปอีก กลับไปเรื่อยๆ จนกว่าท่านจะอนุญาตให้เราอยู่ เพราะส่วนหนึ่งก็เป็นการทดสอบจิตใจของเรา ทดสอบความตั้งใจ ว่ามีความตั้งใจจริงหรือไม่ เพราะวัดใดหรือองค์กรใด ถ้ามีคนที่ไม่มีความตั้งใจ เข้าไปร่วมสังฆกรรมด้วยแล้ว ก็จะไม่ค่อยดี จะมีความวุ่นวาย ทุกอย่างก็ง่ายสะดวกไปหมด หนักนิดเบาหน่อย ก็ไม่ถือสากัน ถ้าเป็นคนที่ไม่ตั้งใจไปอยู่ ถูกบังคับให้ไป ก็จะเป็นคนสร้างปัญหาขึ้นมา อะไรนิด อะไรหน่อย ก็จะบ่น จะไม่พอใจไปหมด เพราะไม่มีความตั้งใจที่อยากจะอยู่จริงๆ เวลาไปขอครูบาอาจารย์ อยู่ศึกษาเล่าเรียนกับท่าน โดยเฉพาะพระเณร จิตใจต้องมีความหนักแน่น ต้องกล้าเผชิญกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ถ้าท่านไม่ให้อยู่ วันหลังก็กลับไปใหม่ ถ้าอยู่แล้วถูกท่านขับไล่ไสส่ง ถ้าใจเด็ดก็อยู่ไปเรื่อยๆ ทำเป็นหูทวนลม ดูซิว่าท่านจะว่าอย่างไร ถ้าพิจารณาดูแล้วว่า การอยู่ของเรา ไม่ได้ไปสร้างความเสียหายให้กับใคร ยังประพฤติดี มุ่งมั่นในการรับฟังโอวาทของท่าน อาจจะพลั้งเผลอทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง ก็สำนึกผิดแล้ว พยายามไม่ทำผิดซ้ำอีก ก็ลองอยู่ต่อไปจนกว่าจะถูกลากออกไปจากวัด ถ้าท่านพูดเฉยๆ ยังไม่ลากเราออกไปจากวัด ก็อยู่ต่อไป ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ถ้าเราไปแสวงหาครูบาอาจารย์ หรือพบครูบาอาจารย์ที่เรา มีความเคารพ มีความเชื่อในตัวท่าน และอยากอยู่กับท่าน ถึงแม้ท่านจะไล่เรายังไง ก็ไม่ต้องไปสนใจ ให้อยู่กับท่านต่อไป เพราะบางทีการไล่ของท่าน ก็เป็นอุบายอย่างหนึ่ง ทดสอบดูจิตใจของเรา ว่ามีความหนักแน่นหรือไม่ เพราะการสอนให้เราต่อสู้กับกิเลสนั้น บางครั้งบางคราวต้องใช้วิธีที่หนักกับเราพอสมควร ถ้าไม่มีความหนักแน่น ก็จะไม่ได้รับประโยชน์ พอโดนลูกระเบิดสักลูกก็เผ่นกันหมด เวลาท่านแสดงกิริยาอาการขึงขังตึงตัง เป็นการทดสอบจิตใจ เป็นการช่วยขุดคุ้ยกิเลส ที่ยังมีอยู่ในจิตใจ ที่ยังไม่ได้โผล่ออกมา หากไม่มีเหตุการณ์ที่มากระทบอย่างรุนแรง ลองสังเกตดูเวลาเหตุการณ์เป็นปกติ มีความสุขความสบายกัน กิเลสจะไม่ออกมาเพ่นพ่าน แต่ถ้าอยู่ในเหตุการณ์ที่วิกฤติคับขัน กิเลสจึงจะออกมาแผลงฤทธิ์ จะเห็นธาตุแท้ในยามที่ตกทุกข์ได้ยาก เวลามีความสุขจะไม่ค่อยเห็นธาตุแท้กัน เพราะเวลามีความสุข กิเลสก็สุขไปด้วย พอใจไปด้วย แต่เวลาลำบากยากเข็ญ ต่างคนต่างจะเอาตัวรอดกัน ตัวใครตัวมัน ที่ทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา ถ้าได้แต่ส่วนที่ดีไป ก็จะหลงติดอยู่ จะไม่เห็นส่วนที่ไม่ดีที่ซ่อนเร้นอยู่ ถ้าเกิดขึ้นมาก็อาจจะรับไม่ได้ คนเราเวลาได้อะไรมา ส่วนใหญ่จะชอบจะดีใจกันทุกคน แต่พอต้องเสียไป ทำใจไม่ได้ ก็เลยลำบาก บางคนถึงกับต้องทำร้ายชีวิตตนเอง หรือทำร้ายชีวิตของผู้อื่นด้วย เวลาที่สูญเสียอะไรไป สิ่งที่ไม่เคยคิดเผื่อไว้ก่อน เช่นคนรักไม่รักเรา ไปมีอะไรกับคนอื่น ก็จะไม่รู้จักวิธีปฏิบัติ กับเหตุการณ์อย่างนี้ จะถูกอำนาจของกิเลสครอบงำ ทำให้ลุแก่โทสะ แล้วก็ไปทำปาณาติบาต หรือทำอะไรที่ผิดศีลผิดธรรม เพราะไม่เคยประสบกับความผิดหวัง ประสบกับความทุกข์มาก่อนนั่นเอง แต่ถ้าเคยได้เจอความทุกข์มาอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เจอแต่ความทุกข์ เจอแต่ความผิดหวังอยู่เรื่อยๆ ก็จะไม่ค่อยหวังกับอะไรเท่าไหร่ จะยินดีตามมีตามเกิด แต่ถ้าอยู่กับพ่อแม่ที่รักเรา เอาอกเอาใจเรา ต้องการอะไร ก็รีบประเคนให้เลย หามาให้เลย ก็จะติดเป็นนิสัยไป เวลาไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เกิดต้องการอะไร แล้วไม่ได้ดังใจ หรือมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเสียใจ เกิดความผิดหวังขึ้นมา ก็จะทำใจไม่ได้ ไม่รู้วิธีทำใจว่าทำอย่างไร เพราะคิดว่าโลกนี้มีแต่ความสมหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ เป็นไปตามที่วางแผนไว้ แต่ความจริงแล้วมันไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้ ดังนั้นการประสบกับความผิดหวัง ถ้ามองในแง่ดีก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นการทดสอบจิตใจ เป็นการเสริมสร้างปัญญา ทำให้มีภูมิต้านทานความผิดหวัง ถ้าระบาดเข้าสู่คน ก็จะแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ก็พยายามคิดหาวัคซีนไว้ป้องกัน เพราะถ้ามีวัคซีนฉีดเข้าไปในร่างกาย ก็จะกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันขึ้นมา เวลาเกิดโรคระบาด ร่างกายจะได้มีภูมิคุ้มกัน แต่เวลาฉีดวัคซีนร่างกายจะมีไข้อยู่วัน สองวัน เพราะมีเชื้อโรคเข้าไปอยู่ในร่างกาย เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา การเจอความผิดหวังบ้างในชีวิต ก็เหมือนกับการฉีดวัคซีนให้กับใจ ทำให้รู้ว่าจะไม่เป็นไปตามความหวังเสมอไป คราวต่อไปก็จะไม่หวัง ถ้าหวังก็ไม่ยึดติดกับความหวังนั้น เพราะคนเรายังต้องตั้งเป้าวางแผนไว้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา จะไปไหนมาไหน ก็ต้องติดต่อกันไว้ล่วงหน้าก่อน แต่เมื่อถึงวันนั้น เหตุการณ์อาจจะไม่เอื้อ ให้เป็นไปตามที่ต้องการ อย่างช่วงนี้มีพายุดีเปรสชั่นเข้ามา ทำให้ถนนขาด ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ที่ต้องการไป ก็ต้องยกเลิกเป้าหมายที่ได้วางไว้ไป นี่คือสิ่งที่ควรมีไว้ในจิตใจ คืออนิจจสัญญา ความรู้เกี่ยวกับความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสิ่งต่างๆในโลกนี้ ทรงรู้ถึงสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้ ต้องสัมผัส ต้องเจอกัน และทรงรู้จักวิธีปฏิบัติกับสิ่งเหล่านี้ ที่เรียกว่าโลกธรรม ๘ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งมีทั้งเจริญและเสื่อมควบคู่กันไป เป็น ๔ คู่ด้วยกัน ได้แก่การเจริญลาภ เจริญยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นของคู่กัน โลกธรรม ๘ นี้มีทั้งได้มีทั้งเสีย บางทีก็ได้เงินได้ทองมา บางทีก็ต้องเสียเงินเสียทองไป บางทีก็ได้รับเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่ง บางทีก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง บางทีก็ได้รับการชมเชย บางทีก็ได้รับการตำหนิติเตียน บางทีก็มีความสุข บางทีก็มีความทุกข์ นี่คือส่วนประกอบของชีวิตของพวกเรา ถ้ารู้ทัน รู้ว่ามีได้ก็ต้องมีเสีย มีเกิดก็ต้องมีดับ ก็จะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ เวลาที่ได้อะไรมาก็จะได้ไม่หลงระเริงกับสิ่งที่ได้มา ต้องทำความเข้าใจเสมอว่า ถึงแม้จะไม่มีสิ่งที่ได้มาในวันนี้ ก็ยังอยู่ได้ มีความสุขได้ ถ้าไม่ไปหลงยึดติดกับสิ่งที่ได้มา มีความสุขกับสิ่งที่ได้มาจนติดนิสัยไป เหมือนกับติดยาเสพติดหรือติดสิ่งอื่นๆ เช่นบุหรี่สุรายาเมา เราก็ไม่ได้เกิดมากับสิ่งเหล่านี้ เมื่อก่อนไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่เคยกินเหล้า ก็อยู่ได้ แต่พอเริ่มสูบบุหรี่แล้ว เริ่มเสพสุราแล้ว ก็ติดเป็นนิสัย พอวันใดไม่ได้สูบบุหรี่ ไม่ได้เสพสุรา ก็จะไม่สบายใจ เป็นความทุกข์ขึ้นมา ถ้าจะสูบบุหรี่ เสพสุรา ต้องมีความแน่ใจว่า วันไหนไม่มี ก็ต้องอยู่ได้ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ถ้าอยากจะเสพโดยไม่เกิดความทุกข์ ก็ต้องฝึกด้วยการเสพบ้าง ไม่เสพบ้าง สูบบุหรี่สัก ๓ วันแล้วก็หยุดไป ๓ วัน แล้วค่อยกลับมาสูบใหม่ ฝึกทั้ง ๒ ด้าน ฝึกกับการมีและฝึกกับการไม่มี เพื่อจิตใจจะได้รู้จักวิธีปรับตัว ให้รับกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น นี่คือการปฏิบัติธรรม ให้รู้ทันกับสิ่งเหล่านี้ แล้วสามารถปล่อยวางได้ เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่เราจำเป็นต้องมี เช่นเงินทอง ทุกคนต้องมีไว้ใช้ เพียงแต่ต้องระมัดระวัง ไม่ให้ติดจนเดือดร้อน เวลาไม่มีเงินไม่มีทอง จริงอยู่ที่ต้องมีเงินทองไว้สำหรับซื้ออาหาร และปัจจัย ๔ แต่ก็อย่าไปซื้อในสิ่งที่ไม่จำเป็น เงินทองจะได้ไม่ขาดมือ เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องเผชิญ ต้องสัมผัสกัน ถ้ามีปัญญารู้เท่าทันว่า มันไม่แน่นอนนะ สิ่งต่างๆที่เราสัมผัสวันนี้ วันพรุ่งนี้อาจจะไม่ได้สัมผัสก็ได้ วันนี้มีความสุข พรุ่งนี้ก็มีความทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนวิธีที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ คือให้หาสิ่งที่ดีกว่านี้ ซึ่งมีอยู่ในตัวของเราแล้ว คือความสุขภายในที่เกิดจากการทำบุญทำทาน รักษาศีล และภาวนา เพราะเมื่อได้ทำแล้ว จะทำให้จิตใจสงบตัวลง เพราะได้รับการชำระ กิเลสตัณหาต่างๆจะถูกกำจัด ไปทีละเล็ก ทีละน้อย ทุกวันนี้ที่เราต้องออกไปเกี่ยวข้องกับโลกธรรม ๘ ก็เพราะอำนาจของกิเลสตัณหานี้เอง เมื่อกิเลสตัณหาสร้างความหิว สร้างความต้องการขึ้นมา ก็ต้องออกไปหา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ถ้าไม่มีกิเลสตัณหาผลักดันให้ออกไป ก็ไม่ต้องไปไหน อยู่เฉยๆ อยู่ในความสงบก็มีความสุขแล้ว เป็นความสุขที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า เป็นความสุขที่ชนะความสุขอื่นๆทั้งหมด รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง ก็อยู่ที่รสแห่งความสงบนี้เอง ถ้าทำจิตใจให้สงบได้แล้ว ต่อไปก็จะไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นเครื่องอยู่อีกต่อไป ท่านไม่ได้มีความจำเป็นกับลาภยศสรรเสริญสุขเลย ได้ลาภมามากน้อยก็เอาไปทำประโยชน์ ให้กับโลกอีกต่อหนึ่ง เพราะท่านพร้อมที่จะให้อยู่เสมอ จิตใจของท่านไม่ได้ยึดติดกับอะไร เรื่องปัจจัย ๔ ก็ได้รับการดูแลอย่างดี จากศรัทธาญาติโยมอยู่แล้ว บิณฑบาตก็มีอาหารรับประทานทุกวัน จีวรก็มีคนถวายอยู่ประจำ กุฏิศาลาที่พักก็มีอยู่พร้อม ท่านมีครบทั้ง ๒ ส่วน คือ มีสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ได้แก่ปัจจัย ๔ แล้วก็มีความสุขความอิ่มใจ ที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม จากการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ที่จะพาไปสู่ความสุขที่แท้จริง ให้สามารถอยู่เหนือโลกธรรมทั้ง ๘ ได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่สามารถทำอะไรกับจิตใจได้ ใครจะถวายเงินเป็นล้านเป็นแสน ก็จะไม่รู้สึกดีอกดีใจ ใครจะแต่งตั้งให้เป็นอะไร ก็เฉยๆ เพราะจิตไม่หิวกับเรื่องเหล่านี้แล้ว เหมือนกับเวลารับประทานอาหาร อิ่มเต็มที่แล้ว ใครจะเอาอาหารวิเศษขนาดไหนมาให้กินอีก ก็กินไม่ลง ด้วยการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาอย่างต่อเนื่องแล้ว จิตใจจะมีความสงบเย็นอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงแต่เวลานั่งทำสมาธิเท่านั้น ถ้าได้ทำวิปัสสนาจนสามารถ ชำระความโลภ โกรธหลงให้ออกจิตจากใจได้แล้ว แม้ในขณะที่เดินเหิน ขณะที่คุย ขณะที่ทำอะไรต่างๆ จิตก็ยังสงบอยู่ จิตไม่ได้มีอารมณ์กับอะไร ซึ่งต่างกับคนที่ไม่ได้ปฏิบัติ ความสงบของจิตจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ถ้าได้เข้าถึงขั้นปัญญา ถ้าอยู่ในขั้นสมาธิ ก็จะสงบเฉพาะในขณะที่นั่งสมาธิ นั่งหลับตาแล้วบริกรรมพุทโธๆๆทำจิตให้รวมลง เมื่อรวมลงแล้ว จิตก็สงบ แต่พอถอนออกมาจากสมาธิแล้ว กิเลสก็จะออกมากับสมาธิ ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ แต่ถ้าได้เจริญวิปัสสนา พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย เช่นโลกธรรมทั้ง ๘ ให้เห็นว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตก็จะปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติด อะไรจะเกิดก็เกิด อะไรจะดับก็ดับ เมื่อเป็นอนิจจัง ก็ต้องเป็นทุกข์ถ้าไปยึดไปหวัง คนเราเวลาผิดหวัง มีความเสียใจ ก็เป็นความทุกข์ อนัตตาก็หมายถึง ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของเรานั่นเอง ไม่สามารถบังคับให้อยู่กับเราไปตลอด เช่นสามีของเราจะต้องอยู่กับเราไปตลอด สมบัติของเราจะต้องอยู่กับเราไปตลอด เรื่องเหล่านี้เราบังคับไม่ได้ วันดีคืนดี ก็จากไปได้ จึงเรียกว่าอนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ว่าเป็นอนัตตาอยู่เสมอ ตั้งแต่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่เราเห็น ที่เราได้ยิน ที่เราได้เสพสัมผัสว่า มาแล้วก็ไป เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เวลาเห็นภาพก็มีทั้งที่ชอบและไม่ชอบ จะไปบังคับก็ไม่ได้ จะให้เห็นแต่ภาพที่ชอบอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะในโลกนี้มีภาพอยู่หลายชนิดด้วยกัน มีคนหลากหลายชนิดด้วยกัน เวลาเห็นคนหนึ่งก็ดีใจ พอเห็นอีกคนหนึ่งก็เสียใจ ไม่ชอบอกชอบใจ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ใจก็จะแกว่งไปแกว่งมา ถ้ามีปัญญาก็ย่อมรู้ว่า เป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้ จะห้ามไม่ให้เห็นคนนี้ก็ไม่ได้ อยากจะให้เห็นคนนั้นอย่างเดียวก็ไม่ได้ ก็ต้องเห็นไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อเข้ามาในรัศมีของสายตา ก็ต้องเห็น ถ้าไม่อยากเห็นก็ต้องหลับตา แต่หลับตาแล้วก็ยังอยู่ในใจ เพราะไปยึดไปติด จึงต้องตัดความยึดติดให้หมด ด้วยการยอมรับความจริง เมื่อต้องเจอก็ต้องทำใจให้เป็นปกติ ไม่รังเกียจ ไม่ยินดี ถ้าไปรังเกียจ หรือไปยินดี ก็จะเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา ยินดีก็อยู่เฉยๆไม่ได้ เพราะอยากจะวิ่งเข้าหาสิ่งที่ชอบ ถ้ารังเกียจก็อยากจะวิ่งหนี ถ้าทำเป็นเฉยๆ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ก็อยู่เฉยๆได้ เป็นอุเบกขา นี่ก็คือการพิจารณาด้วยปัญญาแล้วก็ปล่อยวาง ให้เขาเป็นไปตามเรื่องของเขา ฝนจะตกหรือไม่ตกก็ไม่เป็นไร เรานั่งอยู่ตรงนี้เดี๋ยวเกิดฝนตกลงมา ก็ปล่อยให้ตกไป เรามีกิจกรรมอะไรก็ทำของเราไป เมื่อยังออกจากศาลานี้ไม่ได้ ก็ต้องรอให้ฝนหยุดก่อน เมื่อหยุดแล้วค่อยไป เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร จึงต้องเข้าใจว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ควบคุมบังคับไม่ได้ ถ้าไม่ยึดไม่ติด ก็จะไม่ทุกข์ ถ้าไปยึดไปติด อยากจะให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วไม่ได้ดังใจ ก็จะมีความทุกข์ใจ นี่คือการพิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย ให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต .....................................
กัณฑ์ที่ ๒๒๙ วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๘ (จุลธรรมนำใจ ๒) สวัสดรครับผม ^^!
โดย: Tongstory95 วันที่: 14 กรกฎาคม 2559 เวลา:9:11:53 น.
|
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |