Group Blog
All Blog
### ฉลาดกับเฉลียว ###









“ฉลาดกับเฉลียว”

การมาวัดถือว่ามาสู่ที่สว่าง

ถ้าอยู่นอกวัดก็เหมือนอยู่ในที่มืด

เพราะเวลามาวัดจะทำแต่สิ่งที่ถูกที่ดี

 เพราะมีแสงสว่าง ทำให้สามารถแยกแยะ

สิ่งที่ถูกจากสิ่งที่ผิดได้ สิ่งที่ดีจากสิ่งที่ไม่ดีได้

 จึงมีการทำบุญทำทาน รักษาศีล

 ไหว้พระสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม

 นั่งทำสมาธิ เดินจงกรม เจริญปัญญา

เพื่อการหลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งหลาย

เหตุที่ได้กระทำสิ่งเหล่านี้กัน

ก็เป็นเพราะว่ามีแสงสว่าง

 ทำให้เห็นความถูกต้องดีงาม

 ของการปฏิบัติเหล่านี้นั่นเอง

ถ้าอยู่นอกวัดก็เหมือนกับอยู่ในที่มืด

ย่อมไม่เห็นผิดเห็นถูก เห็นดีเห็นชั่ว

ก็เลยทำแต่สิ่งที่ผิดสิ่งที่ชั่ว เช่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

 ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี โกหกหลอกลวง

 เสพสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน

คบคนชั่วเป็นมิตรเกียจคร้าน

เป็นการปฏิบัติที่จะนำมาแต่ความทุกข์

ความวุ่นวายใจ เวลาอยู่นอกวัด

จึงไม่เหมือนกับเวลาอยู่ในวัด

 อยู่นอกวัดเหมือนกับอยู่ในที่มืด

จึงมีแต่การกระทำที่ไม่ดีไม่งาม

นำมาซึ่งความทุกข์ความวุ่นวาย

 เวลามาวัดก็เท่ากับ มาที่ๆมีแสงสว่าง

จึงมีแต่การทำความดี

ทำสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์

 ผลที่ปรารถนาคือความสุขความเจริญ

 จึงเป็นสิ่งที่ตามมาต่อไป

การพูดว่าในวัดสว่าง นอกวัดมืด

เป็นการเปรียบเทียบให้ฟังว่า

จิตใจของคนเรานั้น มีมืดได้ มีสว่างได้

 เพราะมีเหตุที่ทำให้มืด และมีเหตุที่ทำให้สว่าง

 เหตุที่ทำให้มืดก็คือความหลง ความมืดบอด

 เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

เห็นทุกข์เป็นสุข เหตุที่ทำให้สว่างก็คือปัญญา

 คือธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง

พระพุทธเจ้าทรงมีแสงสว่างปรากฏขึ้น

ในพระทัยจากการศึกษาปฏิบัติธรรมจนตรัสรู้

 การตรัสรู้นี้หมายถึง

การได้รู้ในสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้

รู้ดี รู้ชั่ว รู้ถูก รู้ผิด รู้คุณ รู้โทษ

เมื่อทรงรู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว

 ก็นำมาเผยแผ่ให้กับ

ผู้ที่ยังมีความมืดบอด

ครอบงำจิตใจอยู่ให้มีแสงสว่าง

 เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตไปในแนวทางที่ถูกต้อง

 นำมาซึ่งความสุขและความเจริญ

นี่คือความหมายของความสว่าง

 คือธรรมะเป็นแสงสว่างแห่งธรรม ธัมโม ปทีโป

 เพราะธรรมะสามารถแยกแยะ

สิ่งต่างๆออกได้ ว่า

เป็นคุณหรือเป็นโทษ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์

เป็นความเจริญหรือเป็นความเสื่อม

ถ้าปราศจากธรรมะ

จิตใจก็เหมือนกับอยู่ในที่มืด

 เหมือนถูกสิ่งปิดกั้นสายตา

ไม่ให้เห็นสิ่งต่างๆได้

 เรียกว่าความหลงทำให้ต้องคลำไป

 เวลาคลำไปก็เหมือนกับจับปลาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า

 ไม่รู้ว่าปลาอยู่ที่ตรงไหน ก็สุ่มไป

 ถ้าโชคดีก็ได้ตัวปลา

 ถ้าโชคไม่ดีก็ต้องสุ่มไปเรื่อยๆ

 จนกว่าจะได้ ชีวิตของพวกเรา

ก็เปรียบเหมือน กับการสุ่มหาปลา

เราทุกคนแสวงหาความสุข

ความเจริญด้วยกันทุกคน

 แต่กลับไปเจอ แต่เรื่องวุ่นวายใจ

 เรื่องความทุกข์ เรื่องความไม่สบายใจ

เป็นเพราะความมืดบอดปิดกั้นสายตา

ทำให้ไม่สามารถเห็นตัวปลาได้

 คือไม่สามารถเห็นความสุขความทุกข์ที่แท้จริงได้

 ไม่รู้จักแยกแยะ ก็เลยคว้าผิดคว้าถูก

ส่วนใหญ่ก็มักจะไปคว้าเอาความทุกข์มา

 เช่นการกระทำบาปนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ดี

 แต่ก็ยังไปทำกัน

 เพราะคิดว่าทำไปแล้วจะได้ความสุข

 เช่นไปลักทรัพย์ ไปฉ้อโกง จะทำให้มีความสุข

 เมื่อมีทรัพย์แล้วก็สามารถนำเอาไปซื้อ

ความสุขต่างๆได้

แต่ไม่คิดถึงความทุกข์ที่จะตามมา

ถ้าถูกจับได้ ก็ต้องเข้าคุกเข้าตะรางหมดอิสรภาพ

 อยู่แบบอดๆอยากๆ อยู่อย่างทุกข์ทรมาน

เพราะขาดความเฉลียวนั่นเอง

คนเราฉลาดแต่ขาดความเฉลียวก็ไม่ดี

ความฉลาดก็คือรู้จักคิดวิธีหาเงินหาทอง

 แต่ไม่เฉลียวว่าวิธีที่หาเงินทองมานั้น

เป็นคุณหรือเป็นโทษ เมื่อไม่เฉลียวก็ไปฉ้อโกง

 ไปคอรัปชั่น ไปลักเล็กขโมยน้อย

 แล้วในที่สุดก็ต้องถูกจับเข้าคุกเข้าตะรางไป

นี่คือความฉลาดแต่ไม่เฉลียว

 ถ้าเป็นคนที่ฉลาดและเฉลียว

 ก็ต้องคิดว่าเงินทองก็เป็นประโยชน์

 สามารถนำมาใช้อะไรได้หลายอย่าง

 เช่นมาดูแลรักษาอัตภาพร่างกาย

ให้อยู่ได้ด้วยความสุขด้วยความสบาย

 ถ้ามีเหลือก็สามารถนำเอาไป

สงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความสุข

 เมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นก็ทำให้จิตใจมีความสุข

 มีความสงบ เพราะจิตใจได้รับการชำระ

จากการช่วยเหลือผู้อื่น

 เป็นการชำระความเห็นแก่ตัว

 ความตระหนี่ ความโลภ

 อันเป็นเหตุที่ทำให้จิตใจมีความเศร้าหมอง

ไม่เบิกบาน ไม่สดชื่น ไม่มีความสุข

นี่คือคุณของเงินทอง

 แต่ถ้าไม่มีความเฉลียวว่าวิธีหาเงินนั้นมี ๒ วิธี

คือหามาโดยปราศจากโทษ

กับหามาแล้ว เกิดโทษตามมา

ถ้าไม่เฉลียว ก็จะไม่สนใจ

คิดแยกแยะว่าวิธีไหนถูก

 วิธีไหนควร ถ้ามีความเฉลียว

ก็จะต้อง คิดเสียก่อนว่า

 การไปหาเงินทองมาแบบนี้ถูกหรือไม่

หรือผิดอย่างไร เช่นไปลักทรัพย์

 โกหกหลอกลวง ฉ้อโกง อย่างนี้ถูกหรือผิด

 ถ้ามีความเฉลียวก็จะรู้ว่า

การกระทำแบบนี้เป็นการทุจริต

 ทำไปแล้วต้องมีโทษตามมา

 ถ้าเป็นเช่นนั้นอย่าทำดีกว่า

ถึงแม้จะอดอยากยากจน

 ก็ไม่มีโทษร้ายแรงเท่ากับการทุจริต

นี่คือความเฉลียว เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้น

ก็จะไม่กล้าไปทำในสิ่งที่ ผิดที่เป็นโทษ

ทำแต่สิ่งที่เป็นคุณ ที่สุจริต

 เช่นทำมาหากินรับจ้างกินเงินเดือน

เป็นการกระทำที่ ไม่มีโทษตามมา

ตำรวจไม่จับเข้าคุกเข้าตะราง

 นี่คือความหมายของ

ความเฉลียวกับความฉลาด

ถ้าฉลาดอย่างเดียวไม่เฉลียวก็ร่ำรวยได้

เป็นเศรษฐีได้ แต่ชีวิตจะมีแต่ความวุ่นวาย

 ต้องคอยแก้ไขปัญหาต่างๆ

 ที่จะตามมาตลอดเวลา

 เพราะเมื่อทำอะไรที่ผิดไปแล้ว

โทษก็จะต้องตามมา ไม่ช้าก็เร็ว

ก็จะต้องถูกลงโทษ

 ในขณะที่โทษยังไม่ตามมา

ก็มีแต่ความทุกข์ความวุ่นวายใจ

คนเราเวลาทำอะไรที่ผิดศีลผิดธรรมแล้ว

 จิตใจจะไม่สงบ ไม่นิ่ง จะต้องมีความวิตก

 มีความกังวลห่วงใย

ว่าจะต้องถูกจับในวันใด วันหนึ่ง

 นี่ก็เป็นโทษอีกอย่างหนึ่ง เป็นโทษทางใจ

ถึงแม้จะมีบ้านหลังใหญ่โตราคาเป็นสิบๆล้าน

มีสมบัติข้าวของเงินทองมากมาย

แต่เป็นทรัพย์ที่หามาด้วยความไม่ถูกต้อง

เวลานอนก็นอนแบบไม่สบายใจ มีแต่กังวล

 กินก็กินไม่เอร็ดอร่อย

 อยู่แบบกินไม่ได้นอนไม่หลับ

 เพราะการกระทำมีโทษนั่นเอง

 ในทางตรงกันข้ามถ้าหาทรัพย์มาด้วยความสุจริต

 ถูกต้องตามหลักศีลธรรม ไม่ผิดกฎหมาย

เงินทองที่ได้มาทุกบาทจะไม่มีโทษ

ไม่สร้างความวุ่นวายใจ จะอยู่อย่างสุขสบาย

กินก็สบายนอนก็สบาย ไม่ต้องห่วง

 ไม่ต้องกังวล ว่าจะมีใครมาจับเข้าคุกเข้าตะราง

 นี่คือความหมายของความฉลาดและความเฉลียว

ฉลาดคือรู้จักหาทรัพย์

 แต่วิธีหาทรัพย์ก็ต้องเฉลียว

ต้องรู้ว่าวิธีที่หามานั้นถูกหรือผิด

 ถ้าผิดก็อย่าไปหามา ถึงแม้จะได้มาแต่ไม่คุ้มค่า

 เพราะความสุขที่ได้จากการใช้ทรัพย์

จะไม่พอเพียงกับความทุกข์

 ที่เกิดจากการไปหาทรัพย์มาโดยมิชอบ

 ความทุกข์ใจจะกลบความสุข

ที่เกิดจากการได้ใช้ทรัพย์

 เวลาใช้เงินใช้ทอง

 ไปเที่ยวจับจ่ายใช้สอยอะไรก็ตาม

 จะมีความรู้สึกจืดๆ ไม่ค่อยสบายใจ

เพราะมีความกังวลอยู่ว่า จะถูกจับหรือไม่นั่นเอง

 แต่ถ้าหามาด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความสุจริตแล้ว

 เวลาใช้ทรัพย์ก็จะมีแต่ความสุข โดยถ่ายเดียว

ไม่มีความทุกข์ที่เกิดจากการกระทำผิดมาบดบัง

 การที่จะฉลาดเฉลียวได้ก็ต้องอาศัย

คำสอนของพระพุทธเจ้า คือแสงสว่างแห่งธรรม

 ดังที่ได้มาที่วัดกันอย่างสม่ำเสมอ

 มาฟังธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ฟังถึงเหตุของความเจริญ

และเหตุของความทุกข์ เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ

ที่นำมาซึ่งความเจริญ ก็บำเพ็ญแต่เหตุนั้นๆไป

ความเจริญก็จะตามมา

อะไรที่เป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์

 ความวุ่นวายใจ ก็ละเสีย

 ความทุกข์ ความเสื่อมเสีย

 ความวุ่นวายใจทั้งหลาย ก็จะไม่ตามมา

ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังธรรม

ก็จะไม่มีแสงสว่างไปดับความมืดบอด

 ที่เกิดจากความหลงภายในใจ

 ก็จะดำเนินชีวิต ไปในทางที่ผิด

ดังคนที่อยู่นอกวัดมักจะทำกัน

 จะสังเกตเห็นได้ว่า คนที่อยู่นอกวัด

มักจะฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์

ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ

โกหกหลอกลวง เสพสุรายาเมา เล่นการพนัน

 เที่ยวกลางคืน เกียจคร้าน

เป็นสิ่งที่ทำกันอยู่เป็นปกติวิสัย

 เมื่อทำไปแล้ว ก็มีแต่เรื่องวุ่นวายตามมา

 ดังที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่แทบทุกวัน

 มีข่าวฆ่ากัน ชิงทรัพย์กัน

ทำร้ายกันอยู่ตลอดเวลา

นี่ก็เป็นเพราะว่าจิตใจของคนที่อยู่นอกวัดนั้น

 มีความมืดบอดครอบงำ อยู่นั่นเอง

 ไม่มีแสงสว่างแห่งธรรมจึงไม่รู้จักผิด

ไม่รู้จักถูก ไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว

ก็เลยทำแต่สิ่งที่ผิดสิ่งที่ชั่ว

เมื่อทำไปแล้วก็ต้องรับเคราะห์กรรมไป

 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นเลย

 ถ้าทุกคนแสวงหาเวลา

สละเวลาสักอาทิตย์ละครั้ง

เข้าวัดเข้าวากัน มาฟังเทศน์ฟังธรรม

 มาปฏิบัติธรรม ชำระขัดเกลาความมืดบอด

ที่มีอยู่ภายในใจให้ค่อยๆจางไป

เมื่อความมืดบอดจางไปมากน้อยเพียงไร

 ความสว่างในใจก็จะมีมากขึ้นเพียงนั้น
เหมือนกับคนที่ถูกปิดตาไว้

ถ้าเอาสิ่งที่ปิดตาออกได้

ก็จะสามารถเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้

 การที่จะทำให้คนที่ถูกปิดตา

ให้มองเห็นสิ่งต่างๆได้

 ให้เห็นว่าสีต่างๆ เช่นสีแดง สีเขียว

 สีขาว เป็นอย่างไร

 ก็ต้องบอกให้เขาเอาที่ปิดตาออก

ถ้ายังมีสิ่งปิดกั้นตาอยู่ จะไม่สามารถมองเห็นได้

 สีเดียวที่เห็นก็คือสีดำ

เพราะเวลาตาถูกปิดกั้น ก็จะไม่เห็นสีอื่น

 จะเห็นแต่สีดำอย่างเดียว

 จะบอกเขาว่าสีแดง สีเขียว สีขาว สีเหลือง

 เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

อธิบายอย่างไรเขาก็จะไม่สามารถเข้าใจได้

แต่ถ้าช่วยบอกเขา

ให้ถอดสิ่งที่ปิดตาเขาอยู่ออกไป

 เมื่อสิ่งที่ปิดกั้นตาถูกเปิดออก

 เขาก็จะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้

ก็จะรู้จะเข้าใจได้ทันทีว่า

สีเขียว สีแดง สีเหลืองนั้นเป็นอย่างไร

ฉันใดความมืดบอดที่อยู่ในใจ

ก็เป็นเหมือนกับสิ่งที่ปิดกั้นดวงจิต

ไม่สามารถเห็นผิดถูกดีชั่วได้

ถ้าสอนให้เขาเอาสิ่งที่เป็นเครื่องปิดกั้นใจ

เขาออกได้ เขาก็จะสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ได้

เหมือนกับคนที่ไม่มีอะไรปิดกั้นใจ

เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าจึงสอนให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย

ปฏิบัติธรรม เพราะเป็นวิธีที่จะทำให้

โมหะความมืดบอด ที่ปิดกั้นดวงจิตดวงใจ

 ไม่ให้เห็นผิดถูกดีชั่วนั้น

 ให้สลายหมดไป ทำให้มองเห็นได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

กัณฑ์ที่ ๑๗๓ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๖

 (กำลังใจ ๑๒)

“ฉลาดกับเฉลียว”






ขอบคุณที่มา fbb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 ตุลาคม 2559
Last Update : 13 ตุลาคม 2559 14:24:58 น.
Counter : 790 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ