Group Blog
All Blog
### พระพุทธเจ้าสอนให้ยอมรับกับสภาพความเป็นจริง ###











“พระพุทธเจ้าสอนให้ยอมรับ

กับสภาพความเป็นจริง”

ชีวิตของเราก็เหมือนกับอากาศ

บางวันก็แจ่มใส บางวันก็มีพายุฝน

พายุลมเข้ามากระหน่ำต่อชีวิตของเรา

 เป็นเรื่องปกติธรรมดา

 ถ้าเกิดแล้วย่อมต้องมาประสบกับการเปลี่ยนแปลง

ของสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้

ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา

เป็นเรื่องที่คนที่มาเกิดจะต้องยอมรับกันทุกคน

 ถ้ารับได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร

 ถ้ารับไม่ได้ก็จะไม่มีความสุข

จะวุ่นวายจะทุกข์ทรมานใจ

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พวกเรา

ยอมรับกับสภาพของความเป็นจริง

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จะเจริญ หรือจะเสื่อม

จะเกิดหรือจะดับก็เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถ

ที่จะไปควบคุมบังคับได้

สิ่งเดียวที่เราสามารถควบคุม บังคับได้ ก็คือใจของเรา

ถ้าเราควบคุมบังคับใจของเราให้ตั้งอยู่ในความสงบได้

ใจของเราก็จะไม่เดือดร้อนกับ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น

 ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ดีหรือเหตุการณ์ที่ไม่ดีก็ตาม

 เพราะใจไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น ใจเป็นเพียงผู้รับรู้

 ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คือร่างกาย

แต่ร่างกายเขาก็ไม่มีการรับรู้

 ร่างกายเขาเป็นเหมือนกับ ศาลาหลังนี้

เวลาฝนตกศาลาก็ไม่รู้ว่าฝนตก

 แต่คนที่อยู่ในศาลาคือใจ

ที่รับรู้เรื่องของร่างกายนี้ เป็นผู้รู้

 แต่ผู้ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 ผู้ที่นั่งอยู่ในศาลานี้ก็ไม่ได้เปียกฝน

 เหมือนกับหลังคาของศาลาหลังนี้

 แต่หลังคาของศาลานี้เขาไม่เดือดร้อน ฝนตกก็ตกไป

 เปียกก็เปียกไป คนที่อยู่ในศาลาถ้าไม่ต้องการให้ฝนตก

 ต้องการให้ฝนหยุดก็จะเกิดความเดือดร้อนใจขึ้นมา

 แต่ถ้าไม่ได้ต้องการฝนจะตกก็ปล่อยเขาตกไป

 เพราะว่าไปห้ามเขาไม่ได้ไปห่วงเขาไม่ได้

 ใจก็จะไม่เดือดร้อน อย่างตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ในศาลา

 เราก็ไม่เดือดร้อนกับการตกของฝน

ฝนจะตกก็ปล่อยเขาตกไป

ถ้าเราอยากจะให้เขาหยุด เราก็จะเดือดร้อน

ดังนั้นเราต้องฝึกทำใจให้รับรู้เฉยๆ

 เพราะนี่คือธรรมชาติของใจที่จะทำให้ใจไม่เดือดร้อน

ทำให้ใจไม่ทุกข์ ไม่วุ่นวายไปกับเรื่องราวต่างๆ

คือให้สักแต่ว่ารู้นี้เอง ให้รับรู้เฉยๆ

อย่าไปรู้แล้ววิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่รับรู้

แล้วก็เกิดความอยากตามมา

เช่นรับรู้แล้ววิพากษ์วิจารณ์ว่า ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้

 ก็จะเกิดความอยาก ให้เป็นอย่างนั้น

หรือเป็นอย่างนี้ขึ้นมา

พอเขาไม่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 ก็จะเกิดความวุ่นวายใจขึ้นมา

 เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา

แต่ปัญหาของใจก็คือไม่รู้ว่า

ความสุขที่แท้จริงของใจคือการรับรู้เฉยๆ

คือการปล่อยวาง รับรู้แล้วก็ปล่อยวาง

เห็นแล้วก็ปล่อยวาง ได้ยินแล้วก็ปล่อยวาง

 สิ่งที่เกิดเขาก็เกิดแล้วเขาก็ผ่านไป

 สิ่งที่ดับเขาดับแล้วมันก็ผ่านไป

แต่ผู้รับรู้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม

ผู้รับรู้คือใจนี้ไม่มีวันดับไม่มีวันตาย

 แต่มีวันสุขหรือมีวันทุกข์ วันสุขก็คือ

วันที่ใจปล่อยวาง ใจไม่มีความอยาก

ให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้

 วันทุกข์ก็คือวันที่ใจเกิดความอยากขึ้นมา

อยากให้เป็นอย่างนั้นอยากให้เป็นอย่างนี้

พอไม่ได้เป็นดังที่ใจอยากก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

ดังนั้นถ้าเราอยากจะมีแต่วันสุขไม่มีวันทุกข์

เราก็ต้องสอนใจให้รู้เฉยๆ ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์

ว่าดีหรือไม่ดี เขาจะดีก็เป็นเรื่องของเขา

 เขาจะไม่ดีก็เป็นเรื่องของเขา

 เขาไม่มีวันที่จะทำร้ายเราได้

 เขาไม่มีวันที่จะทำให้เราดีขึ้นมาได้

 เขาไม่มีวันที่จะทำให้เราเลวลงไปได้

 สิ่งที่จะทำให้เราเลวหรือดีขึ้นไป ก็คืออยู่ที่ตัวเราเอง

 อยู่ที่ว่าเราหยุดการวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือเปล่า

 หยุดความอยากได้หรือเปล่า

 ถ้าเราหยุดได้เราก็จะดี เราก็จะสบาย

 ถ้าเราหยุดไม่ได้เราก็จะทุกข์ เราก็จะวุ่นวายใจ

ทุกวันนี้พวกเราที่ทุกข์กันวุ่นวายกันก็เพราะว่า

ราวิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

 วิพากษ์วิจารณ์ว่า ดีบ้างไม่ดีบ้าง กลางๆบ้าง

 แล้วก็เกิดความอยากต่างๆ ขึ้นมา

 ถ้าดีก็อยากจะให้เป็นไปนานๆ

ถ้าไม่ดีก็อยากจะให้หมดไปเร็วๆ

 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเขาไม่อยู่ภายใต้อำนาจของเรา

คำสั่งของเราว่าให้หมดไป หรือให้อยู่ไปนานๆได้

เขามีเหตุมีปัจจัยที่ทำให้เขามา

พอเหตุปัจจัยที่ทำให้เขามาหมดไป เขาก็หายไปเอง

 เช่นฝนฟ้าอากาศตอนนี้

ก็มีเหตุปัจจัยทำให้เขาเป็นอย่างนี้

พอเหตุปัจจัยนั้นหมดไปเขาก็หายไป

ดังนั้นเราต้องเข้าใจถึงสิ่งต่างๆในโลกนี้

ว่าเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะไปสั่งได้

 แล้วก็เป็นสิ่งที่เราไม่ควร ไปวิพากษ์วิจารณ์

ไปเกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ

ยินดียินร้ายกับสิ่งต่างๆเหล่านี้

เพราะว่าเราไม่ได้ไม่เสีย กับสิ่งต่างๆเหล่านี้

เราอาจจะคิดว่าเราได้ เช่นเวลาเราได้ข้าวของมา

 ได้เงินทองมา ได้บุคคลนั้นบุคคลนี้มา

 แต่ความจริงเราเพียงแต่รับรู้เรื่องของการได้

 ของการเสียเท่านั้น ของเขาก็มีอยู่อย่างนี้ของเขา

เขามาแล้วเดี๋ยวเขาก็ไป เราได้ร่างกายมา

 เดี๋ยวร่างกายก็หมดไป

เราได้ร่างกายของคนอื่นมา

เดี๋ยวร่างกาย ของคนอื่นก็หมดไป

เช่นร่างกายของสามี ร่างกายของภรรยา

ร่างกายของลูก ได้เขามาเราคิดว่าเราเป็นเจ้าของ

 แต่เขาไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องไปตามเวลาของเขา

 ร่างกายของเราก็ต้องไปตามเวลาของเขา

นี่คือความจริงของโลกนี้ที่เรามารับรู้

 แต่เราไม่รับรู้เฉยๆ

เรารับรู้แล้วเราหลงกับสิ่งที่เรารับมา

 ดีใจเสียใจกับสิ่งที่เรารับมา

ถ้าสิ่งที่เราชอบเราได้มาเราก็ดีใจ

ถ้าสิ่งที่เราไม่ชอบได้มาเราก็เสียใจ

ถ้าสิ่งที่เราชอบหมดไปเราก็เสียใจ

 ถ้าสิ่งที่เราไม่ชอบหมดไปเราก็ดีใจ

 ก็มีเท่านั้นชีวิตของเรา ความจริง มีแค่ดีใจเสียใจ

ไปกับเหตุการณ์ต่างๆ

แต่เราไม่มีเราไม่ได้อะไรเป็นของเรา

ไม่มีอะไรที่เราสามารถบอกว่า เป็นของเราได้

 วันเวลาจะพิสูจน์ความจริงอันนี้ว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างเราได้มามันจะต้องหมดไปในที่สุด

ดังนั้นเราไม่ควรที่จะไปวุ่นวายไปกับสิ่งต่างๆ

 ที่เราได้มาหรือเสียไป ถ้าเราฝึกใจสอนใจให้รู้เฉยๆ

 ให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีมาแล้วก็ต้องมีไป

 ให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเราไม่สามารถ

ไปสั่งการไปบังคับ ให้เขาเป็นไป

ตามความต้องการของเราได้

ถ้ารู้อย่างนี้แล้วเราก็จะรู้เฉยๆ ได้ สักแต่ว่ารู้ได้

 แต่ถ้าเรายังไม่สามารถรู้เฉยๆได้ ก็เป็นเพราะว่า

มีความอยากที่มีกำลังมากอยู่ภายในใจของเราอยู่

 ความอยาก ความหลง คือการวิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่างๆ

 ยังไม่ยอมหยุดทำงาน

เราจึงต้องมาหยุดการทำงาน ของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก่อน

 หยุดการวิพากษ์วิจารณ์ หยุดการอยากต่างๆ

 ด้วยการทำใจให้สงบก่อน

พอใจสงบแล้วใจก็จะสักแต่ว่ารู้

การวิพากษ์วิจารณ์ก็จะระงับตัวลงไป

 ความอยากต่างๆ ก็จะระงับตัวลงไป

เหลือแต่ความว่างเฉยเหลือแต่ความสุข

อันนี้แหละเป็นจุดที่เราควรจะเข้าไปให้ถึงก่อน

 เพราะถ้าเราเข้าถึงจุดนี้แล้ว

 เราก็จะสามารถใช้คำสอน ของพระพุทธเจ้า

ที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่ทุกวันนี้

 เช่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง

ทุกสิ่งทุกอย่างมีเกิดมีดับ

 ทุกสิ่งทุกอย่างเราควบคุมบังคับไม่ได้

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกข์ถ้าเราไปอยาก

 ให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 พอเราเข้าถึงจุดที่เราสามารถควบคุมความอยากได้

ควบคุมการวิพากษ์วิจารณ์ได้

 เราก็สามารถเอาคำสอน

ของพระพุทธเจ้ามาสอนใจได้ สอนใจให้รู้เฉยๆ

ให้หยุดวิพากษ์วิจารณ์ ให้หยุดความอยากต่างๆ

 พอเราหยุดได้แล้วเราก็จะไม่เดือดร้อน

กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นหรือดับไป

อะไรจะเกิดก็รู้เฉยๆ อะไรจะดับก็รู้เฉยๆ

รู้ว่าสิ่งที่เกิดที่ดับนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา

 ไม่ใช่ของเรา เราไม่เกิดไม่ดับไปกับสิ่งต่างๆ

 เราเพียงแต่เป็นผู้รับรู้เท่านั้นเอง

นี่คือถ้าเราฉลาด ถ้าเรามีความรู้

ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมา

คอยกำกับควบคุมใจของเรา

เราจะสามารถทำให้ใจนี้ไม่วุ่นวาย

ไม่เดือดร้อนกับการเกิด กับการดับ

ของสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้

เราก็จะอยู่อย่างมีความสุข

และจะปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่ยึดไม่ติด

จะไม่หาสิ่งต่างๆ อีกต่อไป

 ถ้าร่างกายนี้ ถึงวาระที่จะหยุดทำงาน

ก็จะหยุดการแสวงหาสิ่งต่างๆ ผ่านทางร่างกายต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖

“รู้เฉยๆ”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 มิถุนายน 2559
Last Update : 13 มิถุนายน 2559 6:36:42 น.
Counter : 618 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ