Group Blog
All Blog
### ประโยชน์ของการอยู่กับครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ ###















“ประโยชน์การอยู่กับครูบาอาจารย์

ผู้มีประสบการณ์”

การได้อยู่กับครูบาอาจารย์

ได้อยู่กับผู้ที่มีประสบการณ์นี้จะเป็นประโยชน์มาก

 เพราะท่านจะคอยแก้ปัญหาให้กับเรา

คอยแนะแนวทางของการปฏิบัติที่ถูกต้อง

 เพราะท่านผ่านมาแล้ว ทั้งทางที่ผิด และทางที่ถูก

 ทุกคนนี้ต้องไปผิดทางกันก่อน

จึงจะไปเจอธรรมที่ถูกได้

 ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ มาคอยสอนคอยเตือน

 ก็จะไปผิดทางแล้วก็จะกู่ไม่กลับ

 แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ พอเดินออกนอกลู่นอกทาง

 ท่านก็จะคอยเตือนอยู่เรื่อยๆ

ครูบาอาจารย์นี้จึงเรียกว่าเป็นกัลยาณมิตร

ผู้ปฏิบัตินี้จำเป็นจะต้องมีกัลยาณมิตร จึงจะไม่หลงทาง

 จึงจะปฏิบัติไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้

กัลยาณมิตรที่ดีที่สุดก็คือพระพุทธเจ้า

รองลงมาก็คือ พระสาวกทั้งหลาย

ตอนนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าก็ต้องอาศัยพระสาวก

 พระที่เป็นสุปฏิปันโน พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย

 เป็นกัลยาณมิตร ก็คือการเข้าหาท่าน

เพื่อได้รับการอบรมฟังเทศน์ฟังธรรม

 ฟังประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดจากการปฏิบัติ

 แล้วนำเอามาใช้กับการปฏิบัติของเรา

เราก็จะปฏิบัติก้าวหน้าไปเรื่อยๆ

 ไม่มีวันถดถอย ไม่มีวันหลงทาง

ทางพระพุทธศาสนาจึงบังคับเวลาที่พระบวชใหม่นี้

จะต้องอยู่กับครูบาจารย์อย่างน้อย ๕ พรรษา

 ไม่ให้ไปอยู่ตามลำพัง

 เพราะเปรียบเหมือนเป็นเด็กทารกที่คลอดใหม่

ต้องมีพ่อแม่คอยเลี้ยงดู คอยสอนให้รับประทาน

 คอยสอนให้ดูแลร่างกาย สอนให้เดิน

ให้ยืนให้อะไรต่างๆ สอนให้พูด

ถ้าไม่มีพ่อแม่คอยสั่งคอยสอน

ก็จะไม่สามารถที่จะเจริญเติบโตได้

ถ้าเด็กคลอดออกมาแล้วปล่อย ให้เด็กดูแลตัวเอง

นี้เด็กก็จะต้องตายไปอย่างแน่นอน

ฉันใดพระบวชใหม่ก็เช่นเดียวกัน

เป็นเหมือนทารกที่คลอดใหม่

 จำเป็นจะต้องอยู่กับครูบาอาจารย์

อย่างน้อยก็ ๕ พรรษาขึ้นไป

แล้วก็ถ้าได้ ๕ พรรษาแล้วถ้าครูบาอจารย์ยังเห็นว่า

ยังไม่สามารถที่จะพึ่งตนเองได้ก็ยังจะไม่ปล่อย

จะต้องให้อยู่กับครูบาอาจารย์ต่อไป

บางท่านอาจจะถึง ๑๐ พรรษา ๒๐ พรรษา

กว่าจะออกไปอยู่ตามลำพังได้

นี่คือเรื่องของการปฏิบัติต้องมีครูบาอาจารย์

แต่ไม่ได้หมายความว่า

จะต้องมีครูบาอาจารย์มานั่งสมาธิกับเรา

 ครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะแนว เป็นผู้ให้คำปรึกษา

 เป็นผู้บอกทาง แต่เวลาปฏิบัตินี้

ท่านไม่ต้องมาปฏิบัติกับเรา

 เวลาเดินจงกรมท่านไม่ต้องพาเราเดิน

 เวลานั่งสมาธิไม่ต้องพาเรานั่ง

เพราะเรารู้แล้วว่าวิธีนั่งนั่งอย่างไร วิธีเดินเดินอย่างไร

 เราก็ทำของเราไป ถ้าจะให้ท่านมาพาเรา

แล้วพวกเรามีเป็นร้อยแล้วท่านจะมาพาเราเดิน

 พาเรานั่งไหวหรือ ท่านเป็นคนๆเดียว

ก็เหมือนกับอาจารย์ที่โรงเรียนที่เราไปเรียนหนังสือ

อาจารย์ก็ไม่ได้กลับมาบ้านกับเรา

มาทำการบ้านอะไรต่างๆให้เรา เราต้องทำเอง

 ดูหนังสือเอง ทำการบ้านเอง

เวลาเข้าห้องเรียนก็ต้องตั้งใจฟังเท่านั้นก็พอ

 หน้าที่ของอาจารย์ก็มีหน้าที่คอยสอน

คอยบอกคอยแก้ปัญหาให้ ถ้ามีปัญหาก็ไต่ถามได้

 ติดขัดอยู่ตรงไหน เป็นเพราะอะไร

เพราะว่าเราไม่ม่ประสบการณ์ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่

 เป็นเหตุที่ทำให้เป็นปัญหานี้อยู่

แต่ผู้ที่ประสบการณ์แล้วจะรู้ทันทีเลยว่าอะไรเป็นเหตุ

ก็จะสามารถแก้ปัญหาให้ กับเราได้

อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

จึงจำเป็นจะต้องมีครูบาอาจารย์

 ครูบาอาจารย์ก็ต้องเป็นครูบาอาจารย์ที่รู้จริง เห็นจริง

ถ้าไปได้ครูบาจารย์ที่รู้ผิดก็จะได้ความรู้ที่ผิดๆมา

ดังนั้นถ้าเราไม่มั่นใจในครูบาอาจารย์รูปใด

ก็ขอให้ยึดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก

 ศึกษาพระสูตร คำสอนต่างๆ ของพระพุทธเจ้า

 เช่นมงคลสูตร หรืออย่างวันนี้วันอาสาฬหบูชา

 ก็ศึกษาธัมมจักรกัปปวัตนสูตร

อันนี้แหละคือคำสอนครั้งแรกของพระพุทธเจ้า

ที่ทรงสอนให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรม

คือพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ สอนอริยสัจ ๔ สอนมรรค ๘

 ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนเป็นผู้ปฏิบัติธรรม

ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ไม่รู้จักมรรค ๘

ไม่รู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็แสดงว่า โง่

หรือว่าไม่สนใจที่จะศึกษา ถ้าไม่ศึกษาแล้ว

จะไปรู้ทาง ที่ถูกต้องได้อย่างไร

 อันนี้มีอยู่ในคัมภีร์ทุกคนเข้าไปหาอ่านได้

 ในสมัยนี้ก็หาได้ในอินเทอร์เน็ต

ถ้าต้องการอ่านพระสูตรไหนก็เขียนชื่อพระสูตรเข้าไป

 ก็จะมีพระสูตรนั้นออกมา

พระสูตรสำคัญๆก็มี ๒ -๓ พระสูตรเท่านั้น

คือ พระธัมมจักรกัปปวัตนสูตร มงคลสูตร

สติปัฏฐานสูตร อนันตลักขณสูตร

ถ้ารู้พระสูตรเหล่านี้ก็จะไม่หลงทาง

ใครสอนอะไรถ้ามันออกนอกลู่นอกทางเราก็จะรู้ทันที

ดังนั้นเราต้องไขว่คว้าแล้วต้องดูแผนที่ก่อน

ก่อนที่จะออกเดินทางต้องดูแผนที่ก่อน

ว่าทางจะไปนั้นไปทางไหน

ไม่ใช่ไปโดยไม่ต้องศึกษาแผนที่

ไปแล้วค่อยไปไปศึกษาระหว่างทาง

 จะไปรู้ได้อย่างไรว่าถูกหรือไม่

ถ้าไม่มีแผนที่ถ้าไม่มีคนบอกทาง

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำเนินปฏิบัติ

ทางพระพุทธศาสนา คือศึกษาที่เรียกว่า “ปริยัติธรรม”

การศึกษาทางที่จะพาให้ไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์

การแสดงธรรม ของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้ง

ก็เป็นการสั่งสอนทางนี่เอง

 เช่นธัมมจักรที่ทรงแสดงไว้ในวันอาสาฬหบูชา

 ก็เป็นทางที่จะดับความทุกข์ต่างๆ ให้หมดไป

เป็นคำสอนที่ชี้เหตุว่าความทุกข์เกิดจากอะไร

 เกิดจากความอยาก

และการที่จะดับความทุกข์ดับได้อย่างไร

ก็ต้องดับด้วยการหยุดความอยาก

และอะไรละ ที่จะทำให้หยุดความอยากได้

 ก็คือมรรค มรรคก็คือศีล สมาธิ ปัญญา

 หรือทาน ศีล ภาวนา หรือมรรคที่มีองค์ ๘ นี้เอง

 มีชื่อต่างกันแต่สาระนี้เป็นอันเดียวกัน

ถ้าเรารู้แล้วเราก็จะได้ปฏิบัติได้ถูกต้อง

 เช่นเราทำบุญนี้ เราไม่ได้ทำบุญให้ร่ำให้รวย

เราทำบุญเพื่อหยุดความอยาก

 เราอยากจะทำเงินไปเที่ยวไปหาความสุข

 เราก็หยุดมันเสีย เอาเงินไปเที่ยวนี้มาทำบุญ

 แค่นี้ก็เรียกว่าหยุดความอยาก

เวลาเราจะฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเราก็หยุดมัน

 เราก็หยุดความอยาก เราก็ถือศีล ๕

 เราก็หยุดความอยากได้ อยากจะฆ่าคนก็ฆ่าไม่ได้

 อยากจะลักทรัพย์ก็ลักไม่ได้

อยากจะโกหกก็โกหกไม่ได้

 นี่ก็คือเป็นการหยุดความอยากอีกรูปแบบหนึ่ง

เวลาเจริญสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้

ก็เป็นการหยุดความอยากอีกเหมือนกัน

 ความอยากคิด เพราะคิดแล้ว

ก็จะเกิดความอยากทำโน่นทำนี่อยากมีนั่นมีนี่ตามมา

 พอหยุดความคิดได้ ความอยากก็จะหยุดไป

 แล้วพอจะตัดความอยากให้ถาวรก็ใช้ปัญญาสอนว่า

 อย่าไปอยากได้อะไร อย่าไปอยากมีอะไร

 เพราะความอยากนี้ไม่ได้ทำให้เราได้ความสุขที่แท้จริง

นอกจากไม่ได้ความสุขแล้วยังได้ความทุกข์ตามมา

 เพราะสิ่งที่เราอยากได้นั้นจะต้องมีวันหมดไป

เวลาได้มาเราดีใจ แต่เวลาหมดไปเราจะเสียใจ นี่คือปัญญา

ถ้าสอนใจด้วยปัญญาแล้วใจจะไม่อยากได้อะไร

เพราะไม่อยากจะได้ความทุกข์นั่นเอง

 เพราะสิ่งต่างๆที่อยากได้ ล้วนเป็นความทุกข์ทั้งนั้น

ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา เป็นบุตรธิดา

เป็นเงินทองข้าวของอะไรต่างๆมันมีวันหมดได้

ของพวกนี้สักวันหนึ่งมันต้องจากเราไป

เวลามันจากเราไปเวลานั้นละเราจะทุกข์ใจ

ถ้าไม่อยากจะทุกข์ใจ ก็อย่าไปมีสามี อย่าไปมีภรรยา

อย่าไปมีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

ถ้ามีก็มีเท่าที่จำเป็นมีไว้ สำหรับเลี้ยงดูร่างกาย

 ถ้าหมดก็ถือว่าถึงเวลาตายเท่านั้นเอง

ถ้ายอมตายก็ไม่มีปัญหาอะไร

เพราะรู้ดีกว่าไม่ช้าก็เร็ว

 สักวันหนึ่งร่างกายนี้จะต้องตายไปอยู่ดี

 นี่คือเรื่องของปัญญา ถ้าคิดแบบนี้แล้ว

ใจจะไม่ทุกข์กับอะไรทั้งนั้น

 ใจจะอยู่กับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาได้

ไม่ว่าจะเป็นการดับของทรัพย์

ของสมบัติข้าวของเงินทอง สูญเสียทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองต้องมาอยู่แบบขอทานก็อยู่ได้

ไม่เดือดร้อน สูญเสียคนรักไป ก็ไม่ร้องห่มร้องไห้

 สูญเสียลูกสูญเสียอะไรไปก็ไม่เดือดร้อน

ดีเสียอีกไม่ต้องเลี้ยงมันให้เหนื่อยยาก

อยู่คนเดียวสบายกว่า มีลูกอย่าไปคิดว่ามีความสุข

ต้องหาเงินหาทองมาเลี้ยงมัน กว่ามันจะโตนี้

ไม่รู้หมดเงินทองไปสักเท่าไร ถ้ามันจะจากเราก็ดี

ถือว่าหมดเวรหมดกรรมกัน

นี่คือคิดด้วยปัญญาจะคิดแบบนี้

ถ้าคิดด้วยกิเลสก็ มันเป็นไปไม่ได้

รักเขาห่วงเขากลัวเขาจะเป็นอย่างนั้น

กลัวเขาจะเป็นอย่างนี้ อันนี้คิดแบบกิเลส

 พอเขาจากไปก็เศร้าโศกเสียใจ

 แทนที่จะมองในแง่บวกว่าดี จะได้หมดภาระกัน

ไม่ต้องมาเลี้ยงดูกัน ไม่ต้องมาคอยห่วงมาคอยหวงกัน

 นี่คือเรื่องของการปฏิบัติธรรม

 ต้องศึกษาต้องฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ

ฟังจากพระบ้าง อ่านจากหนังสือพระพุทธเจ้าบ้าง

 เพื่อเราจะได้มีการเปรียบเทียบดูว่า

พระที่สอนนี้สอนถูกตามหลักธรรม

ของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า

 ถ้าเราไม่ศึกษาหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

มัวแต่ฟังเทศน์ฟังธรรมของพระ

เราก็ไม่รู้ว่าท่านพูดถูกหรือไม่

จริงหรือไม่ บางทีเราก็ไม่รู้

ดังนั้นขอให้เราพยายามศึกษากันให้ถ่องแท้

ให้เรารู้ว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น

สอนให้เราทำอะไรกัน

 แล้วเราก็จะไปหาพระรูปอื่นก็ได้

เพราะท่านจะช่วยเสริม ท่านมีประสบการณ์

ท่านก็จะขยายอธิบายให้ชัดเจน ขึ้นก็ได้

 ถ้าท่านรู้จริงเห็นจริง ถ้าท่านไม่รู้จริงเห็นจริง

ท่านก็จะพูดให้เรางงก็ได้ ทำให้เราสับสนก็ได้

ถ้าฟังแล้วงงแล้วสับสนก็ถือว่าใช้ไม่ได้

 ถ้าขัดกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ก็ถือว่าใช้ไม่ได้ ถ้าเราไม่ศึกษาหลักธรรมไว้

เราจะไม่รู้ แล้วเราก็จะถูกหลอกได้ง่าย

 นี่แหละคือปัญหาของชาวพุทธเราทุกวันนี้

ไม่ศึกษาหลักธรรม ไม่ศึกษาจากต้นฉบับ

 ไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ไปฟังเทศน์ฟังธรรม ของพระรูปนั้นรูปนี้

โดยที่ไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร

พูดจริงหรือไม่จริงถูกหรือไม่ถูก

แล้วพอเกิดปัญหาขึ้นมา

ก็เกิดความเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา

ความจริงควรจะเสื่อมศรัทธาในพระ

ที่ทำให้ความเสื่อมศรัทธา ศาสนาไม่วันเสื่อม

 คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นของแท้ของจริง

เราไม่ไปศึกษากันเองเท่านั้นเอง

 พอไปศึกษาของปลอมเข้า พอรู้เข้าก็ทำให้เสื่อม

กับของจริงไปด้วย อันนี้ไม่ถูก

คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก

 ไม่มีวันเสื่อมไปกับกาลกับเวลา

 เป็นคำสอนที่เป็นสวากขาโต ภควตาธัมโม

เป็นคำสอนที่ถูกต้องตลอดเวลา

ตั้งแต่สมัยพุทธกาล มาจนถึงปัจจุบันนี้

ก็ยังถูกต้องเหมือนเดิม

ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

ดังนั้นก็ขอให้เราควรศึกษา

ศึกษาแล้วก็ขอให้นำเอาไปปฏิบัติ

พอปฏิบัติแล้วเราก็จะได้รับผลที่เกิดจากการปฏิบัติ

พอรับแล้วที่นี้ยิ่งไม่สงสัย

ในคำสอนของพระพุทธเจ้าใหญ่เลย

 เพราะผลนี้มันจะยืนยันว่าเป็นความจริงทั้งนั้น

เหมือนกับการที่เราเอายาจากหมอมารับประทาน

 พอรับประทานแล้วโรคภัยไข้เจ็บหายไป

 เราจะไม่สงสัยในยาของหมอนี้เลยว่า

เป็นยาที่รักษาโรคได้หรือไม่

 แต่จะยืนยันทำให้เรามีความมั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

 ทำให้เรากล้าไปบอกผู้อื่นว่า

 ถ้าเป็นโรคภัยแบบนี้กินยาแบบนี้แล้ว

รับรองหายได้อย่างแน่นอน

นี่คือพระสาวกทั้งหลาย

หลังจากที่ได้เอาคำสอนของพระพุทธเจ้า

มาปฏิบัติจนบรรลุผลแล้ว

 ท่านก็เป็นผู้ที่มายืนยันมารับรองว่า

คำสอนของพระพุทธเจ้านี้เป็นความจริง

 สามารถดับความทุกข์ทั้งหลายให้หมดไปจากใจได้

 เป็นผู้มาประกาศสอนต่อแทนพระพุทธเจ้าต่อไป

ถ้าไม่ปฏิบัติไม่บรรลุจะไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจน

เพราะว่าเราไม่รู้จริง

 ไม่รู้ว่าธรรมะอันนี้ปฏิบัติแล้ว

จะดับความทุกข์ได้หรือไม่

 ยาชนิดนี้รับประทานเข้าไปแล้ว

จะรักษาโรคภัยชนิดนี้ได้หรือเปล่า

 ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้รับประทานยาจะไม่รู้

แต่ถ้าได้ปฏิบัติ ได้รับประทานแล้วจะรู้

ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลก็จะรู้ว่าไม่ใช่ทาง

 ถ้ากินยาแล้วหายก็รู้ว่ายาที่จะรักษาโรคนี้ได้

ดังนั้นเราต้องยืนยันด้วยการปฏิบัติ

ท่านเรียกว่าเป็นสันทิฏฐิโก

คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสันทิฏฐิโก

คือผู้ปฏิบัติจะเป็นผู้พิสูจน์เองว่าจริงหรือไม่จริง

 มีผลหรือไม่มีผล ต้องเกิดจากการปฏิบัติ

จึงจะรู้จริงเห็นจริงดังนั้นเราต้องศึกษา

 ศึกษาแล้วก็ปฏิบัติ เมื่อบรรลุแล้วเราก็จะหายสงสัย

 เราก็จะเป็นผู้ที่จะมารับรองพระธรรม

 คำสอนของพระพุทธเจ้ามาเผยแผ่คำสอนนี้ต่อไป

ให้แก่ผู้อื่น เพื่อเราจะได้ยืดอายุของพระพุทธศาสนา

ให้ยาวขึ้นไปอีก ถ้าไม่มีการศึกษาไม่มีการปฏิบัติ

ก็จะไม่มีคำใดมายืนยันนำเอาความจริงอันนี้

มาเผยแผ่ให้แก่ผู้อื่นต่อไปได้ ศาสนาก็จะหมดไปในที่สุด

 ศาสนาไม่ได้เสื่อมเพราะถูกคนอื่นมาทำลาย

ศาสนาเสื่อมเพราะชาวพุทธเราไม่สนใจที่จะศึกษา

 ที่จะปฏิบัติจนบรรลุถึงผลนั่นเอง

 ถ้ายังมีการศึกษามีการปฏิบัติมีการบรรลุผลอยู่

 ตราบนั้นพระพุทธศาสนายังจะหมดไปจากโลกนี้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖

“วันเกิดของพระพุทธศาสนา”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 12 กันยายน 2559
Last Update : 12 กันยายน 2559 10:30:35 น.
Counter : 785 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ