การเจริญสตินี้จำเป็นจะต้องบังคับให้ใจอยู่ในปัจจุบัน
การเจริญสตินี้จำเป็นจะต้องบังคับให้ใจอยู่ในปัจจุบัน
แต่ถ้าถึงขั้นเจริญปัญญานี้มันต้องไป
ทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน ทั้งอนาคต
เพื่อจะได้เห็นภาพอย่างชัดเจน
คือเห็นภาพของการเปลี่ยนแปลง
เช่นถ้าเราเจริญปัญญา เราอยากจะเห็นอนิจจัง
เราก็ต้องย้อนไปดูในอดีต เช่นตอนที่เราเกิดมา
คลอดออกมาจากท้องแม่ใหม่ๆ
ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
แล้วปัจจุบันนี้รูปร่างหน้าตาของเราเป็นอย่างไร
และอนาคตเวลาที่ร่างกายเรา ตายไปแล้ว
หน้าตามันเป็นอย่างไร รูปร่างเป็นอย่างไร
อันนี้เป็นการพิจารณาทางปัญญา
ต้องไปทั้งอดีต ทั้งปัจจุบันทั้งอนาคต
ถึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
จะได้เห็นอนิจจังของร่างกายว่าเป็นอย่างไร
ร่างกายมีจุดเริ่มต้นที่การเกิด
มีส่วนท่ามกลางก็คือความแก่ ความเจ็บ
และอนาคตก็คือความตาย
ถ้าทางปัญญาแล้วเราต้องไปทั้งอดีต
ทั้งปัจจุบันและทั้งอนาคต
แต่เวลาที่เราเจริญสตินี้ เราไม่ไปอดีตไม่ไปอนาคต
เราจะดึงใจให้อยู่ในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว
ให้อยู่กับเหตุการณ์ ที่เรากำลังทำอยู่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย
คือ ร่างกายของเรานี้ ให้เฝ้าดูร่างกายตลอดเวลา
เรียกว่าเป็นการเจริญสติ กายคตาสติ
แต่ถ้าเราใช้พุทโธ เราก็ใช้คำบริกรรมพุทโธ
คำบริกรรมพุทโธก็จะดึงใจให้อยู่ในปัจจุบันเช่นเดียวกัน
ไม่ปล่อยให้ใจไปคิดเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว
ไม่ปล่อยให้ใจไปคิดถึงเรื่องในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
เพราะว่าการที่จะทำใจให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้นี้
จะต้องอยู่ในปัจจุบัน จะต้องอยู่ที่เดียวไม่ไหลไปไหลมา
ไม่กลิ้งไปกลิ้งมา ถ้ากลิ้งไปกลิ้งมามันก็อยู่นิ่งๆไม่ได้
เหมือนลูกต้มนาฬิกานี้ ถ้าปล่อยมันแกว่งมันก็จะแกว่งไป
แกว่งไปซ้ายแล้วก็แกว่งมาขวา
แกว่งขวาแล้วก็กลับไปซ้ายแกว่งไปแกว่งมา
ถ้าไม่อยากให้นาฬิกามันแกว่ง
เราก็ต้องจับลูกตุ้มให้มันอยู่ตรงกลาง ให้มันหยุดแกว่ง
พอมันอยู่ตรงกลางแล้วมันก็จะนิ่ง
ใจของเราก็เป็นเหมือนลูกตุ้มนาฬิกา
ที่ชอบแกว่งไปหาอดีต แกว่งไปหาอนาคต
ใจเลยไม่มีวันนิ่งไม่มีวันสงบ ไม่มีวันตั้งมั่นได้
เราจึงต้องใช้สติเป็นตัวที่จะดึงใจให้ตั้งอยู่ในปัจจุบัน
ใช้คำบริกรรมพุทโธก็ได้ ใช้การเฝ้าดูการกระทำ
การเคลื่อนไหวต่างๆของร่างกายก็ได้
หรือใช้อย่างอื่นก็ได้ มีอยู่ ๔๐วิธีด้วยกัน
ถ้าไม่ระลึกถึงพุทโธ จะใช้ธัมโม สังโฆก็ได้
จะใช้อานาปานสติคือดูลมหายใจก็ได้
การดูลมหายใจนี้ ท่านมักจะให้ใช้ตอนที่นั่งสมาธิกัน
เพราะเป็นการดูได้อย่างชัดเจน
ถ้าไปทำอะไรอย่างอื่นนี้การดูลมนี้
จะยากกว่าการดูร่างกายดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย
หรือการใช้คำบริกรรม ถ้าเรานั่งสมาธินั่งหลับตานี้
เราจะดูลมหายใจได้อย่างง่ายดาย
หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้
การดูลมก็เพื่อดึงใจให้ตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน
ไม่ให้ไปคิดถึงอดีตเรื่องของอดีตเรื่องอนาคตนั่นเอง
ถ้าเราสามารถดึงให้มันอยู่กับลมได้
เดี๋ยวจิตมันก็จะรวมเข้าสู่ความสงบได้
พอเข้าสู่ความสงบแล้วก็เป็นสมาธิ เรียกว่า อัปปนาสมาธิ
ถ้าตั้งอยู่ได้นาน ถ้าตั้งอยู่ได้เดี๋ยวเดียวก็เรียกว่า ขณิกสมาธิ
รวมปั๊บแล้วก็ถอนออกมา เรียกว่า ขณิกสมาธิ
ถ้ารวมแล้วตั้งอยู่ในอุเบกขาได้นานก็เรียกว่า อัปปนาสมาธิ
นี่คือสมาธิที่เรียกว่า สัมมาสมาธิ
เป็นสมาธิที่จะสนับสนุนการปฏิบัติฆ่ากิเลส ด้วยปัญญา
ต่อไปถ้าไม่มีสัมมาสมาธินี้จะไม่สามารถที่จะใช้ปัญญา
ฆ่ากิเลสตัณหาได้ เพราะจะไม่มีกำลังของอุเบกขา
ถ้าใจไม่อยู่ในอัปปนาสมาธิออกไปรับรู้นิมิตต่างๆ
รู้เรื่องราวต่างๆ ไปท่องเที่ยวในนรกไปสวรรค์
หรือไปมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ต่างๆ
สามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้ สามารถระลึกชาติได้
ถ้าไปรู้เรื่องราวเหล่านี้ ใจจะไม่มีอุเบกขา
ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับเวลานอนหลับ
เวลาหลับแล้วไม่ฝันนี้เวลาตื่นขึ้นมาจะรู้สึกสดชื่น เบิกบาน
เพราะร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
แต่ถ้าฝันนี้เวลาตื่นขึ้นมาบางทีจะรู้สึกว่านอนไม่อิ่ม
นอนไม่พอ เพราะว่าเวลาฝันจิตใจก็ต้องทำงาน
คิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ และยิ่งถ้าฝันร้ายนี้ยิ่งทำให้เหงื่อแตก
เวลาตื่นขึ้นมานี้ แทบจะไม่มีพลังที่จะทำอะไรได้
ผู้ที่บำเพ็ญสมาธิต้องระมัดระวังถ้าไปเจอนิมิตต่างๆ
ให้ถอยกลับมาอย่าตามรู้
ให้ถอยกลับมาที่ใจที่ผู้รู้ ให้สักแต่ว่ารู้
หรือใช้คำบริกรรมพุทโธดึงกลับมาก็ได้
ถ้าไม่ยอมกลับมา ให้กลับมาตั้งอยู่ในสักแต่ว่ารู้
ให้อยู่กับอุเบกขาให้อยู่นานๆ
ขณะที่อยู่ในสมาธิแบบนี้ ไม่ต้องพิจารณาทางปัญญา
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเจริญปัญญา เป็นเวลาสร้างอุเบกขา
เพื่อที่จะใช้ในการต่อสู้กับตัณหาความอยากต่อไป
เพราะถ้าใจไม่มีอุเบกขานี้ เวลาเกิดตัณหาขึ้นมา
จะสู้ตัณหาความอยากไม่ได้
แต่ถ้ามีอุเบกขาเวลาเกิดตัณหาขึ้นมา
ใจสามารถดึงใจให้กลับเข้ามาอยู่ในอุเบกขาได้
ไม่ให้ไปทำตามตัณหาความอยากต่างๆ ได้
ถ้าปัญญาพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นการเดินหาความทุกข์
เป็นการเดินเข้าหาความทุกข์
ไม่ได้เป็นการเดินเข้าหาความสุข
ตามปกตินี้ตัณหาจะหลอกใจว่า
ได้โน่นได้นี่มาแล้วจะมีความสุข
แต่พอพิจารณาแล้วก็เห็นว่าเป็นความสุขประเดี๋ยวประด๋าว
เพราะว่ามันไม่เที่ยงมันไม่แน่นอน ได้มาแล้วก็มีวันหมดไปได้
หมดช้าหมดเร็ว พอหมดแล้วก็เกิดความหิวโหย
เกิดความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวขึ้นมา
เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา เกิดความอยากใหม่ขึ้นมาอีก
ก็จะต้องไปทำอีก ทำมาได้เท่าไรก็จะต้องหมดไป
ก็ต้องไปหามาใหม่อยู่เรื่อยๆ
ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาก็จะเห็นว่า
การทำตามความอยากนี้ เป็นการเดินเข้าหาความทุกข์
ไม่ใช่เดินเข้าหาความสุข
ถ้าเห็นด้วยปัญญาแล้วก็ดึงจิตกลับเข้ามาที่อุเบกขาได้เลย
กลับมาให้สักแต่ว่ารู้ได้ ไม่ไปทำตามความอยากต่างๆได้
ความอยากต่างๆก็จะหมดกำลังไป
แล้วก็จะไม่มาฉุดกระชากลากจิตให้ไปหาความทุกข์
ไม่ฉุดกระชากลากจิตให้ไปเวียนว่ายตายเกิดได้อีกต่อไป
อันนี้ต้องอาศัยสมาธิที่เป็นอัปปนาสมาธิ
สมาธิที่มีอุเบกขา พอออกจากอัปปนาสมาธินี้
อุเบกขานี้ยังติดมากับใจอยู่
สามารถใช้อุเบกขานี้ไว้ต่อสู้
เวลาเกิดตัณหาความอยากขึ้นมา
ใช้ปัญญาเป็นผู้พิจารณาให้เห็นว่า
ถ้าทำตามความอยากนี้แล้ว
จะต้องเกิดความทุกข์ขึ้นมา ก็จะไม่ทำ.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
...........................
ธรรมะบนเขา วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๙
เสริมพลังใจด้วยศรัทธา
ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Sweet_pills Food Blog ดู Blog
mcayenne94 Home & Garden Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog
ไวน์กับสายน้ำ Diarist ดู Blog
คนบ้านป่า Home & Garden Blog ดู Blog
ทองกาญจนา Travel Blog ดู Blog
tangkay Dharma Blog ดู Blog