Group Blog
All Blog
### เป้าหมายของการเจริญสติก็คือดึงใจให้อยู่ในปัจจุบัน ###














“เป้าหมายของการเจริญสติก็คือ

ดึงใจให้อยู่ในปัจจุบัน”

เราต้องเข้าใจหลักของการเจริญสติ

เป้าหมายของการเจริญสติก็คือดึงใจให้อยู่ในปัจจุบัน

 ให้สักแต่ว่ารู้ ไม่ให้คิดปรุงแต่งถึงเรื่องราวต่างๆ

 เพื่อที่เวลานั่งสมาธิ ใจจะได้เข้าสู่ความสงบได้

เพราะจุดที่ใจจะสงบได้นี้ต้องเป็นปัจจุบันเท่านั้น

ถ้าใจอยู่ในอดีตก็เข้าสู่ความสงบไม่ได้

 อยู่ในอนาคตก็เข้าไม่ได้ อยู่ที่นู้นก็เข้าไม่ได้ ต้องอยู่ที่นี่

 อยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ก็คือปัจจุบัน อยู่ตรงนี้

สิ่งที่จะดึงใจให้เราอยู่ตรงนี้ ก็คือสตินี่เอง

ไม่ว่าจะเป็น พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ อานาปานสติ

 นี่คือกรรมฐานเหล่านี้ ก็จะเป็นสิ่งที่จะดึงใจให้เข้ามาสู่ปัจจุบัน

 และเข้าสู่อุเบกขาได้ตามลำดับต่อไป

นี่คืองานที่เราจำเป็นจะต้องทำ เป็นงานที่ค่อนข้างจะช้า

 เพราะว่ากว่าจะได้ผลนี้ มันเหมือนกับการปลูกต้นไม้

ปลูกต้นไม้วันนี้เราก็ต้องหมั่นรดน้ำอยู่เรื่อยๆ

 โดยเฉพาะในช่วงที่ไม่มีฝนเราต้องรดน้ำทุกวัน

ถ้าเราอยากจะเห็นการเจริญเติบโตของต้นไม้

บางแห่งนี้เขาให้รดทั้งวันเลย เขามีระบบน้ำหยด

 มีน้ำหยดหล่อเลี้ยงทั้งวัน ต้นไม้ก็เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

สตินี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราเจริญสติเฉพาะเป็นช่วง

 เหมือนกับรดน้ำต้นไม้มันก็จะช้า ถ้าเราเอาแบบน้ำหยด

คือเจริญอยู่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนหลับนี้

มีการเจริญสติอยู่ตลอดเวลา อันนี้แหละจะทำให้เกิดผลขึ้นได้เร็ว

 นั่งสมาธิ ๕ นาที ๑๐ นาทีก็จะสงบได้จะรวมได้

ถ้าทำสติแบบขาดๆเกินๆ เผลอบ้าง เผลอเสียส่วนใหญ่

นานๆถึงจะนึกถึงพุทโธที นานๆถึงจะมาเฝ้าจดจ่อดูร่างกายที

เวลานั่งสมาธิ นั่งไปครึ่งชั่วโมงก็ไม่สงบ

พอนั่งได้ครึ่งชั่วโมงก็ปวดเมื่อยตรงนั้นปวดเมื่อยตรงนี้

 ก็ยอมแพ้ นั่งต่อไปไม่ได้ นี่ก็เพราะว่าสติไม่ต่อเนื่อง

ดังนั้นเราจึงต้องพยายามเจริญสติให้มันต่อเนื่อง ทุกเวลานาที

 อย่าให้ใจไปคิดปรุงแต่งในเรื่องต่างๆที่ไม่จำเป็น

 การที่เราจะมาเจริญสติได้อย่างต่อเนื่องนี้

เราก็ต้องไม่มีภารกิจการงานอย่างอื่น

 เป็นแบบนักบวชอย่างนี้

 ไม่มีงานธุรกิจต่างๆที่จะต้องไปคิดไปวุ่นวายด้วย

 ไม่ต้องไปใช้สังขารความคิดปรุงแต่งกับเรื่องราวต่างๆ

 ถ้าเรายังทำงานทำการทำมาหากิน ทำธุรกิจอะไรต่างๆอยู่นี้

 อย่าไปหวังในเรื่องการเจริญสติเลย มันเจริญไม่ได้

เพราะมันต้องใช้สังขารความคิดปรุงแต่งไปทั้งวัน

 ตื่นขึ้นมานี้ก็เริ่มคิดแล้วว่าวันนี้จะไปทำอะไร ไปพบกับใคร

มีเรื่องอะไรที่จะต้องทำ มันคิดตลอดเวลา

ในขณะที่กำลังเตรียมตัวเข้าห้องน้ำ

ล้างหน้าแปรงฟันก็คิดไปเรื่อยๆ นี่เป็นเรื่องของคนไม่มีสติ

มีก็เล็กน้อย มีพอที่จะทำให้ไม่ถึงกับเป็นเหมือนคนบ้าเท่านั้นเอง

 คือมีสติพอที่จะดูแลรักษาร่างกาย เช่นอาบน้ำอาบท่า

 แปรงฟัน แต่งเนื้อแต่งตัว รับประทานอาหาร

 แต่ไม่มีสติที่จะดึงใจให้อยู่กับปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง

 เพราะใจมันไปกับเรื่องราวต่างๆ ไปกับธุรกิจการงานต่างๆ

 ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกจากบ้านเลย

ดังนั้นถ้าเราอยากจะเจริญสติได้อย่างต่อเนื่อง

 เราก็ต้องเลิกทำงาน การจะเลิกทำงานได้

เราก็ต้องอยู่แบบมักน้อยสันโดษ คือขอให้พอมีพอกินก็พอ

ถ้าอย่างนี้เราก็จะเลิกทำงานได้

ถ้าเราทำงานแล้วเราเก็บเงินไว้ได้ก้อนหนึ่ง

 ที่เราคิดว่าพอที่จะอยู่ได้ไประยะเวลาหนึ่ง

เราก็ออกจากงานไป เพื่อที่เราจะได้มาเจริญสติ

ถ้าเราเจริญสติได้จนเราได้อุเบกขาแล้ว

 พอเงินหมดก็ไม่เป็นไรแล้ว เพราะทีนี้เราไปอาศัยวัดกินได้แล้ว

 ตอนนี้เรายังไปไม่ได้เพราะเรายังไม่มีอุเบกขาพอ

เรายังจู้จี้จุกจิกอยู่กับเรื่องอาหาร เรื่องสภาพการอยู่ของเรา

 เรายังไม่ยอมไปเป็นคนล้างถ้วยล้างชาม

ยังไม่ยอมไปเป็นแจ๋วกัน ถ้าไปอยู่วัดนี้ ต้องยอมเป็นแจ๋วแล้วอยู่ได้

 กินตามมีตามเกิด กินข้าวก้นบาตรก็ได้ มีอะไรเหลือก็กินมัน

 ถ้ามีอุเบกขาแล้วก็ไปอยู่วัดได้ อยู่แบบนักบวชได้

ตอนนั้นเราจะได้เจริญสติต่อเจริญปัญญาต่อบำเพ็ญต่อ

เพื่อที่จะถอดถอนกิเลสตัณหาอุปาทานต่างๆ

ที่ยังมีหลงเหลืออยู่ภายในใจของเรา ให้หมดไปได้

ดังนั้นถ้าเราอยากจะมีเวลาเจริญสติอย่างเต็มที่

 ตอนนี้เราควรจะวางแผนหาเงินสักก้อนหนึ่ง

เพื่อที่เราจะได้เอาไว้ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายของปัจจัย ๔

พอเราคิดว่าพอ มีใช้ได้ระยะหนึ่งสองสามปีนี้ ก็เหลือเฟือแล้ว

 พระพุทธเจ้าบอกไม่เกิน ๗ ปีเท่านั้นเองก็บรรลุได้แล้ว

 ถ้าขยันต่อเนื่อง ๗ วันก็ได้

ฉะนั้นไม่ต้องไปกังวลสะสมเรื่องเงินทองไว้มากจนเกินไปหรอก

แล้วถ้าเราใช้ประหยัดๆ กินวันละมื้อนี้มันสักกี่ตังค์กัน

 เสื้อผ้าก็แค่ ๓ ชุดก็พอ ชุดหนึ่งเปลี่ยน ชุดหนึ่งไว้ซัก

อีกชุดหนึ่งไว้สำรอง เผื่อชุดที่ซักมันไม่แห้ง

มันก็จะได้มีชุดอีกชุดมาเปลี่ยน ๓ ชุดนี้ก็พอแล้ว

สำหรับเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยก็ไปหาที่ไม่มีใครมาวุ่นวาย

อยู่คนเดียวไปเช่าห้องพักก็ได้ หอพักก็ได้

หรือไปอยู่วัดที่ไหนได้ก็ไป ไปขอวัดอยู่ก็ได้ แล้วก็ไปเจริญสติ

ถ้าเราไม่มีการงานที่จะต้องคิดจะต้องทำนี้

เราก็จะสามารถควบคุมบังคับความคิดของเราให้อยู่กับสติได้

 ให้อยู่กับพุทโธได้ ให้อยู่กับร่างกายได้

พอมีสติอย่างต่อเนื่องแล้ว พอมานั่งสมาธิก็สงบง่าย

 ๕ นาที ๑๐ นาทีใจก็นิ่งแล้ว

พอใจนิ่งใจสงบก็มีอุเบกขามีความสุข

มีความอิ่ม ไม่หิวกับอารมณ์ต่างๆ ออกมาก็สู้กับความอยากได้

 พอหมดกำลังก็กลับเข้าไปเติมกำลังใหม่

เราไม่ใช่ทำสมาธิหนเดียวแล้วไม่ทำเลย

 ทำสมาธิแล้วก็ออกมาใช้ปัญญาต่อสู้กับตัณหาความอยาก

พอกำลังหมดสู้ตัณหาไม่ได้ ชักอยากจะไปนู้นมานี่

อยากจะดูนั่นดูนี่ ก็กลับเข้าไปในสมาธิใหม่

พอจิตสงบก็ไม่อยากจะไปไหนอีก

พออยากก็กลับเข้าไปในสมาธิใหม่

ถ้าใช้ปัญญาสอนใจไม่ให้อยากไม่ได้ก็ใช้สมาธิ

เพราะหมดกำลัง ปัญญานี้คอยเตือนว่าอย่าทำตามความอยาก

 เพราะทำแล้วมันจะไม่จบ มันจะมีเรื่องอื่นมาให้อยากต่ออยู่เรื่อยๆ

ถ้าอยากจะจบต้องฝืนความอยากในทุกรูปแบบ

 อย่าทำตามความอยาก ถ้าสู้ไม่ไหวก็กลับเข้าไปในสมาธิก่อน

 แสดงว่ากำลังหมด อุเบกขาหมด

พอได้อุเบกขากลับมาแล้วก็ใช้ปัญญาสอนใจไปเรื่อยๆ

ต่อไป พิจารณาถึงความทุกข์ที่จะตามมา

 จากการไปทำตามความอยากต่างๆ

 ต่อไปมันก็จะเลิกความอยากได้ มันก็จะถอดถอนอุปาทาน

ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆได้

 ตอนต้นก็ถอดถอนของภายนอกร่างกายไปก่อน

 ก็คือถอดถอนลาภยศสรรเสริญ

ถอดถอนความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

แล้วก็มาถอดถอนขันธ์ ๕ ถอดถอนความยึดมั่นถือมั่น

 ในรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาน แล้วก็มาถอดถอนความยึดมั่น

 ในความสวยงามของร่างกาย เพื่อจะได้ถอดถอนกามารมณ์

 ให้ออกไปจากร่างกายจากใจ แล้วพอหมดเรื่องของร่างกาย

ก็เข้าไปถอดถอนอัตตาตัวตนที่ยังฝังลึกอยู่ในจิตอีกทีหนึ่ง

 ถอดถอนอวิชชาความหลง

ที่สร้างความรู้สึกว่า มีตัวมีตนอยู่ในจิตนี้ออกไปให้หมด

นี่คือการปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คือสัพเพ ธัมมา อนัตตา

ไม่มีอะไรเป็นของเรานอกจากใจดวงเดียว ใจที่เป็นใหญ่

ใจที่เป็นประธาน ใจที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตของเรา

รักษาตัวนี้ไว้ตัวเดียว วิธีที่จะรักษาตัวนี้ไว้ก็คือ

ต้องปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง

ถ้าไม่ปล่อยแล้วใจตัวนี้ก็จะทุกข์ขึ้นมาทันที

เวลาที่จะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เราไปยึดไปติดไปอยาก

นี่คือเนื้อหาสาระของธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า ๒ ข้อ

ที่ได้ยกขึ้นมาแสดง คือใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน

ใจเป็นตัวเราเป็นของเรา ที่เราจะต้องดูแลรักษา

และสัพเพ ธัมมา อนัตตา คือของทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากใจนี้

ไม่ใช่เป็นของเรา ไม่ใช่เป็นตัวเรา อย่าไปดูแลรักษา

 อย่าไปยึดอย่าไปติด อย่าไปอยากให้เขาอยู่กับเราไปตลอด

 เพราะมันเป็นไปไม่ได้ มันมีแต่จะสร้างความทุกข์ให้กับเราไปตลอด

 ตายไปแล้วก็กลับมาหามันใหม่ กลับมายึดมันใหม่

 นี่เรากลับมาหาของที่เป็น สัพเพ ธัมมา อนัตตานี้

มาไม่รู้กี่ล้านรอบแล้ว รอบนี้หมดไป เดี๋ยวก็กลับมาหาใหม่

 กลับมาเกิดใหม่ กลับมายึดมาติดใหม่

 แล้วก็กลับมาทุกข์มาเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ใหม่

 แล้วก็แยกกันไปแล้วก็กลับมาใหม่อย่างนี้ อยู่เรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด

 จนกว่าเราจะสามารถปล่อยวางทุกอย่างได้

 สัพเพ ธัมมา อนัตตา ปล่อยวางสัพเพ ธัมมา อนัตตาได้

รักษาใจตัวเดียวนี้ไว้ให้ได้ ด้วยการเจริญสติ

ด้วยการเจริญอุเบกขา เจริญสมาธิเพื่อให้เกิดอุเบกขาขึ้นมา

 แล้วก็เจริญปัญญา เอาปัญญามาคอยเตือนสอนใจว่าอย่าไปอยาก

 เพราะความอยากนี้เป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจ

เป็นตัวที่มาทำลายใจ ทำให้ใจของเราไม่มีความสุข

 ทำให้ใจเราหิวเราอยาก ทั้งๆที่ใจเราไม่ต้องกินอะไร

ไม่ต้องมีอะไร แต่ความอยากมันจะทำให้รู้สึกว่าเราขาดอะไร

 เราต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เวลาได้มาแล้ว

มันก็ไม่ได้ทำให้ใจอิ่มแต่อย่างใด สิ่งที่จะทำให้ใจอิ่มก็คือสติ

 สตินี้จะทำให้ใจเข้าสู่ความสงบเข้าสู่สมาธิเข้าสู่อุเบกขา

พอได้อุเบกขาแล้วก็จะได้ความอิ่มความพอ

ดังนั้นหน้าที่ของพวกเรา ก็คือต้องเจริญสติให้มาก

นั่งสมาธิให้มาก ทำจิตให้รวมให้ได้ภายใน ๕ นาที ๑๐ นาที

ถ้ารวมได้แล้วทีนี้ก็จะมีเครื่องมือ มียาชามียาสลบ

ที่จะช่วยในการถอดถอนสิ่งต่างๆที่เรารัก

สิ่งต่างๆที่เราหลงคิดว่าเป็นตัวเราของเราได้

ถ้าเราไม่มีอุเบกขานี้ เราจะไม่กล้าถอดถอน ไม่กล้าละ

ไม่กล้าปล่อยสิ่งต่างๆ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................................

กัณฑ์ที่ ๔๗๕ ธรรมะบนเขา

 วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗

“คำสอนที่ลึกซึ้งมาก”










ขอบคุณที่มา fb, พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2559 10:39:46 น.
Counter : 1112 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ