น้ำตาไหลเพราะหิวข้าว
...............
ความหิวมี ๒ รูปแบบ หิวกายกับหิวใจ
กายไม่หิวหรอก ที่หิวนั้นมันหิวใจ
เพราะกายมันอยู่ได้ มันไม่ตายหรอก
รออีก ๒๔ ชั่วโมงแล้วมากินมันก็ไม่ตาย
แต่ที่มันจะตายก็คือกิเลส
เพราะจิตใจมันแสนทรมานด้วยความหิวโหย
บางทีน้ำตาไหลเพราะหิวข้าว อยากจะกินข้าว อยากจะกินนั่นกินนี่
พอเห็นคนอื่นเขาอดอาหารทีละ ๓ วัน ๕ วัน
ก็คิดว่าเรายังไม่ได้อดเลยนี่ ก็เลยลองอดดู
เวลาอดก็ต้องภาวนา เพราะถ้าไม่ภาวนาจิตจะฟุ้งซ่านมาก
จะคิดแต่เรื่องอาหาร การอดอาหารก็เป็นการบังคับใจให้ภาวนา
เวลาอดอาหารนี่มันจะขยัน มันกลัวความทุกข์
ที่เกิดจากความคิดปรุงแต่งเกี่ยวกับเรื่องอาหาร
ก็พยายามนั่งสมาธิ พยายามเดินจงกรม
ควบคุมจิตใจให้อยู่กับอารมณ์ที่เรากำหนดไว้
ให้อยู่กับอานาปานสติ ลมหายใจเข้าออก หรืออยู่กับพุทโธๆๆ
พอจิตไม่ได้คิดถึงเรื่องต่างๆ มันก็สงบตัวลง
พอมันสงบปั๊บ ก็เกิดความอิ่มขึ้นมาในใจ
ถึงเข้าใจว่าทำไมพระท่านอดอาหารได้ตั้งหลายวัน
เพราะใจท่านไม่หิว มีภาวนาเป็นตัวคอยให้อาหารกับจิตใจ
ส่วนร่างกายก็อาจจะมีความซูบผอม
มีความรู้สึกว่าท้องเบา อะไรอย่างนี้ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่โตอะไร
ปัญหาใหญ่โตอยู่ที่ใจมากกว่า
เมื่อตัวปัญหาที่ใหญ่โตนี้ได้รับการควบคุมดูแลไม่ให้กำเริบ
ไม่ให้สร้างปัญหาแล้ว มันก็สบาย
เพียงแต่ว่าในขั้นตอนของการฝึกสมาธินั้น มันก็สงบเป็นระยะๆ
เป็นพักๆ ไม่สงบอย่างต่อเนื่อง พอออกจากสมาธิ
ก็โดดไปคิดเรื่องต่างๆได้อีก ถ้าไม่รู้จักใช้ปัญญา
ก็จะไม่มีทางที่จะกำจัดความคิดที่อยากจะกินนี้ได้
เมื่อยังไม่รู้จักใช้ปัญญา พอมันเริ่มทรมานใจ
ก็กลับไปนั่งสมาธิอีก กลับไปกำหนดพุทโธๆๆอีก
แต่ถ้ารู้จักใช้ปัญญา ก็จะสามารถกำจัดความอยากอาหารนี้ได้
ด้วยการพิจารณาความเป็นปฏิกูลของอาหาร
ให้พิจารณาดูอาหารที่อยู่ในบาตร อาหารที่เข้าไปในปาก
อาหารที่เคี้ยวแล้วก่อนที่จะกลืนเข้าไป
ถ้าว่ามันเอร็ดอร่อย ลองคายออกมาไว้ในช้อน
แล้วตักใส่เข้าไปในปากใหม่ จะทำได้ไหม
ทั้งๆที่เป็นอาหารที่แสนเอร็ดอร่อย ที่อยู่ในปากเมื่อสักครู่นี้
ที่กำลังจะกลืนเข้าไปในท้อง ส่วนใหญ่เราจะไม่เห็น
จะเห็นแต่เฉพาะช่วงที่มันอยู่ในจานเท่านั้นเอง
เวลาที่ยกมาจากในครัวนี่เขาแต่งมา ดูแล้วแหมมันน่ากิน
แต่ไม่คิดถึงเวลาที่มันไปคลุกกับน้ำลายในปาก
หรือในขณะที่รวมกันอยู่ในท้อง อาหารทุกชนิดไม่ว่าจะหวานจะคาว
จะเป็นผลไม้หรือจะเป็นอะไรก็ตาม
ก็ต้องลงไปรวมอยู่ในที่เดียวกันหมด
พระบางรูปท่านจึงคลุกอาหารทุกอย่างในบาตรเลย
เพราะเดี๋ยวมันก็ต้องลงไปรวมกันอยู่ข้างล่าง นี่เป็นการปราบกิเลส
ปราบการอยากในอาหาร แล้วหลังจากนั้นแล้ว
มันจะไม่ติดกับเรื่องอาหารอีกต่อไป
เพราะเวลาหิวทีไรก็นึกถึงความเป็นปฏิกูลของมันขึ้นมา
มันก็ถอยเลย นี่เรียกว่าอุบายของปัญญา
ถ้าปัญญาทันแล้วต่อไปไม่ต้องนั่งสมาธิก็ได้
ไม่ต้องหนีความทุกข์ที่เกิดจากความคิดปรุงแต่งเรื่องอาหาร
พอมันปรุงแต่งเรื่องอาหารปั๊บ ปฏิกูลก็จะโผล่ขึ้นมา
พอโผล่ขึ้นมาปั๊บกิเลสก็ถอยเลย
นี่คือเรื่องของใจเรา ที่ยังถูกอำนาจของความหลงครอบงำอยู่
ก็เลยกลายเป็นทาสของมันไปโดยไม่รู้ตัว คิดว่ากำลังหาความสุข
แต่ความจริงแล้วกำลังเป็นทาส กิเลสมันสุขแต่ใจเราทุกข์
ความจริงกิเลสมันไม่มีตัวตน มันเป็นอาการของใจ
เพียงแต่เปรียบเทียบให้ฟังว่า กิเลสมันเป็นเหมือนกับเจ้านายเรา
มันมีความสุข มันสั่งมันใช้เราให้หาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาให้มัน
เวลาที่หามาไม่ได้ ใจก็ทุกข์ ใจก็ถูกทำโทษ
เวลาหามาได้เสร็จปั๊บ เดี๋ยวก็ถูกสั่งให้ไปหาอย่างอื่นมาอีก
หาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่มีความเป็นอิสระ
อยู่ไม่เป็นสุข อยู่เฉยๆไม่ได้ เพราะกลัวกิเลส
พอมันสั่งอะไรปั๊บต้องรีบทำทันที
เหมือนกับมีแส้คอยฟาดใส่เราให้ทุรนทุราย
สังเกตดูเวลาอยากจะได้อะไร มันเป็นอย่างไร มันทุรนทุรายไหม
กลัวว่าจะตายให้ได้ ถ้าไม่ได้ของที่อยากจะได้
นั่นแหละเหมือนกับแส้ที่กิเลสมันฟาดมาที่ใจของเรา
ถ้าเราได้ยินได้ฟังวิธีการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า
ของพระสาวกทั้งหลายแล้วว่า นี่แหละคือวิธีที่จะปราบกิเลส
ที่จะทำลายกิเลสได้ แล้วนำเอามาใช้ มาปฏิบัติ
รับรองได้ว่าไม่ช้าก็เร็วเราก็จะเป็นอิสระ
กิเลสจะไม่สามารถครอบงำเราได้
ไม่สามารถสั่งการให้เราทำอะไรได้อีกต่อไป.
.....................
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพค่ะ