Group Blog
All Blog
### ความสำคัญของสติ ###











“ความสำคัญของสติ”

สาเหตุที่จิตไม่สงบก็เพราะว่ามีตัณหา

คอยผลักดันให้คิดไปในทางตัณหา

มีอวิชชาคอยผลักดัน

ให้คิดไปในทางตัณหานี่เอง

เราจึงต้องมาสติหยุด

อวิชชา ปัจจะยา สังขารานี้ก่อน

หยุดความคิดปรุงเเต่ง

ที่จะคิด ไปตามกามตัณหา

 ภวตัณหา และวิภวตัณหา

 ถ้าเรามีคำบริกรรมพุทโธอยู่เรื่อยๆ

จิตก็จะไม่สามารถไปคิดถึง

 รูปเสียงกลิ่นรสไปคิดถึงอะไรต่างๆ

 ที่จะทำให้เกิดกามตัณหา ภวตัณหา

 และวิภวตัณหาขึ้นมาได้นั่นเอง

พอไม่คิดแล้วเวลานั่งเฉยๆ

จิตก็จะรวมเข้าสู่ความสงบได้

 รวมเป็นหนึ่งสักแต่ว่ารู้

หยุดความคิดปรุงเเต่งได้

 อย่างเต็มที่ เหลือแต่สักแต่ว่ารู้

 ผู้คิดหยุดคิดเหลือแต่ผู้รู้เพียงผู้เดียว

 แล้วจิตก็จะเย็นสบายเป็นอุเบกขา

 ไม่มีความรัก ความชัง ความกลัว

ความหลง ไม่มีความโลภ

 ความโกรธต่างๆ ไม่มีตัณหาต่างๆ

 แต่มันเป็นสภาพชั่วคราว

เป็นความสงบชั่วคราว

พอกำลังของสติที่ผลักดันให้จิต

เข้าไปสู่ความสงบนั้นอ่อนลง

กำลังของกิเลสตัณหาก็จะผลักดัน

ให้จิตถอนออกมา ออกมารับรู้

รูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ

 แล้วออกมาคิดปรุงเเต่งต่างๆ

สมาธินี้เป็นการกดความอยากต่างๆ

 กดกิเลสตัณหาไว้ชั่วคราว

 ท่านเปรียบเหมือนกับหินทับหญ้า

 สมาธินี้เป็นเหมือนหินที่ทับหญ้าไว้

 เวลาที่เอาหินไปทับหญ้า

 หญ้านี้จะงอกงามขึ้นมาไม่ได้

แต่หญ้านี้ไม่ตาย

ด้วยการเอาหินไปทับหญ้าไว้

 เวลาเอาหินออกจากหญ้า

ทิ้งไว้สักพักหนึ่งพอได้น้ำค้าง ได้น้ำ

 เดี๋ยวหญ้าก็จะงอกขึ้นมาใหม่

 อันนี้จึงจำเป็น

ที่จะต้องเจริญปัญญาต่อไป

 พอเรามีความสงบ เราหยุดความคิด

 ที่ให้คิดไปในทาง

อวิชชา ปัจจะยา สังขาราได้แล้ว

ขั้นต่อไปเราก็สามารถที่จะสั่ง

ให้มันคิดไปในทาง

ธัมมา ปัจจะยา สังขาราได้

คือให้คิดไปในทางธรรม

ให้คิดไปในทางอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 ให้คิดไปในทางอสุภะ

ให้คิดไปในทางอาหาเรปฏิกูลสัญญา

 ถ้าเราหยุดความคิดได้

เราก็จะมีกำลังสั่งให้มันคิด

ไปในทางปัญญาได้แล้ว

แต่ถ้าเรายังหยุดความคิดไม่ได้

เราจะไม่สามารถสั่งให้มันคิด

ไปในทางปัญญาได้

 เพราะกิเลสมันจะไม่ยอม

 ให้เราคิดนั่นเอง

 มันจะคิดไปในทางกิเลสเสมอ

จะคิดว่าทุกอย่างเป็นนิจจัง สุขัง อัตตา

 ทุกอย่างน่าดูน่าชม

น่ารับประทาน น่ารัก น่าใคร่

น่าโลภ น่าโกรธ น่าหลง น่าอยาก

มันจะพาให้คิดแบบนี้ไป

เราจึงต้องใช้สติมาหยุดความคิดต่างๆ

 เพื่อทำจิตให้สงบ

เพราะว่าเวลาจิตสงบนี้

จิตก็จะมีความสุขมีความอิ่ม มีความพอ

จะทำให้ไม่หิวโหย

เหมือนกับจิตที่ไม่สงบ

 พอเกิดกิเลสตัณหาขึ้นมา

จิตก็สามารถต้านทานกำลัง

 ของกิเลสตัณหาได้

เพราะมีความอิ่มอยู่ในใจแล้ว

 ไม่เหมือนกับจิตที่ไม่มีสมาธินี้

ไม่มีความอิ่มเลย มีแต่ความหิวโหย

อยู่ตลอดเวลา

พอกิเลสตัณหาบอกให้ไปหาอะไรมาปั๊บ

ก็วิ่งไปทันทีเลย เปิดตู้เย็นทันที

 เปิดทีวีทันที เพราะหิวโหย

 เพราะไม่มีความสุขภายในใจ

 เพราะไม่มีความสงบ

 ไม่มีความสุขที่เกิดจากความสงบ

ไว้มาต้านกำลังของกิเลสตัณหานั่นเอง

ดังนั้นพอเราได้รับความสงบ

ได้รับความสุขจากสมาธิแล้ว

 เราก็ต้องเจริญปัญญาเป็นขั้นต่อไป

 เราต้องสอนใจ ให้คิดไปในทางธรรมะ

 คิดไปในทางอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 คิดไปในทางอสุภะ

คิดไปในทางอาหาเรปฏิกูลสัญญา

 แล้วเราก็จะสามารถระงับ

ความอยากรับประทาน

ตามความอยากได้

 ถ้าจะรับประทาน

ก็รับประทาน ตามความจำเป็น

เพราะยังต้องดูแลธาตุขันธ์

คือร่างกายนี้อยู่

 เพราะร่างกายนี้ยังเป็นประโยชน์

 เอามาใช้ประโยชน์ได้

ทั้งกับตนเองและกับผู้อื่น

ถ้ายังไม่บรรลุถึงธรรมขั้นสูงสุด

 ก็ยังต้องมีร่างกายไว้สำหรับใช้

ในการปฏิบัติธรรม

 ถ้าได้บรรลุถึงธรรมขั้นสูงสุดแล้ว

 ถ้ามีความเมตตากรุณา

มีความสงสารต่อสัตว์โลก

ที่ยังมืดบอดที่ยังอยู่ภายใต้อำนาจ

ของกิเลสตัณหาก็จะใช้ร่างกายนี้

เอามาเผยแผ่สั่งสอน

เอาธรรมะที่ได้บรรลุมา

 เผยแผ่สั่งสอนเพื่อให้

ผู้ที่หูหนวกตาบอด

จะได้มีแสงสว่างแห่งธรรม

 นำพาชีวิตให้ไปสู่ความสุขความเจริญ

ความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

ก็ยังต้องใช้ร่างกายอยู่

เช่นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย

 ท่านก็ยังรับประทานอาหารกันอยู่

 แต่ท่านไม่ได้รับประทานด้วยความอยาก

 ท่านรับประทานเหมือนรับประทานยา

 ถึงเวลาก็รับประทาน

มีอะไรก็รับประทานได้ ไม่จู้จี้จุกจิก

ไม่เลือกอาหาร ชนิดนั้นชนิดนี้

 แล้วก็ไม่รับประทานมากจนเกินไป

รับประทานพอรู้สึกอิ่มก็จะหยุดทันที

 เพราะจะรับประทานไม่ลง

สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสตัณหา

 ถ้าอยากจะฆ่ากิเลสตัณหา

ทางเรื่องของการรับประทานอาหาร

ก็ต้องรับประทาน แบบตามมีตามเกิด

 เช่นไปร้านอาหาร เด็กมาถามว่า

จะรับประทานอะไรก็บอกว่า อะไรก็ได้...

เอามา อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า

รับประทานตามความจำเป็นไม่จู้จี้จุกจิก

ไม่ได้รับประทานเพื่อรสชาติของอาหาร

 ไม่ได้รับประทานเพื่อความสุข

จากการรับประทานอาหาร

รับประทานแบบรับประทานยา

 นอกจากนั้นแล้ว

 เวลาที่เขาเอาอาหารมาให้แล้ว

ก็ให้ขอภาชนะสักใบใหญ่ ๆ

 เอาอาหารทั้งหลาย ที่เราจะรับประทาน

 ที่จะไปรวมกันในท้องนี้

ให้มันรวมอยู่ในภาชนะอันเดียวกันก่อน

แล้วก็คนมันคลุกมันเข้าไป

ให้เหมือนกับอาหาร

ที่จะเข้าไปอยู่ในท้องแล้ว

ก็รับประทานมันเข้าไป

ถึงจะบอกมันได้ว่า

นี่รับประทานด้วยความจำเป็น จริงๆ

 ไม่ได้รับประทานด้วยความอยาก

 บางคนอาจจะหลอกตัวเองว่า

ไม่ได้รับประทานด้วยความอยาก

แต่ยังสั่งอาหารชนิดนั้นชนิดนี้อยู่

 เวลารับประทานก็ต้องเลือก

ว่าอันไหนก่อน อันไหนหลัง

จะมารวมกันไม่ได้

จะมาอยู่ในจานเดียวกันไม่ได้

จะมาผสมกันไม่ได้

ของหวานกับของคาว

จะมาเปอะเปื้อนอย่างนี้ไม่ได้

ถ้าอยากนี้ก็ยังรับประทาน

ตามกิเลสตัณหาอยู่

 ถ้าจะรับประทานแบบธรรม

ก็เอามันมาคลุกกันเลย เอามาคนกันเลย

 เพราะเดี๋ยวเวลามันเข้าไปในท้อง

มันจะไปอยู่ที่ไหน

มันก็ไปคลุกไปคนกันอยู่ในท้อง

ซึ่งไม่น่าดูน่ากลัวกว่า

มันอยู่ในชามที่เราคลุกเสียด้วยซ้ำไป

ไม่เชื่อเวลาอาเจียนออกมา

ปดูซิว่ามันน่ารับประทานไหม

นอกจากอาหารแล้ว

ยังมีน้ำลงน้ำลายน้ำย่อยอะไรต่างๆ

 ผสมมาอีกด้วย นี่คือตัวอย่าง

ของการใช้ปัญญาเพื่อฆ่ากิเลส

อย่าไปใช้ปัญญาเพื่อรับใช้กิเลส

ใช้ปัญญาเพื่อรับใช้กิเลสใช้อย่างไร

 ก็เปิดหาหนังสือดู เปิดอินเทอร์เน็ตดู

ว่าร้านอาหารอร่อยอยู่แถวไหนบ้าง

 อันนี้เรียกว่าใช้ปัญญารับใช้กิเลส

 พวกเรานี้มีปัญญารับใช้กิเลสกันเก่ง

 หาสถานที่เที่ยวก็เก่ง

หาสถานที่กินก็เก่ง

หาสถานบันเทิงต่างๆ ก็เก่ง

 กดปุ๊บได้ปั๊บเลย รู้เลยว่าจะไปที่ไหน

 แต่จะเอาปัญญามาฆ่ากิเลสนี้หาไม่มี

 เพราะว่าเราไม่เคยคิดไปใน ทางปัญญากัน

 เราคิดแต่ในทางของกิเลสกันนั่นเอง

 เราจึงไม่มีปัญญากัน

 เราต้องมาหาครูบาอาจารย์

หาผู้ที่มีปัญญาเราถึงจะรู้ว่า

ปัญญานั้นเป็นอย่างไรกัน

ถ้าเราไม่มีพระพุทธศาสนา

 เราจะไม่ได้ยินได้ฟัง เรื่องราวเหล่านี้

 ลองไปศึกษาในศาสนาอื่น

ไม่มีศาสนาไหนเขาสอนแบบนี้

เขาไม่ได้สอนให้พิจารณาอสุภะกัน

เขาไม่ได้สอนให้พิจารณา

ความเป็นปฏิกูลของอาหาร

 เขาไม่ได้พิจารณา

สอนให้พิจารณาความไม่เที่ยงแท้

 แน่นอนของสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้

 รวมทั้งสังขารร่างกายของพวกเรา

 มีแต่คิดว่าจะอยู่ไปยั่งยืนไปเรื่อยๆ

นี่คือเรื่องของปัญญาที่จะตามมา

หลังจากที่เรามีสมาธิแล้ว

หลังจากที่เราหยุดความคิด

ที่จะคิดไปในทางกิเลส ตัณหาแล้ว

 เราก็จะมีกำลังที่จะบังคับ

ให้ใจคิดไปในทางปัญญา

ทางธรรมะได้

 แต่ถ้าเรายังไม่มีกำลัง

ที่จะหยุด ความคิด

ที่จะคิดไปในทางกิเลสได้

อย่าไปฝันเลยว่า

จะคิดไปในทางปัญญาได้

 ไม่มีวันหรอก

ขนาดหยุดความคิดของกิเลส

ยังหยุดไม่ได้

แล้วจะดึงความคิดไปคิด

ในทางปัญญาได้อย่างไร

 นี่แหละพระพุทธเจ้า จึงทรงสอนว่า

ให้เจริญสติก่อน ให้เชื่อพระพุทธเจ้า

 พระพุทธเจ้าไม่โกหกไม่หลอกลวง

 ท่านว่าสตินี้ เป็นธรรมที่สำคัญที่สุด

ถ้าไม่มีสติแล้วสมาธิจะไม่เกิด

ปัญญาจะไม่เกิด

 วิมุตติหลุดพ้นจะไม่เกิด

สตินี้ถ้าเปรียบเทียบในสมัยปัจจุบันนี้

ก็เหมือนกุญแจรถยนต์

ถ้าไม่มีกุญแจรถยนต์นี้

จะไปเปิดรถได้ไหม

 เปิดประตูรถได้ไหม

ไปสตาร์ทเครื่องได้หรือเปล่า

 ไปขับให้มันพาเราไปไหนมาไหน

ได้หรือเปล่า

พอกุญแจหายทำอย่างไร

เดือดร้อนกันแล้วละซิ อันนี้ก็เหมือนกัน

 จิตก็เป็นเหมือนรถยนต์

 จิตจะไปนิพพานได้ จิตก็ต้องมีกุญแจ

สตาร์ทจิตก่อน สตินี้เป็นตัวที่จะผลักดัน

ให้จิตไปทางนิพพานได้

เพราะจะผลักดัน ให้ไปสร้างสมาธิ

 แล้วผลักดันให้ไปสร้างปัญญา

พอมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา

มันก็จะฆ่ากิเลสตัณหา

ที่มีอยู่ภายในใจให้หมดไปได้

 พอกิเลสตัณหาที่มีอยู่หมดไปภายในใจ

 วิมุตติความหลุดพ้นก็จะปรากฏขึ้นมา

 มรรคผลนิพพานชั้นต่างๆ ขั้นต่างๆ

ก็จะปรากฏขึ้นตามลำดับ จนถึงขั้นสูงสุด

นี่คือความสำคัญของสติ อย่ามองข้าม

 คำว่าพุทโธคำเดียวนี้

มองแล้วมันอาจจะรู้สึกจะมองว่า

ไม่มีคุณค่าราคาอะไรเลย

ทำไมมันถึงมีประโยชน์

อย่างมหาศาลอย่างนั้น

ก็ดูกุญแจดอกเล็กๆ ดอกเดียวซิ

 มันไม่น่าจะมีคุณค่าราคาอะไรเลย

แต่มันทำไมจึงมีความสำคัญอย่างมาก

เวลากุญแจหายนี้เป็นอย่างไร

 รถก็เปิดไม่ได้ขับไม่ได้

รถจะราคาแพง ขนาดไหน

แพงกว่าราคากุญแจกี่ร้อยกี่พันเท่า

ก็ความสำคัญก็สู้กุญแจไม่ได้

เราจึงพยายามรักษากุญแจ

 กันยิ่งกว่าอะไร กลัวกุญแจหายกัน

 เวลาจะไปไหนนี้ ต้องคอยดูเสมอว่า

กุญแจอยู่ที่ไหน ถ้าเรามีสติแบบนี้

ก็จะดี ถ้าเราคอยควบคุม

คอยติดตามดูว่าพุทโธ

 เราตอนนี้หายไปไหนหรือเปล่า

 ให้เราคิดถึงพุทโธว่า

เหมือนกับกุญแจรถเถิด

ถ้าเราอยากจะขับรถไปไหน

 ขับจิตให้ไปถึงพระนิพพาน

 เราต้องมีพุทโธเพื่อเปิดทางให้กับจิต

 เพื่อที่จะได้เดินทางไปสู่พระนิพพานได้

ด้วยการสร้างสมาธิ

ด้วยการสร้างปัญญาขึ้นมา

นี่คือความสำคัญของสติ
 ถ้ามีสติแล้ว

สมาธิจะตามมาอย่างง่ายดาย

 คนที่เคยมีสติแล้วนั่งสมาธิ ๕ นาที ๑๐ นาที

 หรือบางทีไม่ต้องนั่งสมาธิเลย

 อย่างพระพุทธเจ้า สมัยที่เป็นเด็กนี้

 มีสติอยู่แล้ว พออยู่คนเดียว

 พอไม่มีใครมาห้อมล้อม

กายวิเวกปั๊บจิตก็วิเวก

จิตก็สงบทันทีเลย เพราะท่านเคยมีสติ

ติดต่อมาจากภพก่อน

 ชาติก่อน ท่านเคยบำเพ็ญ

เคยมีสมาธิอยู่แล้ว พอกายวิเวกปั๊บ

จิตก็จะวิเวกทันที

 เมื่อก่อนนี้ท่านต้องอยู่กับคนนั้น คนนี้

มีสนมกำนัลมีข้าราชบริพาร

คอยมารับใช้กิเลสตัณหาของท่าน

กิเลสตัณหาเลยไม่มีเวลาที่จะหยุดทำงาน

 พอไม่มีข้าราชบริพารมาคอยห้อมล้อม

มาคอยรับใช้ปั๊บ กิเลสตัณหา

ก็เลยไม่สามารถทำงานได้

 พอกิเลสตัณหาหยุดปั๊บ

จิตก็สงบขึ้นมาทันที

 นี่คือความสำคัญของสติ

ถ้ามีสติแล้วนั่งสมาธิ

 ๕ นาที ๑๐นาทีก็สงบ

บางคนบริกรรมไม่ถึง ๕ นาที

 บริกรรมนาที ๒ นาทีมันสงบเข้าไปแล้ว

 นี่แสดงถึงกำลังของสติ

ว่ามันมีมากขนาดไหน

ถ้าเราบริกรรมแล้วมันยังไม่สงบ

ก็แสดงว่ามันยังไม่บริกรรมอย่างเดียว

 มันบริกรรมแล้ว มันก็คิดถึงคนนั้นคนนี้

สิ่งนั้นสิ่งนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้

วิ่งไปวิ่งมา มันก็เลยไม่สงบ

ถ้ามันอยู่กับคำบริกรรมอย่างเดียว

 รับรองได้ว่า ๕ นาทีมันก็สงบได้

ดังนั้นก่อนที่เราจะมานั่งสมาธิ

ทำใจให้สงบได้นี้ เราต้องมีสิตก่อน

 เราต้องหมั่นเจริญสติให้มากๆ

 ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมานี้ให้พุทโธๆไปเลย

 บริกรรมพุทโธๆไป

ควบคู่กับการกระทำอะไรต่างๆ

 จะทำอะไรก็ทำไป

ถ้าไม่ต้องใช้ความคิดก็พุทโธไป

 เช่นอาบน้ำ ล้างหน้า ล้างตา

 แต่งเนื้อแต่งตัวนี้มันไม่ต้องใช้ความคิด

 ใช้บริกรรมพุทโธ

เพราะถ้าเราไม่บริกรรมพุทโธ

มันจะไปคิดถึงเรื่องต่างๆ

สังเกตดูเวลาที่เราอาบน้ำอาบท่า

 แต่งเนื้อแต่งตัวนี้

เราคิดถึงเรื่องอื่นหรือเปล่า

คิดอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้นเราอย่าให้มันคิดแบบนั้น

 พุทโธๆหยุดมัน

แต่เวลาทำงานนี้ต้องใช้ความคิด

ก็หยุดพุทโธได้ เช่นเวลาจะคิดบัญชีนี้

ถ้าพุทโธมันคิดไม่ได้

รายรับรายจ่ายนี้ มันต้องใช้ความคิด

แต่ความคิดแบบนี้ไม่เป็นปัญหาอะไร

เพราะมันเป็นความคิดเฉพาะกิจ

 คิดตามความจำเป็น

 มันไม่เหมือนกับความคิด

เพ้อเจ้อเพ้อฝันนี้

มันคิดไปได้ทั้งวันทั้งคืน

อยากจะได้โน่น อยากจะได้นี่

 อยากไปจะโน่น อยากจะมานี่

 โอ๊ย...มันคิดไปได้ทั้งวันทั้งคืน

อยากให้คนนั้นเป็นอย่างนั้น

 อยากให้คนนี้เป็นอย่างนี้

 ความคิดแบบนี้อย่าปล่อยให้มันคิด

 ใช้พุทโธๆหยุดมัน

พยายามพุทโธๆๆไปทั้งวัน

แล้วเวลาว่างมีเวลาว่าง ก็อย่าไปดูทีวี

 อย่าไปคุยกัน อย่าไปเล่นกัน

 ไปนั่งในห้องทำงานของเรา

หรือไปนั่ง ในห้องน้ำก็ได้

แล้วก็ไปนั่งพุทโธๆนั่งสมาธิ

จะได้ประโยชน์มากกว่า

ที่จะมาดูหนังสือพิมพ์

 ดูหนังสือแฟชั่น ดูอะไรต่างๆ

พอดูแล้วก็เกิดกิเลสตัณหา

เกิดความอยากขึ้นมา

เห็นกระเป๋าเดี๋ยวก็อยาก

จะไปซื้อกระเป๋าแล้ว

 เห็นเสื้อผ้าก็อยากจะได้เสื้อผ้า

 มันไปทางกิเลสตัณหาทั้งนั้น

ถ้าปล่อยให้มันคิด

มันจะคิดไปในทางกิเลสตัณหา

 ถ้าดูมันก็จะดูไปในทางกิเลสตัณหา

 ถ้าจะดูก็เปิดหนังสืออสุภะดูซิ

ดูตับไตไส้พุงดูอวัยวะต่างๆ

ดูโครงกระดูก ดูอะไรอย่างนี้

 ถ้าจะดูก็ดูให้มันเป็นปัญญา

 ดูเพื่อให้จิตสงบก็ต้องดูด้วยปัญญา

นี่คือการเจริญสติ

ถ้าเราเจริญสติ มีสติควบคุมความคิดได้

 เวลานั่งสมาธิมันจะไม่คิด

 มันจะพุทโธๆไปเดี๋ยวเดียว

 แล้วเดี๋ยวมันก็จะรวมเข้าสู่ความสงบ

 พอเรามีความสงบแล้ว

เราก็จะมีกำลังที่จะดึงจิต

ไปคิดในทางปัญญาได้

พอออกจากความสงบมา

 พอจิตจะคิดไปในทางกิเลส

ก็บอกว่าไปไม่ได้แล้วต้องมาทางนี้

 พอคิดถึงอาหารก็ต้องคิดถึงอาหาร

ที่อยู่ในปากแล้วหรืออยู่ในท้องแล้ว

อย่าไปคิดถึงอาหารที่อยู่ในจาน

พอคิดถึงแฟนก็คิดถึงซากศพของเขาบ้าง

 คิดถึงตับไตไส้พุงของเขาบ้าง

ถ้าคิดอย่างนี้แล้วมันก็จะทำลาย

ตัณหาความอยากได้

ความอยากนี้เป็นตัวที่ทำให้เรา

ต้องเวียนว่ายตายเกิดกัน

 ตัณหาความอยากนี้

เป็นตัวที่ทำให้เราต้องทุกข์

ต้องวุ่นวายใจกันไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น

 ได้มาเท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอ

 อยากจะได้อยู่เรื่อยๆ

อยากจะได้เพิ่มไปอยู่เรื่อยๆ

ไปจนถึงวันตาย พอตายไปแล้ว

ก็อยากจะกลับมาเกิดใหม่

อยากจะมาทำต่อ อยากจะกลับมา

อยากได้สิ่งนั้น สิ่งนี้ต่อ

ก็เลยทำให้จิตต้องกลับมา

มีร่างกายอันใหม่ มาเกิดใหม่

พอมาเกิดใหม่แล้วก็ต้อง

มาแก่ มาเจ็บ มาตายใหม่

มาพลัดพรากจากกันใหม่

 มาร้องห่มร้องไห้กันใหม่

นี่คือปัญหาของการที่ไม่มีสติ

 ถ้ามีสติแล้วก็จะมีสมาธิ มีความสุข

 มีความอิ่มมีความพอ

ก็จะมีกำลังสู้กับ

ตัณหาความอยากต่างๆได้

 ก็จะสามารถใช้ปัญญา

มาระงับตัณหาความอยากได้

 พอมีปัญญาแล้วตัณหาต่างๆ

ก็จะหมดไปจากใจ

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ก็จะหมดไปจากใจ

พอหมดไปจากใจแล้ว

 จะเหลืออะไร ก็เหลือแต่ความว่าง

เหลือแต่ความสงบ ที่เรียกว่า

นิพพานัง ปรมัง สุญญัง

นิพพานัง ปรมัง สุขังนี่เอง

ความสุขที่ยิ่งใหญ่ก็คือ

ความว่างของจิตใจ

นี่คือความว่างปราศจาก

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

 ปราศจากความคิดปรุงแต่ง

ไปในทางความโลภ

 ความโกรธ ความหลง

จิตก็ไม่ต้องมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไป

 จิตก็มีความสุขของพระนิพพาน

เป็นที่อยู่ไปตลอดไม่มีวันสิ้นสุด

จิตของพระพุทธเจ้า

และพระอรหันตสาวกทั้งหลายนี้

ไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่เหมือนเดิม

เพียงแต่ว่าไม่มีร่างกาย

มาเป็นตัวแทนมาเป็นผู้รับใช้เท่านั้นเอง

 เพราะไม่จำเป็นต้องใช้ร่างกาย

มาเป็นเครื่องมือมาหาความสุขแล้ว

 เพราะมีความสุขที่ดีกว่า

จากการทำใจให้สงบ

จากการระงับความโลภ ความโกรธ

ความหลง ความอยากต่างๆ นี่เอง

จึงไม่จำเป็นจะต้องมีร่างกาย

จึงไม่ต้องมาแก่ มาเจ็บ มาตาย

เหมือนพวกเรา ถ้าพวกเรายังไม่กำจัด

ความอยากต่างๆให้หมดไปจากใจ

พอร่างกายนี้ตายไปแล้ว

 เราก็จะกลับมามีร่างกายอันใหม่

 กลับมาแก่ มาเจ็บ มาตายกันใหม่

กลับมาทรมานวุ่นวาย

กับการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

กับการมาทำตามความอยากต่างๆ

แล้วก็ต้องมาเสียอกเสียใจ

เวลาที่สิ่งที่เราอยากได้

มาต้องจากเราไป

นี่คือปัญหาของการที่ไม่มีสตินี้นั่นเอง

 ถ้ามีสติแล้วปัญหาต่างๆ เหล่านี้

ก็จะหมดไป ขอให้เราให้ความสำคัญ

กับการเจริญสติให้มาก

เพราะสติจะพาให้เราไปได้ไ

ปสัมผัสกับนัตถิ สันติ ปรัง สุขัง

คือความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

“กายวิเวก”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 ธันวาคม 2559
Last Update : 10 ธันวาคม 2559 7:41:43 น.
Counter : 757 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ