Group Blog
All Blog
### การถ่ายทอดธรรมแท้ ###











“การถ่ายทอดธรรมแท้”

พวกเรานี้เป็นรุ่นหลานของหลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นนี้เป็นพ่อแม่ครูจารย์

หลวงตามหาบัวนี้ ก็เป็นเหมือนกับลูกหลวงปู่มั่น

 เราก็เป็นเหมือนหลานของหลวงปู่มั่น สืบทอดกันไป

 ศาสนาของเราที่มีการสืบทอดกันมาได้

 เพราะว่ามีการศึกษามีการถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์

 สู่ลูกศิษย์ แล้วลูกศิษย์ก็นำเอาไปปฏิบัติ

ปฏิบัติจนบรรลุธรรมก็สามารถที่จะถ่ายทอด

ให้แก่ผู้อื่นได้ต่ออย่างถูกต้อง

 ถ้าไม่ปฏิบัติไม่บรรลุธรรมนี้ จะไม่สามารถ

ที่จะถ่ายทอดธรรมแท้ได้ พูดง่ายๆ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ

เพียงแต่เรียนอย่างเดียว ธรรมที่เรียนนี้

หลวงปู่มั่นบอกว่ายังเป็นธรรมปลอมอยู่

เพราะว่ามันยังไม่ได้เข้าไปในใจ

ยังไม่ได้เข้าใจไปชำระกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในใจ

 ดังนั้นเวลาผู้ที่แสดงธรรม ที่ได้จากการเรียน

จากการศึกษานี้ มันจะแสดงด้วยใจที่ยังมีกิเลสอยู่

มีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่

มันจะไม่เป็นธรรมแท้ จะเป็นธรรมที่คิดปรุงเเต่ง

 เป็นจินตนาการธรรม

อย่างญาติโยมนี้ ธรรมต่างๆ ที่ญาติโยมได้ยินได้ฟัง

ญาติโยมก็ได้แต่จินตนาการว่าสติเป็นอย่างไร

 สมาธิเป็นอย่างไร สงบเป็นอย่างไร

ปัญญาเป็นอย่างไร เห็นไตรลักษณ์แล้วเป็นอย่างไร

 แต่ยังไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร

แล้วถ้ามีคนรู้แบบนี้มาสั่งสอนผู้อื่น

มันก็จะไม่เกิดประโยชน์

 เพราะว่าไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาก่อนมาหลัง

 ก็จะสับสน อย่างสมัยนี้ก็มักจะพูดว่าเอาปัญญาก่อน

 สมัยนี้เป็นยุคปัญญาชน

ทุกคนเรียนจบปริญญาตรี โท เอกกัน

มีปัญญา สามารถอ่านศึกษาพระไตรปิฎกได้

เข้าถึงแก่นของศาสนาได้ เข้าถึงพระอริยสัจ ๔

 เข้าถึงพระอภิธรรม ธรรมชั้นสูงได้

 แต่ธรรมเหล่านี้ที่ได้จากการอ่านการศึกษานี้

ไม่สามารถนำไปชำระกิเลสตัณหาที่มีอยู่ภายในใจได้

 กิเลสมันไม่กลัวธรรมแบบนี้ ตัณหามันไม่กลัว มันชอบ

 มันก็เอาธรรมแบบนี้มาเป็นลูกน้องเสียด้วยซ้ำไป

มาหลอกคนที่มีความรู้จากการเรียนรู้นี้ว่าเป็นผู้ฉลาด

 เป็นผู้ที่มีปัญญาแหลมคม

แต่ถูกกิเลสมันคอยสั่งคอยสอน อยู่ตลอดเวลา

สอนให้โลภ สอนให้อยากได้ลาภยศ สรรเสริญ

โดยไม่รู้สึกตัว

เห็นไหมบรรดาพระที่เรียนจบเปรียญ ๙ กัน

 ท่านก็ไปทางสมณศักดิ์ ไปเป็นเจ้าฟ้า เจ้าคุณ

ไปเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะอะไรต่างๆ

แล้วก็ไปรับลาภสักการะมีรถเก๋งมาใช้

กุฏที่อยู่อาศัยนี้หรูหรา

ยิ่งกว่าบ้านของญาติโยมที่ใส่บาตรให้เสียด้วยซ้ำไป

ดีไม่ดีบิณฑบาตก็บิณฑบาตไม่เป็น

 พระที่มีสมณะสูงนี้รู้สึกว่า การบิณฑบาตนี้

มันเป็นเรื่องของขอทาน

ไม่ใช่เรื่องของผู้มีวุฒิปริญญา

 สังเกตดูพระที่เป็นเจ้าฟ้า

 เจ้าอะไรนี้ไม่ค่อยบิณฑบาต

เราสังเกตดูหลวงปู่มั่น

 ท่านบิณฑบาตจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต

พอแก่แล้วบิณฑบาต เดินไปถึงหมู่บ้านไม่ไหว

ก็ไปแค่ครึ่งทาง ชาวบ้านก็ออกมาครึ่งทางมาใส่บาตร

พอเดินไปถึงครึ่งทางไม่ไหว ก็เอาแค่หน้าประตูวัด

พอหน้าประตูวัดไม่ไหวก็เอาบนศาลา

บิณฑบาตจนไม่มีเรี้ยวไม่มีแรงที่จะบิณฯได้

 ท่านจึงจะเลิกบิณฑบาต

 เพราะการบิณฑบาตนี้พระที่บวชใหม่

ถูกสอนตั้งแต่วันแรกแล้วว่า ให้บิณฑบาตเลี้ยงชีพ

นี่คือหน้าที่ นี่คือนิสัยของพระ

ต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพต้องพึ่งตนเอง

 แต่พอได้เรียนรู้ได้ลาภสักการะ

ก็เลยไม่ต้องบิณฑบาตมีคนเอาอาหารมาส่งให้ถึงวัด

หรือถ้าไม่มีวันไหนก็สั่งให้ลูกศิษย์ไปซื้อมาได้

 ก็เลยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบิณฑบาต

 แต่ก็ต้องพึ่งลาภสักการะ

ก็ต้องคอยหาลาภสักการะมา

 แทนที่จะบิณฑบาต

ถ้าบิณฑบาตก็ไม่ต้องมาพึ่งลาภสักการะ

ญาติโยมไม่ถวายเงิน ไม่เอาอาหารมาถวายที่วัด

 ก็ไม่เดือดร้อน บิณฑบาตทุกวันมีกิน สบายกว่า

 ถ้าไม่บิณฑบาตก็ต้องสั่งเขามาซื้อเขามา

วันไหนไม่มีคนมานิมนต์ไปฉัน

ก็ต้องให้ลูกศิษย์ไปซื้อกับข้าวกับปลามากิน

 ก็ชอบแบบนั้นเพราะเลือกได้

 อยากจะกินอะไรก็สั่งได้

 อยากจะกินหูปลาฉลามก็สั่งมาได้

 กินไก่ทอด เนื้อทอด

นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่พระพุทธเจ้าสอนให้บิณฑบาต

 ให้บิณฑบาตยังชีพให้ยินดีตามมีตามเกิด

เพราะการบิณฑบาตนี้เลือกอาหารไม่ได้

เขาใส่บาตรอะไรมาเราก็กินไปตามมีตามเกิด

 กินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน

ถ้าอยู่เพื่อกินก็อยู่เพื่อกิเลส

 การมาบวชนี้มาบวชเพื่อกำจัดกิเลส

ไม่ใช่มาส่งเสริมกิเลส

พระพุทธเจ้าทรงสอน

 กิจวัตรที่พระพึ่งกระทำอยู่ ๔ ข้อ

 พอบวชเสร็จนี้ อุปัฌชาย์สั่งสอน

กิจวัตร ๔ ข้อนี้ทันทีว่า

 กิจที่พระภิกษุ พึงกระทำตลอดชีวิตคือ

 ๑.บิณฑบาตเลี้ยงชีพ

 ๒.อยู่ตามโคนไม้ ไม่ต้องอยู่กุฏิ

หาที่อยู่ตามโคนไม้ในป่า

 แต่ถ้ามีคนถวายกุฏิให้อยู่ก็อยู่ได้

 แต่ถ้าไม่มีใครถวายไม่มีกุฏิ

ก็ไปอยู่ตามโคนไม้กัน รุกขมูลเสนาสนัง

 ข้อที่ ๓. ให้ใช้ผ้าบังสุกุล ผ้าบังสุกุลคือผ้าที่เขาทิ้ง

 เช่นผ้าห่อศพ ผ้าในป่าช้า

 ไปเก็บผ้าเหล่านี้มาเย็บมาซักย้อมเป็นจีวร

 คือเป็นผ้าขี้ริ้ว พูดง่ายๆ ไม่ให้ใช้ผ้าดีๆ

แล้วยารักษาโรคก็ให้ใช้ ยาดองน้ำมูตร

 ยาดองน้ำปัสสาวะ สมัยก่อนเวลาไม่สบาย

เขาก็กินยาดองน้ำปัสสาวะกัน แม้แต่ในสมัยนี้

 คนบางคนเขายังดื่มน้ำปัสสาวะ เป็นยารักษาโรค

นี่คือปัจจัย ๔ ของนักบวช

ของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา

แต่สมัยนี้เราก็ไม่ได้ปฏิบัติอย่างนั้น

 เราก็ปฏิบัติตามประเพณีตามมีตามเกิด

 คือจีวรก็มีใครถวายผ้ามา ก็เอามาตัดเย็บไป

 หรือมีใครมาถวายจีวรสำเร็จรูปก็เอามาใส่ไป

แต่ไม่ต้องไปสั่งว่าจะต้องเอาผ้าชนิดนั้น

 ผ้าไหมหรือว่าผ้าที่มาจากเมืองนอกเมืองนาหรืออะไร

ให้ยินดีตามมีตามเกิด

 แล้วก็มีกิจอีก ๔ ข้อที่ห้ามไม่ให้ทำ

 กิจที่ห้ามไม่ทำก็คือ

 ๑. ห้ามเสพเมถุนคือห้ามร่วมหลับนอนกับสีกา

 ๒. ห้ามลักทรัพย์

๓. ห้ามฆ่ามนุษย์

๔.ห้ามอุตริคุณธรรมวิเศษที่ไม่มีในตน

 ถ้าทำ ๔ ข้อนี้ข้อใดข้อหนึ่งก็ถือว่า

ขาดจากการเป็นพระทันที ไม่ต้องมีใครมาจับสึกหรอก

 ตัวเองควรจะสึกเอง เพราะถือว่าไม่ได้เป็นพระ

ในพระพุทธศาสนาแล้ว

ไม่มีทางที่จะไปถึงพระนิพพานได้แล้ว

 เพราะถ้ามาบวชแล้วมาทำการกระทำทั้ง ๔ ข้อนี้

 ถือว่าไปคนละทิศทางแล้ว

จะไม่มีวันที่จะเดินทางไปถึงพระนิพพานได้

นี่คือเรื่องของคำสอน ของพระพุทธเจ้า

ที่ทรงสอนให้กับผู้ที่มาบวช เรียกว่า บุพกิจ

 กิจในเบื้องต้น ของผู้ที่มาบวชที่ควรจะรู้

 เขาเรียกว่า อนุศาสน์ มีกิจข้อพึ่งกระทำ

 และกิจที่ไม่พึงกระทำ ๔ ข้อรวมเป็น ๘ ข้อด้วยกัน

ถ้าใครปฏิบัติตามคำสอนนี้ได้

ก็จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา

ครูบาอาจารย์ท่านจึงมักปฏิบัติแบบนี้กัน

สายวัดป่านี้ท่านจะถือเรื่องการบิณฑบาต

เป็นภารกิจสำคัญ

 ท่านจะอยู่ตามป่าตามเขากัน

 เพราะเป็นที่เหมาะสมต่อการเจริญธรรมต่างๆ

 การใช้ผ้าบังสุกุลก็จะทำให้ไม่โลภ

ไม่หลงกับผ้าสวยๆงามๆ ให้ใช้ผ้าขี้ริ้ว

ไปเก็บเศษผ้าที่เขาทิ้งไว้มาสะสม

พอได้ปริมาณที่จะมาเย็บมาตัดมาต่อ

 ให้เป็นจีวรได้ แล้วก็ย้อมด้วยน้ำที่สกัดมาจากแก่นไม้

 เอาแก่นขนุนนี้มาต้มแล้วมันจะออกสีเหลืองๆ

ก็จะเป็น ผ้ากาสาวพัสตร์

ยารักษาโรคก็รักษาไปตามมีตามเกิด

นี่คือปัจจัย ๔ ของนักบวช ถ้าอยู่อย่างนี้ได้

ก็ไม่ต้อง ไปรบกวนคนอื่น

พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้พระไปขอสิ่งของต่างๆ

จากผู้ที่ไม่ใช่เป็นญาติ

หรือผู้ที่ไม่ได้เสนอตัว ปวารณาตัว

 อย่างโยมนี้เราไม่รู้จัก อยู่ดีๆเราจะบอกว่า

อยากจะได้จีวรสักผืนนี้บอกไม่ได้

อยากจะได้ยานี้บอกไม่ได้ จะบอกได้ก็ต่อเมื่อ

โยมพูดไว้ต่อหน้าก่อนว่า ถ้าท่านต้องการอะไร

 ในสิ่งที่สมควรต่อการบริโภคของพระภิกษุ

ก็ให้บอกข้าพเจ้าได้ ถ้าบอกล่วงหน้านี้

เวลาขาดแคลนอะไร เวลาจีวรขาดนี้ก็บอกได้

แต่ถ้าไม่ได้เป็นญาติ

หรือไม่ได้บอกกันล่วงหน้าไว้ก่อนนี้

ไปบอกไปขอไม่ได้ เช่นพระสมัยนี้

ชอบไปขอเงินค่ารถกัน เจอใครก็ชอบขอเงินค่ารถ

 ไม่รู้จะเดินทางไปไหนหรือเปล่า ญาติโยมก็เกรงใจ

 เมื่อพระขอแล้วถ้าไม่ให้ก็รู้สึกว่า ใจจืดใจดำหรือเปล่า

 เป็นบาปเป็นกรรมหรือเปล่า

ถ้าได้ศึกษาพระวินัยแล้วก็จะรู้ว่าไม่ควรให้

เพราะมันเป็นการส่งเสริม กิเลสตัณหาของพระ

ญาติโยมไม่รู้หรอกว่าการมาบวชนี้

มาบวชเพื่อกำจัดกิเลสตัณหาไม่ให้โลภมาก

 ไม่ให้อยากได้นั่นอยากได้นี่

ให้มาอยู่แบบคนยากจน ให้อยู่แบบตามมีตามเกิด

ความจริงหน้าที่ของพระไม่ได้มีหน้าที่มาสร้างโบสถ์

 สร้างเจดีย์ แต่พระมีหน้าที่มาสร้างคุณธรรม

พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างโบสถ์สร้างวัด

พระพุทธเจ้าสร้างแต่พระอริยเจ้า สร้างพระโสดาบัน

สร้างพระสกิทาคามี สร้างพระอนาคามี

สร้างพระอรหันต์ ท่านไม่เคยสร้างวัดเลย

 มีแต่ศรัทธญาติโยมที่มีกำลังแล้วอยากจะสร้างถวาย

ให้พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ก็สร้าง

คนหนึ่งเป็นมหาเศรษฐี คนหนึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

 เรื่องการสร้างวัดสร้างถาวรวัตถุนี้

เป็นหน้าที่ของศรัทธาญาติโยม เป็นเรื่องของศรัทธา

 เช่นญาติโยมบางคนหลังจากได้พบได้ฟังธรรมแล้ว

ก็เกิดความประทับใจ เห็นคุณค่าของพระธรรม

 เห็นคุณค่าของวัดวาอารามก็อยากจะสร้าง ก็สร้างกันได้

ญาติโยมไปสร้างกันเอง ญาติโยมไปเรี่ยไรกันเอง

 เพียงแต่ว่ามาบอกให้พระทราบก่อนว่าจ

ะสร้าง พระจะอนุญาตไหม ถ้าอนุญาตก็สร้างได้

ถ้าไม่อนุญาตก็สร้างไม่ได้

อย่างวัดหลวงตานี้มีคนไปขอสร้างเยอะแยะไปหมด

 แต่ท่านไม่ให้สร้าง เพระท่านว่ามันไม่มีความจำเป็น

 สำหรับวัดปฏิบัติที่จะต้องมีโบสถ์ มีเจดีย์

 สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องมีก็มีแล้ว เช่นศาลา กุฏิก็พอแล้ว

 ก็เลยไม่ให้สร้าง

 เพราะการก่อสร้างแบบไม่มีขอบไม่มีเขต

มันก็มารบกวนการปฏิบัติธรรมของพระนั่นเอง

 เมื่อมีการก่อสร้าง มันก็จะมีคนพลุกพล่าน

มันก็จะมีเสียงอึกทึกครึกโครม

วัดที่ปฏิบัติธรรมนี้เขาต้องการความสงบ

 ดังนั้นหลวงตานี้คอยควบคุม

เรื่องการก่อสร้างในวัดอย่างมาก

 และเวลาที่ท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ลูกหา

 ท่านก็จะมีการสังเกตกันว่ามีการก่อสร้างกันหรือเปล่า

แล้วท่านก็จะคอยตักคอยเตือนว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา

 ไม่ใช่หน้าที่ของพระที่จะมาก่อสร้าง

 ยกเว้นมันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่มันขาดแคลน

 เช่นไม่มีกุฏิอยู่หรือ กุฏิเก่ามันพังแล้ว

ต้องซ่อมใหม่ต้องสร้างใหม่ อันนี้ก็มีเหตุมีผล

 แต่มันต้องมีขอบมีเขต ไม่ใช่ใครอยากจะถวายก็สร้าง

โดยที่บางทีสร้างแล้วก็ไม่มีพระเณรมาอยู่

หรือมาอยู่ก็มากเกินไป

วัดปฏิบัตินี้เขาจะต้องมีปริมาณที่เหมาะสม

ถ้ามากเกินไป ความสงบสงัดวิเวกมันก็จะหายไป

จึงต้องควบคุมปริมาณของพระเณร

 สมัยที่เราไปอยู่นั้นหลวงตาท่านคุมไว้แค่ ๑๘ รูป

รับพระเพียง ๑๘ รูป แต่ต่อมาก็มีความจำเป็น

เพราะครูบาอาจารย์ที่อาวุโสกว่าท่านก็ร่วงโรยไป

 พระเณรก็ไม่มีที่พึ่งพาอาศัย ก็ต้องมาพึ่งหลวงตา

 ท่านก็เลยเมตตารับเพิ่ม แต่ก็ไม่สร้างกุฏิเพิ่ม

กลับไปสร้างแคร่ไว้ในป่า แคร่ก็คือที่ประมาณ

 ช่องที่เรานั่งอยู่นี้มี ๔ เสาแล้วก็มีหลังคา

ไม่มีฝาไม่มีหน้าต่างไม่มีประตู

 ใช้ผ้าจีวรเป็นฝาผนังอยู่ในป่า

พอหลบแดดหลบฝนได้ อยู่กันแบบนี้

 อยู่แบบพระธุดงค์ เวลาพระไปธุดงค์ในป่า

ท่านก็ไม่ได้ เอากุฏิไปด้วย

ไปอยู่ที่ไหนญาติโยมก็ทำแคร่ที่นั่งเล็กๆให้นั่ง ให้นอน

 หลังคาก็ไม่มีท่านก็ใช้มุ้งกลด เป็นหลังคากางกลดเอา

 ท่านจะธุดงค์ในช่วงฤดูแล้ง

ถ้าฤดูฝนนี้ต้องอยู่ที่ไหนที่หนึ่งที่มิดชิดหน่อย

 เช่นอยู่ในถ้ำอะไรอย่างนี้หลบฝนได้

ถ้าไปธุดงค์หน้าฝนแล้วไปกางกลด กลดก็เปียก

นี่ก็เล่าเรื่องชีวิตของพระปฏิบัติให้ฟัง

 จะได้เห็นภาพว่าสมัยพระพุทธเจ้า

กับพระสมัยนี้อยู่กันอย่างไร

สมัยนี้กุฏิเหมือนกับวัง มีพรม มีเฟอร์นิเจอร์

สมัยก่อนจึงมีคนบรรลุมากๆ

พระภิกษุบรรลุธรรมมาก

 เพราะท่านมีบรรยกาศที่เอื้อต่อการปฏิบัติ

ต่อการบรรลุนั่นเอง แต่สมัยนี้มันมีแต่บรรยากาศ

ที่ต้านการบรรลุ ความสุขต่างๆ

ทางร่างกายนี้มันเป็นตัว ที่จะทำให้บรรลุยาก

ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 อยู่ดีกินดีอิ่มหมีพีมัน

 กินแล้วก็นอนมีความสุขทางร่างกาย

 แต่จิตใจร้อนเป็นไฟด้วยความโลภ

 ความโกรธ ความหลง

ญาติโยมก็อยากจะ ให้พระสุขสบาย

อาหารก็ถวายเยอะแยะ กุฏิก็สร้างให้อยู่อย่างสบาย

แต่ไม่รู้หรอกว่ามันไม่ได้เป็นการเอื้อต่อการบรรลุธรรม

 แต่เป็นการสร้างอุปสรรคสร้างนิวรณ์

 ทำให้ไม่สามารถทำใจให้สงบได้

ทำให้ไม่สามารถเจริญปัญญาได้

สมัยพุทธกาลนี้พระท่านอยู่กันตามป่าตามเขา

ไม่ค่อยอยู่ในวัดกันไม่ค่อยมีวัด ปลีกวิเวก

 ธรรมจะเกิดก็ต่อเมื่อ อยู่ในที่สงบสงัดวิเวก

 ห่างไกลจากเเสงสีเสียง

 ถ้าอยู่ใกล้แสงสีเสียงใจก็จะไม่สงบ

 ใจก็จะเกิดความอยากที่จะเสพ

รูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ

 นั่งสมาธิใจก็จะไม่สงบ

อย่างญาติโยมนี้ไม่มีวันที่จะนั่งสมาธิ

ให้สงบได้หรอก นั่งก็พอหอมปากหอมคอ

พอให้ความวุ่นวายใจมันเบาลงไปหน่อยเท่านั้นเอง

 แต่ที่จะให้จิตรวมเป็นสมาธินี้ยาก

เพราะว่าญาติโยมไปติดอยู่กับรูปเสียงกลิ่นรส

 ใจจะสงบได้ต้องตัดรูปเสียงกลิ่นรสออกไป

 ตอนนี้ใจถูกรูปเสียงกลิ่นรสดึงออกมา ใจจึงไม่สงบ

 ถ้าอยากจะให้สงบต้องดึงใจกลับเข้าไปข้างใน

 ต้องดึงออกจากรูปเสียงกลิ่นรส

ดังนั้นการจะดึงได้นี้มันต้องปฏิบัติทั้งวันทั้งคืน

 เพราะเรานั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง

พอออกมาปั๊บเราก็ไปเปิดทีวีดู

 ไปเปิดตู้เย็นหาอะไรดื่มหาอะไรกินต่อ

 อย่างนี้มันยังไม่ได้ปฏิบัติจริงๆ จังๆ

ปฏิบัติแบบดูหนังตัวอย่าง

ชิมหน่อย ชิมรสของการนั่งสมาธิสัก ๒๐ นาที ๓๐ นาที

พอลุกออกมาก็อยากรูปเสียงแล้ว อยากหาขนมกิน

 อยากหาเครื่องดื่มมาดื่ม อยากดูทีวีดูอะไร

ดูมือถือเดี๋ยวนี้มือถือมีให้ดูทุกอย่าง

อยากจะดูอะไรนี้เปิดดูได้เลย

คนที่อยากจะนั่งสมาธิให้สงบนี้ต้องปิด

ต้องไม่ใช้มือถือ

 ใช้เฉพาะเวลาจำเป็น เช่นต้องติดต่อธุระ

ใช้เป็นแค่โทรศัพท์ก็พอ แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่ต้องใช้

ถ้าอยากจะให้จิตเข้าข้างใน

 ต้องตัดเรื่องข้างนอก ออกไปให้หมด

ไม่รับไม่สนใจไม่ติดต่อกับใคร

ถ้ามันยังติดต่ออยู่มันจะคอยกังวล

ว่ามีใครโทรเข้ามาหรือยัง

หรือบางทีเราก็อยากจะโทรหาคนนั้นโทรหาคนนี้

ใจมันก็เข้าข้างในไม่ได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

................................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๙






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 08 กันยายน 2559
Last Update : 8 กันยายน 2559 10:05:29 น.
Counter : 799 Pageviews.

1 comments
  
สาธุอนุโมทนาค่ะ
โดย: +Just An Ugly Woman+ วันที่: 8 กันยายน 2559 เวลา:14:45:37 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ