Group Blog
All Blog
### กามสุขเป็นความสุขสำหรับคนโง่เขลาเบาปัญญา ###













“กามสุขเป็นความสุข

สำหรับคนโง่เขลาเบาปัญญา”

การปฏิบัติเนกขัมมะหมายถึงการออกจากกามสุข

 กามสุขเป็นความสุขสำหรับคนโง่เขลาเบาปัญญา

สำหรับคนที่ยังมีอวิชชา โมหะครอบงำจิตใจอยู่

จะเห็นว่ากามสุขเป็นสุข แต่คนฉลาดจะเห็นว่า

กามสุข เป็นเหมือนกับเหยื่อที่ติดอยู่ปลายเบ็ด

เมื่อปลาที่ไม่ฉลาดไปงับเอาเหยื่อนั้นเข้าไปแล้ว

 ก็จะต้องถูกเบ็ดนั้นเกี่ยวที่ปากที่คอ

ทำให้ไม่สามารถดิ้นหลุดจากเบ็ดนั้นไปได้ ฉันใด

กามสุขก็ฉันนั้น กามสุขเป็นความสุขที่เกิดขึ้น

ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวในขณะที่ได้สัมผัส ได้เสพ

 แต่หลังจากที่ผ่านไปแล้ว ก็จะมีความทุกข์ตามมา

 ทุกข์เพราะเมื่อไม่ได้เสพครั้งต่อไป ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา

 ทุกข์เพราะอยากจะเสพ เพราะกามสุขไม่ทำให้เกิดความอิ่ม

 เกิดความพอ เมื่อเสพครั้งที่หนึ่งแล้วก็ต้องเสพครั้งที่ ๒

 ครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔ ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

 เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็เป็นเหมือนยาเสพติดนั่นเอง

 ยาเสพติดเมื่อเสพไปแล้ว จะต้องเสพไปเรื่อยๆ

 และจะต้องเสพเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ

ถึงจะรู้สึกว่ามีความสุข ฉันใด

กามสุขก็เป็นฉันนั้น กามสุขมีความทุกข์เจือปนอยู่

เป็นตัวเหนี่ยวรั้งให้สัตว์โลกทั้งหลายไม่สามารถหลุดพ้น

 จากการเวียนว่ายตายเกิดไปได้

ตายจากภพนี้ก็ต้องไปเกิดภพหน้าต่อไป

แล้วก็ไปเสพแบบเดียวกัน เป็นอย่างนี้มาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว

 ในอดีตก็เป็นอย่างนี้ แล้วก็จะเป็นต่อไปในอนาคต

 ถ้าไม่เจริญเนกขัมมบารมี เนกขัมมปฏิบัติ

 ถ้าไม่สลัดใจให้ออกจากกามสุขนี้แล้ว

ใจก็จะติดอยู่กับกามสุขนี้ไปอย่างไม่สุดสิ้น

แต่ถ้าได้เจริญเนกขัมมปฏิบัติ คือมาอยู่วัดถือศีล ๘

 หาความสุขจากความสงบของจิตใจ

 ความสุขที่เกิดจากการไหว้พระสวดมนต์

ความสุขที่เกิดจากการนั่งสมาธิ

 ความสุขที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนา

นี่คือการปฏิบัติที่จะทำให้จิตใจเกิดความสงบสุขขึ้นมา

 เพราะเนกขัมมปฏิบัตินี้จะไปทำลาย ความโลภ

 ความอยากทั้งหลาย ที่มีอยู่ในจิตใจ

การที่จิตใจไม่สงบ ก็เพราะความโลภความอยากนั่นเอง

ถ้าสามารถกำจัดความโลภ ความอยาก

ให้ออกไปจากจิตจากใจได้แล้ว ใจก็จะสงบ

 เมื่อใจสงบแล้วใจก็มีความสุข นี่ก็คือสาเหตุที่เรามาปฏิบัติกัน

 อยู่วัดถือศีล ๘ กัน ก็เพื่อปฏิบัติเนกขัมมะนั่นเอง

ละกามสุข อยู่แบบง่ายๆ กินแบบง่ายๆ นอนแบบง่ายๆ

 ข้าวเราก็รับประทานพออยู่ พอรักษาร่างกายให้อยู่ไปได้

 ไม่ได้แสวงหาความสุขจากการรับประทาน

 ที่นอนของเราก็ไม่ใช่เป็นที่นอนที่ใหญ่โต ที่มีฟูกหนา

นอนหลับสบาย นอนได้นาน แต่เป็นที่นอนแบบบางๆ

หรือนอนกับพื้น นอนกับเสื่อ เพียงเพื่อพักผ่อนร่างกาย

 คืนหนึ่งพักประมาณ ๔ ถึง ๕ ชั่วโมงก็พอเพียงแล้ว

ถ้าเป็นนักปฏิบัติแล้ว ไม่ต้องนอนมาก ไม่ต้องกินมาก

 กินเท่าที่จำเป็น นอนเท่าที่จำเป็น

 เพื่อให้ร่างกายไม่ชำรุดทรุดโทรมเท่านั้นเอง

 แต่จะทุ่มเทเวลาไปสู่การปฏิบัติ สู่การไหว้พระสวดมนต์

นั่งทำสมาธิและเจริญวิปัสสนา

กำหนดดูความ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน

ของสภาวธรรมทั้งหลาย ถ้าเห็นสิ่งต่างๆว่าเป็นของไม่เที่ยง

 เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนแล้ว ก็จะปล่อยวางได้

จะไม่เอาสิ่งเหล่านี้ จะเอาสิ่งที่ไม่อยู่กับเราไปตลอดทำไม

 จะเอากับสิ่งที่ให้ความทุกข์กับเราทำไม

 จะเอากับสิ่งที่ไม่ใช่เป็นของๆเราทำไม

 เป็นของที่เขาให้ยืมมาใช้ สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเอาคืนไป

 อย่างเช่นร่างกายของเรานี้ ก็เป็นของที่ไม่ใช่เป็นของๆเรา

ได้มาจากพ่อแม่เรา ใจของเราเพียงแต่มายึด

มาครอบครองเท่านั้นเอง แล้วเขาก็ให้ไปใช้ได้ระยะหนึ่ง

 เวลาก็ไม่แน่นอน บางคนก็ใช้อยู่ได้นาน ๘๐ ถึง ๙๐ ปี

บางคนก็อยู่ได้แค่ ๓ วัน ๗ วันก็ตายไปแล้วก็มี

 เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงทรงสอนให้ใช้ปัญญา

ให้พิจารณาให้เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง

 อย่าไปยึด อย่าไปติด อย่าไปยินดี

สิ่งที่เที่ยงแท้มีอยู่แล้วในตัวของเรา ก็คือใจของเรานี่แหละ

 ใจของเราอยู่กับเรามาตลอด แล้วก็จะอยู่กับเราไปตลอด

 ไปเกิดกี่ภพกี่ชาติก็เป็นใจตัวนี้แหละที่พาเราไป

 ที่เรามาเกิดนี้ก็มากับใจนี้ ใจเป็นผู้พาเรามาเกิด

 แล้วเมื่อเราตายไป ใจก็ไปกับเรา

 ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการดูแลรักษาใจนั่นเอง

 ขณะนี้ใจของเราไม่เป็นปกติ

 เปรียบเหมือนกับคนที่ยังมีโรคภัยไข้เจ็บอยู่

ต้องหายามากินรักษาร่างกาย ให้หายจากโรค

 ไม่มีใครอยากจะทนทรมานอยู่กับโรคหรอก

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยทุกคนจะต้องหายา

 หาหมอด้วยกันทั้งนั้น ฉันใด

ใจของเราก็เหมือนกับร่างกาย

เป็นใจที่ยังมีความทุกข์อยู่ เป็นใจที่ยังมีกิเลสคอยรุมเร้า

 สร้างความทุกข์ให้กับใจอยู่ ยังเป็นโรคทุกข์อยู่

และสิ่งที่จะรักษาโรคทุกข์นี้ได้ ก็คือพระธรรม

คำสอนของพระพุทธเจ้า

ที่พวกเราได้มาปฏิบัติกันในวันนี้นั่นเอง

 ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติเนกขัมมะ

 ถือศีล ๘ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ไปดู ไม่ไปฟัง

 ไม่ไปสัมผัสกับกลิ่น กับรส กับสัมผัสต่างๆ

ที่ทำให้เกิดความโลภ เกิดความอยากขึ้นมา

 ไม่แสวงหาสิ่งเหล่านี้ แสวงหาแต่ความสงบสุขของจิตใจ

 ด้วยการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เพื่อทำให้จิตใจสะอาดหมดจด ชำระเชื้อโรคของใจ

 ที่ทำให้เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

ต้นเหตุของโรคของความทุกข์ หรือเชื้อโรคของใจ

 ก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆนั้นเอง

 เป็นสิ่งที่เราจะต้องทำลาย ด้วยการปฏิบัติเนกขัมมะ

ดังที่ท่านทั้งหลายได้มาปฏิบัติกัน

 ถ้าได้ปฏิบัติไปแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง

จะค่อยๆเบาบางลงไป เมื่อได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องแล้ว

 ในที่สุดกิเลสตัณหาทั้งหลายก็จะหมดไป

เพราะพระพุทธเจ้าก็ได้ปฏิบัติมาแล้ว

พระอรหันตสาวกก็ได้ปฏิบัติมาแล้ว ด้วยวิธีการเดียวกัน

 ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติเนกขัมมะ

เจริญจิตตภาวนา จนจิตของท่านสะอาดบริสุทธิ์

 เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วก็หมดปัญหา

 จิตก็เป็นจิตที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอีกต่อไป

 คือไม่มีความทุกข์ เพราะได้ทำลายเชื้อ

คือความโลภความอยากทั้งหลาย

 ที่สร้างความทุกข์ให้กับจิตหมดสิ้นไป

พวกเราผู้มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า

ในพระธรรม และพระสงฆ์ จึงควรน้อมเอาปฏิปทาอันดีงาม

 ของพระพุทธเจ้าและของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

 มาประพฤติปฏิบัติตาม โดยอาศัยสัจจอธิษฐาน

 คือความตั้งใจอันแน่วแน่จริงจังเป็นกำลังใจ

 ขอให้ได้ปฏิบัติธรรมตามอย่างพระพุทธเจ้า

 และพระอรหันตสาวกไปจนกระทั่งชีวิตจะหาไม่

วันไหนมีเวลาว่างขอให้ได้ปฏิบัติธรรม ขอให้ได้เข้าวัด

 ขอให้ได้ทำบุญ ถ้ามีความแน่วแน่

และมีความจริงจังต่อสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้แล้ว

 เชื่อได้เลยว่าความสุขความเจริญ

จะต้องเป็นของท่านอย่างแน่นอน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

กัณฑ์ที่ ๘๖ วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๔ (กำลังใจ ๕)

“กำลังใจ”









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 08 มีนาคม 2559
Last Update : 8 มีนาคม 2559 10:34:18 น.
Counter : 892 Pageviews.

1 comments
  


สาธุ

คิดได้

รู้ได้

ทำ หาได้ไม่
โดย: สมาชิกหมายเลข 2991996 วันที่: 8 มีนาคม 2559 เวลา:11:50:18 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ