Group Blog
All Blog
### ความสุขที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกได้สัมผัส ###













“ความสุขที่พระพุทธเจ้า

และพระอรหันตสาวกได้สัมผัส”

ความสุขที่แท้จริงอยู่ในปัจจุบัน อยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้

อยู่ในขณะที่มีสติ ถ้ามีสติจิตจะไม่ฟุ้งซ่าน

นั่นแหละคือความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงนั้น

จึงต้องเพียรสร้างสติให้มากๆ นั่งสมาธิให้มากๆ

 ทำจิตให้รวมลงเป็นหนึ่งให้ได้ เป็นเอกัคตารมณ์

 ขาดจากอารมณ์ต่างๆ

 ขาดจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ถึงแม้จะมีเสียงมีรูปมีกลิ่นมีรส

มีโผฏฐัพพะเข้ามาตามทวารทั้ง ๕

ถ้าจิตขาดจากอารมณ์เหล่านั้นแล้ว

 มันก็จะไม่รบกวน จิตจะนิ่งเฉยสบาย

เหมือนกับไม่ได้ยินไม่ได้เห็น

 เวลาจิตสงบจะเป็นอย่างนั้น

 ถ้าลงลึกไปอีกระดับหนึ่ง ก็จะหายไปเลย

 รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆหายไป

จากการรับรู้ของจิต แม้แต่ร่างกายก็หายไป

เหลือแต่จิตอยู่ตามลำพัง สักแต่ว่ารู้เท่านั้น

จะอยู่ได้เดี๋ยวเดียวหรืออยู่ได้นาน

 ก็แล้วแต่กำลังของการปฏิบัติ

 ถ้าได้พบจุดนั้นแล้ว

 รับรองได้ว่าศรัทธาจะมีมาก วิริยะก็จะตามมา

อยากจะปฏิบัติอย่างเดียว อยากจะเจริญให้มาก

 อยากจะให้จิตเป็นอย่างนั้นอยู่บ่อยๆ เป็นอยู่เรื่อยๆ

 ตอนนั้นก็จะตัดความสุขทางโลกได้

ความสุขที่เกิดจากการดูการฟัง

การรับประทานการดื่มอะไรต่างๆ

จะไม่มีความหมายอีกต่อไป

 เพราะความสุขที่ได้รับจากการรวมลงของจิต

มีอานุภาพมาก เทียบกันไม่ได้เลย

 เหมือนช้างกับมด

 แต่เราไม่เคยเจอความสุขแบบช้างเลย

 พอได้ความสุขแบบมดก็ดีอกดีใจ มีความยึดติด

 ก็เลยไม่ได้สัมผัสกับความสุขที่เลิศที่ประเสริฐ

 ที่พระอริยะทั้งหลายได้สัมผัสกัน

แต่ถ้าบำเพ็ญอย่างต่อเนื่อง ตั้งสติอยู่เรื่อยๆ

 นั่งสมาธิจนจิตรวมลงได้แล้ว

 จะรู้ว่าความสุขที่พระพุทธเจ้า

 และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ได้สัมผัสเป็นอย่างไร

จะมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติ

เพื่อให้ได้ความสุขนั้น

มาอยู่กับเราตลอดเวลา

การปฏิบัติก็จะคืบหน้า

 พอได้สมาธิแล้วก็เจริญปัญญาต่อไป

ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นมาเองตามที่เข้าใจกัน

 คนส่วนใหญ่จะคิดว่าเมื่อได้สมาธิแล้ว

ปัญญาจะเกิดตามมา

 สมาธิเป็นเพียงผู้สนับสนุนให้เกิดปัญญา

เวลามีสมาธิจิตสงบนิ่งแล้ว

 จิตจะไม่ลอยไปลอยมา

 เวลาจะให้พิจารณาเรื่องหนึ่งเรื่องใด

เช่นพิจารณากาย ให้เห็นเป็นอสุภไม่สวยไม่งาม

 จิตก็จะอยู่กับการพิจารณาอย่างต่อเนื่อง

 ไม่ได้พิจารณาเพียงแว้บเดียว

 แล้วก็หายไปคิดเรื่องอื่น

แต่จะคิดพิจารณาทั้งวันทั้งคืนจนกว่าจะเข้าใจ

 เห็นอย่างทะลุปรุโปร่งตลอดเวลา

 จนตัดความหลงยึดติด

ในความสวยงามของร่างกายได้

 ระงับดับราคะความกำหนัดยินดี

ในร่างกายได้เท่านั้น

 ถึงจะหยุดการพิจารณา

 ที่ต้องพิจารณาอสุภก็เพราะจิตยังหลง

 ยังมีความยินดีกับร่างกายของผู้อื่น

โดยเฉพาะเพศตรงข้าม

หญิงก็ต้องพิจารณาชาย

 ชายก็ต้องพิจารณาหญิง

 พิจารณาถึงความไม่สวยไม่งาม

 อาการ ๓๒ หรือสภาพที่ตายไปแล้ว

ว่าเป็นอย่างไร พิจารณาดูไปเรื่อยๆ

ถ้ามีสมาธิก็จะสามารถพิจารณาได้ทั้งวันทั้งคืน

 เดินยืนนั่งนอน ในอิริยาบถต่างๆ

 เพราะจิตไม่ลอยไปไหน

ไม่หิวกับอารมณ์ต่างๆ

 เพราะมีความสุขของสมาธิ หล่อเลี้ยงอยู่

ความสุขที่เกิดจากความสงบ

เป็นเหมือนกับยาสลบ

 ที่จะทำให้กิเลสตัณหาความหลงต่างๆ

ไม่มีกำลังฉุดลากจิตให้ไปอยากไปโลภได้

 แต่ถ้าไม่มีสมาธิ

จะไม่สามารถพิจารณาอสุภได้อย่างต่อเนื่อง

 หรือจะพิจารณาอะไรก็ตาม

จะพิจารณาได้เดี๋ยวเดียว

พิจารณาได้ชั่วขณะหนึ่งแล้ว

ก็หิวกับอารมณ์ต่างๆ

 กังวลกับคนนั้นกังวลกับคนนี้

ห่วงคนนั้นห่วงคนนี้ ห่วงเรื่องนั้นห่วงเรื่องนี้

ก็จะไม่ได้พิจารณาอย่างต่อเนื่อง

ก็จะไม่เห็นอย่างชัดแจ้ง

 ไม่สามารถตัดอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น

 ตัดตัณหาความอยากในสิ่งต่างๆได้

 สมาธิจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญปัญญา

 เมื่อได้เจริญปัญญาอย่างเต็มที่แล้ว

 ก็จะตัดอุปาทานตัดตัณหาได้

วิมุตติการหลุดพ้นก็จะเป็นผลตามมา

 นี่คือการปฏิบัติทางพุทธศาสนา เป็นขั้นเป็นตอน

นี่พูดถึงส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติโดยตรง

คือศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญา

ยังไม่รวมถึงศีลและทาน

ที่เป็นองค์ประกอบที่ต้องมีด้วยเช่นกัน

 ถ้ายังไม่ใจกว้างยังตระหนี่อยู่

ก็จะปฏิบัติธรรมยาก จะรักษาศีลยาก

 ถ้าไม่มีศีลจิตจะไม่สงบง่าย

จะวุ่นวายรุ่มร้อนกับเรื่องต่างๆ

เวลาทำผิดแล้วจะมีความกังวลวุ่นวายใจ

 นอกจากมีศรัทธาสติวิริยะสมาธิปัญญาแล้ว

 ก็ยังต้องทำบุญให้ทานรักษาศีล

 อย่างที่พวกเราทั้งหลายได้ปฏิบัติกัน

อย่าไปเสียดายสมบัติข้าวของเงินทอง

 ทำบัญชีจำแนกมันไว้

ส่วนไหนที่จำเป็นก็เก็บไว้ ส่วนไหนไม่จำเป็น

ก็เอาไปจำหน่ายจ่ายแจก

 จะได้ตัดความตระหนี่ตัดความโลภ

จะได้ไม่อยากได้เงินทอง

 เพราะพอมีพอกินแล้วจะเอามาทำไม

ได้มาก็เอามาทำบุญอยู่ดี

อย่าไปหามาเพื่อเอามาทำบุญ

 เป็นความหลงติดในการทำบุญ

 ทำให้ไม่เจริญก้าวหน้า เพราะทำด้วยความโลภ

 โลภในบุญ ทำบุญเพื่อตัดความโลภ

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

กัณฑ์ที่ ๒๙๙ วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๐

 (จุลธรรมนำใจ ๘)

“ใจเป็นใหญ่”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 07 ตุลาคม 2559
Last Update : 8 ตุลาคม 2559 10:44:20 น.
Counter : 551 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ