Group Blog
All Blog
### พระจริงพระปลอม ###










“พระจริงพระปลอม”

สมัยนี้เราบวชกันเพื่อทดแทนบุญคุณ

ของบิดามารดา บวชเพื่อศึกษา

 เพื่อลิ้มรสของธรรม

 แล้วก็พอได้เวลาก็ลาสิกขาไป

เพื่อไปประกอบอาชีพ

ดำเนินชีวิตของฆราวาสที่มีคุณธรรม

 มีศีลธรรม อันนี้เป็นการบวชส่วนใหญ่

 แล้วก็มีบวชอีกแบบหนึ่ง

คือบวชแล้วไม่สึก

 บวชเพื่อตั้งใจศึกษาปฏิบัติ

เพื่อให้ได้หลุดพ้นออกจากกองทุกข์

แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

การบวชแบบนี้

เป็นการบวชแบบพระพุทธเจ้า

 บวชแบบสมัยพระพุทธกาล

 สมัยพระพุทธกาลนี้ในระยะแรกๆ

 การบวชเกิดจาก

การที่ได้ยินได้ฟังพระธรรม

 คำสอนของพระพุทธเจ้า

 แล้วพอได้ยินได้ฟัง

ก็สามารถบรรลุถึงพระนิพพาน

 บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้เลย

 เมื่อบรรลุแล้วก็เลย

ขออนุญาตบวชกับพระพุทธเจ้า

เพื่อที่จะได้เป็นผู้ที่รับใช้

ช่วยเหลือพระพุทธเจ้า

 ในการเผยแผ่สั่งสอนพระธรรม

อันประเสริฐให้แก่สัตว์โลกต่อไป

นี่คือลักษณะของการบวช

ในสมัยเริ่มแรกๆของพระพุทธศาสนา

เวลาที่พระพุทธเจ้าไปทรงโปรด

แสดงธรรม ให้แก่ผู้ที่ยังไม่เคยได้ยิน

ได้ฟังธรรมอันประเสริฐ

 พอเขาได้ยินได้ฟังแล้ว

 เขาก็น้อมนำเอามาปฏิบัติที่จิตใจ

 จนทำให้เขาสามารถกำจัดกิเลสตัณหา

ความทุกข์ต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจ

ให้หมดสิ้นไป เขาก็เลยไม่มีความจำเป็น

 ที่จะต้องอยู่แบบฆราวาสอีกต่อไป

 เพราะการอยู่แบบฆราวาส

อยู่ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา

กิเลสตัณหา เป็นผู้สั่งการ

ให้ใช้ชีวิตแบบฆราวาส

 เพราะเป็นชีวิตที่ต้องใช้ร่างกาย

เป็นเครื่องมือหาความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกาย

แต่เป็นความสุขที่ห้อมล้อม

ด้วยความทุกข์เป็นสุขที่ชั่วคราว

เป็นความสุขที่ไม่ถาวร

 เวลาใดที่ไม่สามารถหาความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกายได้

 เวลานั้นก็เป็นเวลา

ที่มีแต่ความทุกข์ใจไม่สบายใจ

ผู้ที่มีความฉลาดเห็นโทษ

ของการหาความสุขแบบฆราวาส

ผู้ครองเรือน พอได้ยินได้ฟังพระธรรม

 อันประเสริญของพระพุทธเจ้า

สามารถกำจัดความโลภ

 ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ

 ให้หมดไปจากใจได้

 ใจก็ไม่ต้องใช้ร่างกาย

เป็นเครื่องมือหาความสุข

ไม่ต้องหาความสุขแบบฆราวาส

 เพราะมีความสุขที่เหนือกว่า

ที่เกิดจากการชำระกิเลสตัณหา

ให้หมดไปจากใจ นั่นก็คือความสุข

 ที่เกิดจากความสงบ

 ที่เป็นความสุขที่เหนื่อกว่าสุขทั้งปวง

 เมื่อได้ความสุขอันนี้แล้ว

ก็เลยไม่กลับไปอยู่ แบบฆราวาส

ผู้ครองเรือนอีกต่อไป

 เพราะว่าไม่ต้องการกลับไป

หาความทุกข์ต่างๆนั่นเอง

อยู่แบบนักบวช

อยู่แบบผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว

 อยู่อย่างสุขอย่างสบาย

ไม่ต้องมีอะไรมาให้ความสุข

มีความสงบเพียงอย่างเดียว

 ความสงบที่ถาวรที่จะอยู่กับใจไปตลอด

ไม่เหมือนกับรูปเสียงกลิ่นรส

ไม่เหมือนกับลาภยศ สรรเสริญ

ที่มีวันที่จะต้องเสื่อม

มีวันที่จะต้องหมดไป

ผู้ที่ยังอยู่เป็นฆราวาส

หาความสุขแบบนี้อยู่

ก็จะต้องพบกับ ความทุกข์อยู่เรื่อยๆ

ไม่มีวันสิ้นสุด

 และไม่ใช่เฉพาะความทุกข์

แต่ในภพนี้ชาตินี้เท่านั้น

เพราะว่าหลังจากที่ ร่างกายนี้ตายไปแล้ว

ความอยากที่จะหาความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ก็ยังไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

 เพราะอยู่ในใจ ก็จะพาให้ใจไปเกิดใหม่

 ไปมีร่างกายอันใหม่

เพื่อที่จะได้หาความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกายใหม่

พร้อมกับรับความทุกข์

เวลาที่ไม่สามารถที่จะหาความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกายได้

นี่คือหนทางเส้นทางเดินของชีวิต

ของผู้ครองเรือนจะต้องหาความสุข

ทางร่างกายไปเรื่อยๆ ร่างกายอันนี้ตายไป

 ก็กลับมาหาร่างกายอันใหม่

 กลับมาเกิดใหม่

 กลับมาแก่มาเจ็บมาตายใหม่

กลับมาทุกข์กับการพลัดพราก

 จากของที่รักของที่ชอบใหม่

เพราะไม่มีความรู้ไม่มีปัญญา

ที่จะเห็นโทษของการหาความสุข

 แบบของผู้ครองเรือน

ว่ามันเป็นความทุกข์ว่ามันเป็นเหตุ

ที่ทำให้ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด

อยู่อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

 นานๆจะมีคนฉลาดอย่างพระพุทธเจ้า

มาเกิดแล้วเห็นโทษ

ของการหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 จึงได้ตัดสินพระทัยสละการหาความสุข

ที่มีแต่ความทุกข์ห้อมล้อมอยู่ตลอดเวลา

 แล้วก็ออกไปหาความสุข

ที่ไม่ต้องใช้ร่างกาย

ไม่ต้องใช้ตาหูจมูกลิ้นกาย

เป็นเครื่องไม้เครื่องมือ

 จนในที่สุดก็ทรงสามารถพบกับ

ความสุข ที่ถาวรคือ

ความสงบของใจที่ถาวรได้

ด้วยการกำจัดทำลายเหตุ

ที่มาทำลายความสงบ

เหตุที่มาทำลายความสงบของใจ

ก็คือกิเลสตัณหานี่เอง

 อย่างตอนนี้ญาติโยมใจสงบนั่งเฉยๆได้

 แต่เดี๋ยวเกิดตัณหา ความอยาก

 เกิดกิเลสขึ้นมาเมื่อไร นั่งไม่ได้

 เดี๋ยวต้องลุกแล้ว เช่นนั่งไปสักพัก

เกิดอาการเจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้

กิเลสตัณหาก็จะออกมาบอกว่าไปได้แล้ว

 นั่งมานานพอแล้ว

นั่งทรมานกับความเจ็บทำไม

 ก็เลยต้องหนี ความเจ็บไป

 นี่คือกิเลสตัณหาโดยที่เราไม่รู้สึกตัว

ว่ามันคือกิเลสตัณหา

 คนที่เขาไม่มีกิเลสตัณหา

 เจ็บอย่างไรเขาก็นั่งเฉยๆได้

 เพราะใจของเขาไม่มีความอยาก

ที่จะหนีความเจ็บไป

 เขารู้ว่าหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น

หนีไปตรงนี้เดี๋ยวก็ไปเจ็บตรงนั้นต่อ

 เจ็บตรงนั้นหนีไปก็ไปเจอความเจ็บต่อ

 เขาก็เลยไม่หนี พอเขาไม่หนี

เขาก็เลยไม่แพ้ไม่กลัวความเจ็บ

ไม่ต้องหนีความเจ็บ ใจของเขาสงบ

ใจของเขาไม่เดือดร้อนกับความเจ็บ

นี่คือวิธีของพระพุทธเจ้า

วิธีหาความสุขของพระพุทธเจ้าก็คือ

วิธีสู้กับความเจ็บของทางร่างกาย

 ไม่หาความสุข ทางร่างกาย

 ปล่อยให้ร่างกายเจ็บไป

ปล่อยให้ร่างกายทุกข์ไป แต่ใจไม่หวั่นไหว

 ใจสงบ ใจมีความสุข ใจก็เลยไม่ต้องใช้

ร่างกายเป็นที่พึ่งอีกต่อไป

 นี่คือการบวชในสมัยพระพุทธกาล

บวชเพื่อให้ได้หลุดพ้นจากอำนาจ

ของกิเลสตัณหาที่คอยสั่งให้วิ่งหาความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกาย

สั่งให้วิ่งหนีความทุกข์ของทางร่างกาย

 แต่จะมีวันหนึ่งที่วิ่งหนีไม่ได้

เวลาเป็นโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา

 ยาก็ไม่สามารถที่จะระงับความเจ็บ

ของร่างกายได้ ยาก็ไม่สามารถป้องกัน

ไม่ให้ร่างกายตายได้

 เวลานั้นเลยเป็นของเวลาของความทุกข์

ของผู้ครองเรือน

 คนเราทุกคนจึงไม่ค่อยชอบ

ความแก่ ชอบความเจ็บ ชอบความตายกัน

เพราะไม่รู้จักวิธีปฏิบัติกับความแก่

 ความเจ็บ ความตาย

 พอเจอความแก่ ความเจ็บ

 ความตายก็อยากจะหนีเพียงอย่างเดียว

 พออยากจะหนีก็เกิด

 ความทุกข์ขึ้นมาภายในใจทันที

แล้วหนีไม่ได้ก็ยิ่งทุกข์ใหญ่

นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงไปปฏิบัติ

เพื่อไม่ต้องหนีความแก่ ความเจ็บ ความตาย

 ไม่ต้องทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย

 ด้วยการควบคุมใจให้อยู่เฉยๆให้ใจสงบ

 เพราะเวลาใจสงบแล้ว ใจจะไม่ทุกข์

กับความแก่ กับความเจ็บ ความตาย

จะไม่ทุกข์กับการสูญเสีย

สิ่งต่างๆที่รักที่ชอบไป

 นี่คือสิ่งที่พวกเราไม่รู้จักทำกัน

พวกเราเลยต้องร้องห่มร้องไห้กันอยู่เรื่อยๆ

 เวลาเจอสิ่งที่เราไม่ชอบก็ร้องไห้

เวลาเสียสิ่งที่เรารักไปก็ร้องไห้

เพราะเราไม่รู้จักควบคุมใจของเรานั่นเอง

 ถ้าเรารู้จักควบคุมใจของเรา

ให้อยู่ในความสงบ

 ใจจะมีแต่ความสุข ความสบาย

ไม่ว่าจะเจอสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ

 จะไม่วุ่นวายจะไม่เดือดร้อน

จะไม่ร้องห่มร้องไห้

 นี่คือสิ่งที่พวกเรายังขาดกัน

 เรายังต้องทุกข์กันต่อไปเรื่อยๆ

 เราจึงต้องมาวัดเพื่อมาศึกษา

วิธีที่จะทำให้ใจของเรา

 ไม่ทุกข์กับเรื่องราวต่างๆ

 และการที่จะทำให้ใจของเราไม่ทุกข์ได้

หลังจากที่เราศึกษาแล้ว

เราก็ต้องนำเอาไปปฏิบัติ

และการปฏิบัติเพื่อที่จะให้ได้ผล

อย่างเต็มร้อยก็ต้องไปบวช

 อยู่แบบนักบวช

 ผู้ที่มาบวชนี้เป้าหมายที่แท้จริง

ก็คือ มาทำใจให้สงบ มารักษาใจให้สงบ

ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม

ถ้าสามารถรักษาใจให้สงบได้ตลอดเวลา

 ใจจะไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน

กับเหตุการณ์ต่างๆเลย

 ไม่ว่าจะพบกับความเสื่อม

ของลาภยศ สรรเสริญ สุข

ไม่ว่าจะพบกับความแก่

 ความเจ็บ ความตาย ใจจะไม่รู้สึกอะไร

เหมือนกับคนที่มีเสื้อเกราะใส่

 เวลาถูกยิง ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อน

เพราะว่ากระสุนไม่เข้าไป

ถึงร่างกายนั่นเอง

มีเกราะป้องกันเอาไว้

การปฏิบัติธรรมการทำใจให้สงบนี้

จะเป็นเกราะคุ้มครองจิตใจไม่ให้ทุกข์

ไม่ให้หวั่นไหวไม่ให้หวาดกลัว

 ไม่ให้วิตกกังวล ไม่ให้เสียอกเสียใจ

กับเหตุการณ์ต่างๆ

ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

 นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้า

 ได้ทรงค้นพบได้ตรัสรู้

 แล้วพอนำเอามาสั่งสอนให้แก่ผู้ไม่รู้

เขาก็เกิดศรัทธา แล้วก็นำเอาไปปฏิบัติ

 พอปฏิบัติ เขาก็สามารถมีเกราะคุ้มกัน

ใจของเขาไม่ให้ทุกข์

กับเหตุการณ์ต่างๆ ได้

เขาก็เลยไม่ต้องกลับไปอยู่

เป็นเพศของฆราวาสอีกต่อไป

 เพราะเพศของฆราวาสนั้น

เป็นเพศเหมือนกับ

 อยู่ในกองไฟดีๆนี่เอง อยู่ในกองไฟ

จะหาความร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างไร

 มีแต่ความรุ่มร้อนจิตใจ

 ร้อนด้วยความโลภ

 ร้อนด้วยความโกรธ

ร้อนด้วยความหลง

 แต่ก็ไม่รู้จักวิธีดับความร้อน

 แทนที่จะดับความร้อน ด้วยการเทน้ำ

ลงไปในกองไฟกลับเทน้ำมันลงไป

เวลาเทน้ำมันลงไปใหม่ๆ

น้ำมันมันยังไม่ร้อน

ก็เลยทำให้ไฟทำท่าจะดับ

แต่พอน้ำมันเริ่มร้อนขึ้นมา

กลับทำให้กองไฟนี้ใหญ่ขึ้นไปอีก

 ร้อนขึ้นไปมากกว่าเดิมอีก

นี่คือวิธีที่ผู้ไม่รู้จักวิธีดับ

ความร้อนใจที่ถูกต้องทำกัน

คือเวลาเกิดความร้อนใจ

 เกิดจากความอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้

ก็ไปทำตามความอยาก

พอไปทำตามความอยาก

ความร้อนใจก็หายไปชั่วคราว

 แต่พอไม่นานความร้อนใจ

ก็กลับร้อนขึ้นมามากกว่าเก่า

เพราะไม่ได้ใช้วิธีดับความร้อนใจด้วยน้ำ

 วิธีที่จะดับความร้อนใจก็คือ

ต้องไม่ทำตามความอยาก

 เวลาเกิดความอยากขึ้นมา

 ดึงใจออกจากความอยากด้วยสติ

 เช่นใช้คำบริกรรมพุทโธๆๆ ไปเรื่อยๆ

 อย่าไปคิดถึงสิ่งที่เราอยาก

หรืออย่าไปอยากคิดถึง

สิ่งที่ทำให้เราโกรธ ถ้าเราไม่ไปคิด

เดี๋ยวความร้อนใจ ก็จะหายไป

 นี่คือวิธีของพระพุทธเจ้า

 วิธีที่จะดับความร้อนใจได้อย่างถาวร

 เพราะเมื่อเราหยุดความอยากได้

ต่อไปความอยากก็จะหายไป

ถ้าอยากแล้วไม่ได้

มันก็ไม่รู้จะอยากไปทำไม

 แต่ถ้าอยากได้แล้ว

 มันก็จะอยากได้เรื่อยๆ

 ถ้ามีคนอยากได้เงินทองมาขอเงินทอง

ถ้าเราให้เขาไป เดี๋ยวอีก ๒ วัน

 เขาก็กลับมาขอใหม่

 แต่ถ้าเขามาขอแล้วเราไม่ให้เขา

 เขาก็ไม่กลับมา

เพราะกลับมาก็รู้ว่าไม่ได้อยู่ดี

 ฉันใดถ้าเราไม่ทำตามความอยาก

 ต่อไปความอยากมันก็จะไม่โผล่ขึ้นมา

 เพราะมันรู้ว่าโผล่ขึ้นมามันก็ไม่ได้อยู่ดี

เช่นอยากดื่มกาแฟก็อย่าไปดื่มมัน

ลองทดลองดูไม่กี่ครั้ง

เดี๋ยวความอยากก็หายไป

พอเวลาอยากจะดื่มกาแฟก็บอกว่าไม่ดื่มๆ

ทุกครั้งที่อยากจะดื่มก็บอกไม่ดื่มๆ

ต่อไปมันก็ไม่อยากเอง

 เพราะมันรู้ว่าอยากแล้วก็ไม่ได้ดื่ม

ไม่รู้จะอยากไปทำไม

 เราต้องมีความเด็ดเดี่ยว

 เราต้องกล้าต่อสู้กับความอยากของเรา

 ถ้าเราอยากจะไม่มีความทุกข์ความวุ่นวายใจ

 เพราะความทุกข์ความวุ่นวายใจต่างๆ

มันเกิดจากความอยากของเราเท่านั้นเอง

ไม่ได้เกิดจากอะไร

 อยากให้คนนั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

พอไม่ได้เป็นก็จะตายให้ได้

 เสียอกเสียใจร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา

 พอเขาเป็นอย่างที่เราอยากให้เขาเป็น

เดี๋ยวก็อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น

เป็นอย่างนี้ขึ้นมาใหม่อีก

ความอยากมันไม่มีวันจบ

 มันจะยาวไปเรื่อยๆ ยืดออกไปเรื่อยๆ

วิธีที่จะทำให้มันหายไปก็คือ

อย่าไปทำตามความอยาก

ทั้งคนนั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

ก็ปล่อยเขาเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ไป

ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาเรื่องของเขา

เรามาหยุดความอยากของเรา

 แล้วเราจะไม่เดือดร้อน

กับการที่เขา เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 การที่เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

แล้วทำให้เราเดือดร้อนก็เพราะว่า

เราไม่อยากให้เขา

 เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 แต่ถ้าเราไม่มีความอยาก

ให้เขาไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้

 เขาจะเป็นอย่างไร เราก็จะไม่เดือดร้อน

 แล้วต่อไปเราก็จะไม่ไปยุ่งกับเขา

เขาจะเป็นจะตายก็เรื่องของเขา

 เราก็อยู่ของเรา ไปอย่างสบาย

 นี่คือเรื่องของการมาบวช

ขั้นต้นก็มาศึกษาวิธีปฏิบัติ

เพื่อที่จะทำให้จิตใจของเรานั้น

 หยุดความอยากต่างๆได้

 ดับความทุกข์ใจต่างๆได้

ยุติการเวียนว่ายตายเกิดได้

ดังนั้นเวลาบวชพระพุทธเจ้าจึงบังคับว่า

ต้องอยู่กับอาจารย์อย่างน้อย ๕ ปี ๕ พรรษา

 ไม่ใช่บวชปั๊บเดี๋ยวก็ไป

ตั้งสำนักเป็นอาจารย์ขึ้นมาเลย

 ถ้าอย่างนี้ไม่ได้บวชมาเพื่อบวชเรียน

 บวชมาเพื่อสอน จะเอาอะไรไปสอน

 ถ้าไม่เอากิเลสตัณหาไปสอน

 ความอยากจะสอนผู้อื่นนี้

ก็เป็นกิเลสตัณหาแล้ว

 พระพุทธเจ้านี้ไม่มีความอยาก จะสอน

 แต่สอนด้วยเหตุผลด้วยความจำเป็น

 เพราะถ้าไม่สอนก็ไม่มีใครที่จะรู้ได้

ตอนต้นตอนที่ตรัสรู้ใหม่ๆ

 ก็ไม่อยากจะสอนใคร เพราะเห็นว่า

สอนแล้วมันทำยาก

คนที่ไม่อยากจะตัดกิเลสกัน

ไม่อยากจะ หยุดความอยากกัน

พอไปสอนให้เขาหยุดความอยากตัดกิเลส

เขาก็จะไม่ทำตามกัน

 ตอนต้นก็เลยท้อแท้ ไม่อยากจะสอน

แต่หลังจากมีเวลาได้พิจารณาดูก็เห็นว่า

คนเรานี้มีหลายชนิดด้วยกัน

คนที่เชื่อฟังแล้ว ปฏิบัติตามก็มี

 คนที่ไม่ฟังไม่ปฏิบัติตามก็มี

 พระพุทธเจ้าก็เลยตัดสินพระทัยว่า

ไปสอนคนที่เชื่อคนที่ฟังก็แล้วกัน

 ส่วนคนที่ไม่เชื่อไม่ฟังก็จะไม่สอน

 นี่คือการสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

 ไม่ได้สั่งสอนเพราะอยากจะสอน

ถ้าอยากจะสอนนี้แสดงว่า

อยากจะเป็นครูอยากจะเป็นอาจารย์

อยากจะมีหน้ามีตา อยากจะมีลูกศิษย์

อยากจะให้เขาเคารพกราบไหว้บูชา

 อยากจะให้เขาถวายลาภสักการะต่างๆ

จึงอยากไปเป็นอาจารย์

 เพราะว่าถ้าเป็นลูกศิษย์

ไม่มีใครจะมากราบไหว้บูชาเคารพ

พระบวชใหม่นี้ส่วนใหญ่

จะไม่มีใครเคารพนับถือ

เพราะยังไม่เห็นฝีมือ

ยังไม่เชื่อว่าจะบวชไปได้สักกี่วันกัน

 เดี๋ยวบวชไปได้ไม่กี่วันสึกไป

ก็ทำให้เสียใจได้

เขาถึงไม่ค่อยจะไปศึกษา

จากพระที่บวชใหม่

 แต่สมัยนี้เขามีเทคนิค

พระบวชใหม่ เขาจะมีการหว่านล้อม

ด้วยคำพูดต่างๆ แสดงผลงาน

อันเลิศอันประเสริฐที่ได้บำเพ็ญมา

 เพื่อที่จะโน้มน้าวจิตใจให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง

เกิดศรัทธาความเชื่อขึ้นมา

แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปพิสูจน์ได้ว่า

พูดจริงหรือพูดโกหก

เพราะเกรงใจผ้าเหลือง

 เมื่อเห็นว่าห่มผ้าเหลืองเป็นพระ

แล้วก็ต้องเชื่อว่าพูดจริง

ก็เลยถูกหลอกกันไปเรื่อยๆ

 มีพวกที่มาบวชก็ตั้งตัวเป็นอาจารย์ปั๊บ

 เป็นไปได้ไม่นานก็มีเหตุบัดสีต่างๆ เกิดขึ้น

ทำให้ต้องสิกขาลาเพศไป

 อันนี้เป็นอุทาหรณ์

ที่ญาติโยมควรที่จะพิจารณา

เวลาใครบวชใหม่ๆ

 แล้วมาตั้งตัวเป็นอาจารย์นี้

 ขอให้ระวังไว้ให้ดี

ไปหาพระที่บวชมาแล้ว ๓๐ -๔๐ ปีแล้ว

จะแน่ใจกว่า เพราะโบราณท่านก็พูดไว้แล้วว่า

ระยะทางเป็นเครื่องพิสูจน์ม้า

 เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คน

 ไม่ใช่คำพูดของคนที่เป็นเครื่องพิสูจน์

 บอกว่าวิเศษอย่างนั้นวิเศษอย่างนี้

 แต่มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะไปพิสูจน์ได้

แต่เวลานี่แหละจะพิสูจน์ได้

ว่าอยู่เป็นพระมาได้ถึง ๔๐ -๕๐ ปีหรือยัง

ถ้าอยู่ได้ก็น่าที่จะพอที่จะเชื่อถือกันได้

นี่คือเรื่องของการบวชเรียน

บวชแล้วต้องเรียนก่อน

เรียนจนกว่าจะบรรลุหลุดพ้นแล้ว

ได้รับปริญญาแล้ว

 ค่อยไปเป็นอาจารย์ต่อไป

 แล้ววิธีเป็นอาจารย์

ก็ไม่ได้ไปติดป้ายประกาศไว้ว่า

ที่นี่รับการสั่งสอนธรรมะ

ใครต้องการหลุดพ้นขอเชิญมาที่นี่ได้เลย

 เรียน ๓ วัน ๗ วันก็จะได้หลุดพ้น

 เดี๋ยวนี้มีคนทำอย่างนี้ มีพระทำอย่างนี้

 ส่งไปตามไลน์ต่างๆ

มีญาติโยมคนหนึ่งเอามาให้ดู

 ประกาศเชิญชวนให้มาเรียนวิธีลัด

วิธีบรรลุ ภายในไม่กี่วัน

 คนที่อยากจะบรรลุเร็วๆก็ชอบวิ่งไปหาเลย

 เพราะไม่อยากที่จะมานั่งทรมานตัวเอง

 พุทโธๆไป รู้สึกว่ามันช้า

อยากจะเอาแบบเร็วๆฟังปุ๊บได้ปั๊บเลย

 อันนี้ถ้ามันได้ปั๊บ

มันก็บรรลุเป็นพระอรหันต์กันไปหมดแล้ว

นี่คือเรื่องของพระพุทธศาสนา

 พระพุทธเจ้าสอนให้พระบวชใหม่

ให้อยู่ศึกษากับครูบาอาจารย์ไปก่อน ๕ ปี

 แล้วหลังจากนั้นถ้าอยากจะไปปลีกวิเวก

ไปหาความสงบก็ไปทำต่อ

ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบรรลุ เมื่อบรรลุแล้ว

ก็ค่อยไปสั่งสอนผู้อื่นอีกต่อไป

 แต่ไม่ต้องไปประกาศ

 ไม่ต้องไปเรียกร้องให้เขามาศึกษา

 ถ้าเขาสนใจเขามาศึกษา

เขาได้รับประโยชน์

 เดี๋ยวเขาไปโฆษณาให้เราเอง

เราไม่ต้องไปโฆษณา

 ถ้าโฆษณาก็แสดงว่ายังมีกิเลสอยู่

 ยังอยากจะสอนอยู่ คนที่ไม่มีกิเลสแล้ว

รับรองได้ว่าไม่อยากจะสอนใคร

 สอนเพราะความจำเป็น สอนเพราะจนมุม

 หนีไปไหนไม่ได้ เขามาหาเขามาขอให้สอน

ก็เลยต้องสอนเขา

เพราะว่าไม่ได้รับอะไรจากการสั่งสอน

 ลาภสักการะที่ได้มาก็ไม่รู้เอาไปใช้ทำอะไร

 เพราะว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้มา

มันให้ความสุขไม่ได้เท่ากับ

ความสุขที่ได้จากการหลุดพ้น

จากกิเลสตัณหาทั้งปวง

นี่คือเรื่องของพระพุทธศาสนา

เรื่องของการบวช เรื่องของการสั่งสอน

ก็ขอฝากให้เป็นอุทาหรณ์

 เป็นเครื่องเตือนใจเพื่อที่จะได้

นำเอาไปปฏิบัติให้ถูกต้อง

 เพื่อจะได้รับประโยชน์

และความสุขที่จะตามมาต่อไป

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะในศาลา

 วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙

“พระจริงพระปลอม”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 06 ธันวาคม 2559
Last Update : 6 ธันวาคม 2559 10:35:23 น.
Counter : 829 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ