Group Blog
All Blog
### สร้างที่พึ่งของตนเอง ###








“สร้างที่พึ่งของตนเอง”

พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญถึง ๖ ปีด้วยกัน

จึงจะสามารถทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

 แต่หลังจากที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมนี้

 พระองค์ได้ทรงรับประกันไว้เลยว่า

 ถ้าปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสอนได้

 ภายใน ๗ วันนี้ก็สามารถที่จะทำตน

ให้เป็นที่พึ่งของตนได้

หรือถ้าไม่ ๗ วันก็ ๗ เดือน

ถ้าไม่ ๗ เดือนก็ไม่เกิน ๗ ปี

จะสามารถทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

นี่คือพระคุณของพระพุทธเจ้า

ที่มีต่อสัตว์โลก อย่างพวกเรา

สามารถทำให้พวกเรานี้

ทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

ภายในภพนี้ภายในชาตินี้เลย

 ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงโปรด

 เราก็ต้องบำเพ็ญ

อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญ

 บำเพ็ญบุญบารมีไปเรื่อยๆ

 เป็นเวลานับเป็นกัปเป็นกัลป์

จนกว่าบารมีจะมีครบถ้วนบริบูรณ์

อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงมี

จึงจะสามารถตรัสรู้

เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้

 สามารถที่จะทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

แต่การที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้านี้

เป็นของที่ยากมากกว่าจะได้เป็นนี้

ก็หืดขึ้นคอ

กว่าจะต้องบำเพ็ญบารมีต่างๆ

 ไม่รู้กี่ล้านชาติด้วยกัน

จึงจะสามารถที่จะมาพบวิธี

ที่จะทำให้ตนเองเป็นที่พึ่งของตนได้

 แต่สมัยนี้เราไม่ต้องมาสร้างบารมีกันแล้ว

 เพราะเราอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า

 อาศัยปัญญาของพระพุทธเจ้า

 เราอาศัยความรู้ ของพระพุทธเจ้านี้

มาสร้างตนให้เป็นที่พึ่งได้แล้ว

ก็เหมือนกับคนตาบอด

ที่มีคนตาดีมาสงเคราะห์มาช่วยเหลือ

 สอนคนตาบอดช่วยคนตาบอด

ให้สร้างบ้านให้สำเร็จได้

ถ้าคนตาบอดไม่มีคนมาช่วยสอน

ก็จะไม่สามารถ สร้างบ้านให้สำเร็จได้

 พวกเราก็เป็นเหมือนคนตาบอด

ที่ตอนนี้มีคนตาดีอย่างพระพุทธเจ้า

 อย่างพระอรหันตสาวกมาสอนพวกเรา

ให้รู้จักวิธีทำตนให้เป็นที่พึ่งของตน

 เราเพียงแต่ทำตามที่ท่านสอนเท่านั้น

 เหมือนกับคนตาบอดถ้าทำตามคนตาดีว่า

 การที่จะไปเอาวัสดุก่อนสร้างนี้

ให้ไปเอาที่ไหน

 เมื่อได้วัสดุมาแล้ว ให้ทำอย่างไร

พอทำตามเดี๋ยวเดียวไม่นาน

ก็สร้างบ้านเสร็จ

ฉันใดพระพุทธเจ้าบอก

การที่ทำตนให้เป็น ที่พึ่งของตนนี้

ให้ทำด้วยการทำทาน

ให้ทำด้วยการรักษาศีล

ให้ทำด้วยการภาวนา

ถ้าเราทำตามที่พระพุทธเจ้า

ทรงสั่งสอนตามแบบฉบับ

ตามวิธีที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติ

ตามแบบฉบับ ตามวิธี

ที่ พระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ปฏิบัติ

ไม่นานเราก็จะได้บ้านขึ้นมา

เราก็จะได้ตนเป็นที่พึ่งของตนขึ้นมา

อยู่ที่การกระทำตามคำสอนนี้เท่านั้นเอง

สอนให้ทำทาน เราก็ทำกันซิ

มีเงินทองมากน้อยเพียงไร

 อย่าเอาไปใช้ในทางที่ผิด

อย่าเอาไปใช้กับการ

 สร้างกิเลสสร้างภพสร้างชาติกัน

การเอาเงินทองไปซื้อของ

ตามความอยากต่างๆ

ของที่ไม่จำเป็นที่จะต้องมี

เรียกว่าเป็นการไปสร้างภพสร้างชาติ

ไปสร้างความแก่ สร้างความเจ็บ

 สร้างความตายกัน

ไม่ใช่ไปกำจัดความแก่

 ความเจ็บ ความตายกัน

แต่เป็นการไปสร้างความแก่ ความเจ็บ

ความตายให้มีเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ

 ด้วยการเอาเงินนี้ไปซื้อของฟุ่มเฟือย

 เช่นไปซื้อของที่เรามีอยู่แล้ว

เช่นรองเท้าเราก็มีอยู่แล้ว

กระเป๋าเราก็มีอยู่แล้ว

 เสื้อผ้าของใช้ไม้สอยอะไรต่างๆ

 เราก็มีพอเพียงอยู่แล้ว

แต่เรายังไปซื้อมาเพิ่มอีก

เพราะเห็นแล้วชอบ เห็นแล้วอยากได้

 พออยากได้ก็เกิดอารมณ์ขึ้นมา

ต้องซื้อให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะทุกข์

จะวุ่นวายใจ จะเสียใจ จึงต้องซื้อมา

พอซื้อมาความวุ่นวายใจความเสียใจก็ไม่มี

 ก็มีแต่ความดีใจเดี๋ยวเดียว

แล้วเดี๋ยวก็อยาก ที่จะซื้อของใหม่

เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

การเอาเงินทองไปซื้อของแบบนี้แหละ

เรียกว่าเป็นการต่อภพต่อชาติ

ต่อความแก่ ความเจ็บ ความตาย

ให้มีเพิ่มขึ้นไปอยู่เรื่อยๆ

วิธีที่จะตัดความแก่ ความเจ็บ ความตาย

ก็คือเอาเงินนี้ไปทำบุญทำทานแทน

เงินที่เราจะไปซื้อของ

ตามความอยากต่างๆ

 ให้เอาไปทำบุญทำทานกันแล้ว

ใจของเราจะอิ่ม ใจของเราจะสุข

 ใจของเราจะพอ จะไม่หิวจะไม่อยากได้

สิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆ จะไม่อยากได้ความสุข

จากการใช้เงินซื้อของต่างๆ มาให้ความสุข

ก็จะสามารถเลิกหาเงินเลิกใช้เงินได้

แล้วจะได้มีเวลามาสร้างธรรมะ

มาภาวนา มารักษาศีลกัน

ถ้าเรายังต้องใช้เงินทอง

ซื้อตามความอยากต่างๆ

 เราก็จะต้องไปหาเงินทองมาซื้อของ

ตามความอยากอยู่เรื่อยๆ

 แล้วเราก็จะไม่มีเวลาที่จะมารักษาศีล

 มาบำเพ็ญจิตตภาวนากัน

เราก็ยังจะต้องพึ่งเงินทองเป็นสรณะ

 เป็นที่พึ่งไปเรื่อยๆ

 และเวลาที่เราไม่สามารถหาเงินหาทองได้

 เวลานั้นเราก็จะกลายเป็นคนว้าเหว่

เศร้าโศกเสียใจ เพราะไม่สามารถ

ใช้เงินใช้ทองซื้อสิ่งต่างๆ

อย่างที่เราเคยซื้อได้

ดังนั้นขอให้เราหยุดใช้เงินใช้ทอง

ไปในทางนี้กัน ถ้าเรามีเหลือเกินความจำเป็น

ที่จำต้องเก็บไว้ใช้กับสิ่งที่จำเป็น

 เช่นปัจจัย ๔ เราก็เอาเงินนี้

ไปทำบุญทำทานกันดีกว่า

ซื้อความสุขแบบใหม่

 ซื้อความสุขแบบการทำใจ

ให้มีความสงบมีความอิ่ม

มีความพอในระดับหนึ่ง

การทำบุญ การทำทานนี้

จะทำให้เรามีความสุข

มีความสงบ ในระดับหนึ่ง

ทำให้เราไม่ต้องไปใช้เงินใช้ทอง

ไปซื้อความสุขต่างๆ

แล้วถ้าเราไม่มีเงินทอง

เราก็จะไม่เดือดร้อน

 เพราะเราจะอยู่เฉยๆ ได้

เราไปปฏิบัติธรรมได้

 ไปรักษาศีลได้ ไปภาวนาได้

ไปสร้างตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

ต้องเลิกใช้เงินใช้ทอง เลิกหาเงินหาทอง

 อย่างพระพุทธเจ้า

อย่างพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

 ท่านเลิก หาเงินหาทอง

 เลิกใช้เงินใช้ทองกัน

ท่านเลิกทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

 ด้วยการใช้เงินทองเป็นเครื่องไม้ เครื่องมือ

 การเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของท่าน

ก็อาศัยการบิณฑบาตเป็นขอทาน

 เพื่อที่จะได้มีเวลา มาบำเพ็ญจิตตภาวนา

 มาสร้างธรรมที่จะทำให้

ตนเป็นที่พึ่งของตนได้นั่นเอง

พระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกทุกรูปนี้

ท่านเป็นผู้ที่สละทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทอง ท่านไม่อาศัยเงินทอง

 เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง

ท่านมาบวชมาปฏิบัติธรรม

เพื่อมาอาศัยธรรมเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง

 อาศัยสติธรรม อาศัยสมาธิธรรม

 อาศัยปัญญาธรรม

ที่จะทำให้ใจเป็นที่พึ่งของตนได้

 ที่จะทำให้ใจมีความสงบมีความสุข

 ที่ดีกว่าความสุขที่ได้จากสิ่งต่างๆ

ที่มีอยู่ในโลกนี้

นี่คือวิธีการของการสร้างตน

ให้เป็นที่พึ่งของตน สร้างด้วยการทำทาน

 ถ้าตอนนี้เรายังไม่สามารถที่จะสละ

หยุดการใช้เงินใช้ทอง

 หยุดการหาเงินหาทอง

 ก็ให้เราลดปริมาณให้มันน้อยลง

 ใช้เงินให้มันน้อยลงไป ใช้กับสิ่งที่จำเป็น

 เช่นใช้กับอาหาร ใช้กับเครื่องนุ่งห่ม

ใช้กับที่อยู่อาศัย ใช้กับยารักษาโรค

ใช้เท่าที่จำเป็นแล้วจะทำให้เรานี้

ไม่ต้องใช้เงินมาก

แล้วจะทำให้เราไม่ต้องไปหาเงินมามาก

 จะทำให้เรามีเวลาไปปฏิบัติธรรมได้

ในเบื้องต้นเราก็ปฏิบัติ

แบบเป็นครั้งเป็นคราวไปก่อน

 ถ้าเราเคยทำงานอย่างหักโหม

เพื่อหาเงินหาทอง พอเรารู้แล้วว่า

การใช้เงินทองแบบนี้

มันเป็นการสร้างภพสร้างชาติ

สร้างความแก่ ความเจ็บ ความตาย

เราก็ลดปริมาณ การหาเงินให้น้อยลง

ด้วยการลดปริมาณการใช้เงินทอง

ให้น้อยลงไป ไม่ใช้กับสิ่งที่ไม่จำเป็น

 ใช้กับสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น

 เราก็จะใช้เงินไม่มาก

 เมื่อเราใช้เงินไม่มาก

เราก็ไม่ต้องหาเงินมาก

 เราก็จะได้ไม่ต้องทำงานหนัก

อย่างหักโหม

 อาทิตย์หนึ่งแทนที่จะทำ ๗ วัน

เราอาจจะทำแค่ ๒-๓ วันก็ได้

แล้วเราก็จะมีเวลา

ที่เราจะได้ไปสร้างธรรมกัน

 ไปปฏิบัติธรรมกัน อันนี้เป็นจุดเริ่มต้น

ของการสร้างที่พึ่งของตน

เริ่มต้นจากน้อยไปหามากก่อน

 อย่างน้อยที่สุดอาทิตย์หนึ่ง

ก็ควรที่จะมีวันสำหรับการสร้างธรรม

การปฏิบัติกันสักวันหนึ่ง

 เช่นในวันพระอย่างวันนี้

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พุทธศาสนิกชน

 หยุดการหาเงินหาทอง

 หยุดการหาความสุขจากสิ่งต่างๆ

ที่มีอยู่ในโลกนี้

 แล้วให้เข้ามาหาความสุข

จากการปฏิบัติธรรมกัน

 จากการรักษาศีลกัน ศีลที่จะต้องรักษา

ในวันพระนี้คือศีล ๘

 เพื่อที่จะได้สนับสนุน

ในการปฏิบัติธรรมนั่นเอง

 เพราะถ้าเราไม่ถือศีล ๘

 เราจะเถลไถลไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้

ไปร่วมหลับนอนกันได้

ไปเที่ยวตามสถานบันเทิงได้

ไปงานเลี้ยงได้ ไปรับประทานอาหารค่ำได้

 แต่พอเรามาถือศีล ๘ แล้ว

เราก็จะทำกิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้

 เราก็จะมีเวลา ที่จะมาปฏิบัติธรรมกัน

 มาสร้างธรรม

ที่จะมาทำให้เราเป็นที่พึ่งของเราได้

เราต้องมีเวลา จะมีเวลาได้ก็ต้องใช้ศีล ๘

 เป็นผู้ช่วยเราป้องกันไม่ให้เราไปทำ

ในกิจกรรมที่ไม่เกิดคุณ เกิดประโยชน์

ไม่ได้ทำให้เราเป็นที่พึ่งของเรา

 แต่กลับจะทำให้เราต้องไปพึ่งสิ่งต่างๆ ต่อไป

 เราจึงต้องยุติกิจกรรมเหล่านี้

ด้วยการมาถือศีล ๘ กัน พอเราถือศีล ๘ ได้

เราก็จะมีเวลาที่จะปฏิบัติธรรมกัน

 หลังจากเที่ยงวันไปแล้ว

 รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 ก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับ

เรื่องรับประทานอาหารอีกต่อไป

 เราก็เอาเวลานี้มาเจริญสติธรรมกัน

เจริญสติด้วยการเดินจงกรม

 ด้วยการนั่งสมาธิ เจริญไปเรื่อยๆ

ถ้าสติมีกำลังมากพอแล้วสติก็จะดึงจิต

 ให้เข้าสู่ข้างใน ให้รวมเป็นหนึ่ง

ให้สักแต่ว่ารู้ ให้เป็นอุเบกขาขึ้นมา

ให้มีความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าความสุข

จากสิ่งต่างๆ ทั้งหลายในโลกนี้

 นี่เป็นขั้นตอนของการปฏิบัติ

ในการสร้างตนให้เป็นที่พึ่งของตน

ก็คือ สร้างความสงบนี่เอง

สร้างสมาธิขึ้นมา

 เมื่อเรามีสมาธิมีความสงบแล้ว

 เราก็ไม่ต้องใช้อะไรมาให้ความสุขกับเรา

 เพียงแต่ว่าสมาธิที่เราสร้างขึ้นนี้

มันสงบได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

 พอออกจากสมาธิมา

 พอเรามาคิดมาสัมผัส กับเรื่องราวต่างๆ

เดี๋ยวเราก็เกิดความอยากที่จะไปพึ่งสิ่งต่างๆ

 มาให้ความสุขกับเราอีก พอเราไปพึ่ง

 เราก็เลยยังติดอยู่กับสิ่งต่างๆ ต่อไป

วิธีที่จะทำให้เราไม่กลับไปพึ่งสิ่งต่างๆ

 เวลาที่เราออกจากสมาธิมาแล้ว

ก็คือเราต้องเจริญปัญญา ต้องใช้ปัญญา

 ปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

ว่าการที่เราไปพึ่งสิ่งต่างๆ นั้น

มันไม่ได้เป็นการไปมีพึ่งที่ถูกต้อง

ที่ดีที่ปลอดภัย แต่เป็นที่พึ่งที่อันตราย

 เป็นเหมือนระเบิดเวลา

 เวลาที่พึ่งที่เราไปพึ่งนั้น

เกิดระเบิดตูมตามขึ้นมา

 เราก็จะเดือดร้อน เราก็จะเจ็บตัว

ดังนั้นอย่าไปพึ่งอะไรต่างๆ

 ที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะเขา

เป็นที่พึ่งเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ให้เรากลับมาพึ่งความสงบเป็นที่พึ่ง

ด้วยการฝืนใจบังคับใจหยุดใจ

 ไม่ให้ไปทำตามความอยาก

ที่จะไปพึ่งสิ่งต่างๆ

 เหมือนอย่างที่เคยพึ่งอยู่

 พอออกจากสมาธิมา

 ความอยากมันจะดึงให้เรา

ไปพึ่งรูปเสียงกลิ่นรสทันที

ถ้าเราไม่มีปัญญา

 เราก็จะไหลไปกับความอยากนั้น

 แล้วเราก็จะกลับไปติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น

 เวลาเราจะมานั่งสมาธิแต่ละครั้ง

ก็จะรู้สึกยาก เพราะจะต้องดึงใจ

ให้ออกจากรูปเสียงกลิ่นรสนั่นเอง

แต่ถ้าเราใช้ปัญญาทุกครั้ง

ที่เวลาใจของเราเกิดความอยาก

ที่จะไปพึ่งสิ่งต่างๆ

อยากจะไปพึ่งรูปเสียงกลิ่นรส

 เราก็ใช้ปัญญามาสอนใจว่า

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นที่พึ่งที่แท้จริง

 เป็นที่พึ่งชั่วคราวแล้วเวลาที่เราพึ่งเขาไม่ได้

 เราก็จะทุกข์ เราก็จะเดือดร้อน

ให้เราพึ่งสิ่งที่เราพึ่งได้ตลอดเวลาดีกว่า

 ก็คือพึ่งความสงบ

ความสงบจะเกิดขึ้นทันที

ถ้าเราฝืนความอยากได้ แล้ว

ความอยากที่จะไปพึ่งสิ่งต่างๆ มันสงบตัวลง

 ความสงบของใจก็จะโผล่ขึ้นมาทันที

ใจก็จะเบาอกเบาใจ สบายอกสบายใจ

มีความสุขโดยที่ไม่ต้องทำอะไร

 ไม่ต้องมีอะไร นี่คือปัญญา

ที่เราต้องใช้

หลังจากที่เราออกจากสมาธิมาแล้ว

 คอยสอนใจคอยเตือนใจว่า

อย่ากลับไปพึ่งรูปเสียงกลิ่นรส

 อย่ากลับไปพึ่งลาภยศ สรรเสริญ

 อย่ากลับไปพึ่งบุคคลนั้นบุคคลนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้

ให้เราเลิกอย่าไปพึ่งอย่าไปอยาก

 พอความอยากที่อยากจะพึ่งสิ่งต่างๆ นี้

มันถูกสลัดลงด้วยปัญญา

 ใจก็จะกลับเข้าสู่ควาสงบ

โดยที่ไม่ต้องเข้าไปในสมาธิ

สามารถมีความสงบได้

โดยที่ไม่ต้องเข้าไปในสมาธิ

 ไม่ต้องนั่งสมาธิ สงบได้ในทุกอิริยาบถ

 ถ้ามีปัญญาคอยกำจัดความอยากต่างๆ

ที่โผล่ขึ้นมา ที่มาสร้างความวุ่นวายใจต่างๆ

ให้กับใจ พอใช้ปัญญาแล้ว

ความอยากต่างๆ มันก็จะสงบตัวลงไป

แล้วจิตก็จะสงบ จิตก็จะสบาย

จิตก็จะเป็นที่พึ่งของตนได้

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๙

“สร้างตนให้เป็นที่พึ่งของตน”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 06 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2559 6:11:51 น.
Counter : 770 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ