Group Blog
All Blog
### แสงสว่างแห่งธรรม ###









“แสงสว่างแห่งธรรม”

พระธรรมคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า

เป็นปัญญา เป็นแสงสว่างนำทาง

ให้ผู้ปฏิบัติได้อยู่ห่างไกล จากความทุกข์ทั้งหลาย

 การที่พวกเรายังตกอยู่ในความทุกข์ต่างๆ

 ก็เพราะว่าเราขาดแสงสว่างแห่งธรรม

ขาดปัญญาที่จะทำให้เราเห็นว่าอะไรเป็นความทุกข์

 อะไรเป็นความสุข

 เหมือนกับเวลาที่เราอยู่ในที่มืดไม่มีไฟ

 เราจะไม่รู้ว่าข้างหน้าเรา ข้างหลังเรามีอะไรบ้าง

มีคุณหรือมีโทษกับเรา เราจะไม่รู้เวลาที่เราอยู่ในที่มืด

เราจึงต้องมีแสงสว่าง เช่นไฟฉาย

ถ้าเราจะเดินไปไหนมาไหน เราต้องฉายไฟดูก่อน

ว่า ทางข้างหน้าที่เราจะเดินไปนั้นมีอะไร

ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเราหรือไม่

 ถ้าเราไม่มีแสงไฟ เราจะไม่กล้าเดินไปไหน

แต่ใจของพวกเราที่ไม่มีแสงสว่างแห่งธรรมกลับไม่กลัวกัน

 กล้าที่จะไปทำอะไรต่างๆ โดยไม่มีแสงสว่างนำทาง

 พอทำไปแล้วก็เกิดความเสียหาย

เกิดความทุกข์ใจตามมา แต่เราก็ไม่มีทางเลือก

 เพราะเราไม่มีแสงสว่าง

และเรายังต้องการที่จะหาความสุขอยู่

เราจึงยอมเสี่ยงในการหาความสุข

ยอมเสี่ยงกับภัยต่างๆ

 แล้วเราก็มักจะได้รับภัยต่างๆ

คือได้รับความทุกข์กันอย่างถั่วหน้า

ไม่มีใครในสถานที่นี้ที่จะบอกว่า ไม่มีความทุกข์เลย

นั่นก็เป็นเพราะว่าเราไปไหนมาไหนในที่มืดไม่มีแสงสว่าง

 แล้วเราก็ไปเจอกับปัญหาไปเจอกับความทุกข์ต่างๆ

ถ้าเราได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ได้พบกับ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เราก็จะได้เรียนรู้ว่ามีอะไรที่เป็นภัยเป็นอันตรายกับเรา

 มีอะไรที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์กับเรา

ก็เหมือนกับมีแสงสว่างที่ทำให้เราเห็นว่า

ทางที่เราเดินไปนี้มีอะไรที่เป็นคุณเป็นประโยชน์

 มีอะไรที่เป็นโทษเป็นภัยกับเรา

พอเรารู้แล้วเราก็จะได้หลีกเลี่ยงภัยต่างๆ

เราก็จะเดินเข้าหาสิ่งที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์กับเรา

 ธรรมะเขาสอนให้เรารู้ว่าอะไรเป็นภัยกับเรา

 รู้ว่าอะไรเป็นคุณเป็นประโยชน์กับเรา

ให้เราถอนออกจากสิ่งที่เป็นภัยกับเรา

แล้วให้เราเข้าหาสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์กับเรา

สิ่งที่เป็นภัยกับเราที่ให้ความทุกข์กับเรา

ก็สิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกใจของเรานี่เอง

 ไม่ว่าจะเป็นร่างกายคือตา หู จมูก ลิ้น กาย

ไม่ว่าจะเป็นของนอกกาย เช่นลาภยศ สรรเสริญ

 รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ

 ของต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นภัยต่อใจ

เป็นเหมือนกับถ่ายไฟแดง ถ้าเราเอามือไปจับมัน

มันก็จะไหม้มือเรา เพราะมันเป็นของร้อน

แต่พวกเราไม่มีใครบอก พวกเราจึงเดินเข้าหาของร้อน

ของที่เป็นภัยต่อใจของเรา แล้วเราก็ต้องมาทุกข์

กับสิ่งที่เราเดินเข้าหาสิ่งที่เราแสวงหา สิ่งที่เราอยากได้

 เช่นลาภยศ สรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ

เราเดินเข้าหาสิ่งเหล่านี้กันแล้วเราก็ต้องมาร้องห่มร้องไห้

 เศร้าโศกเสียใจวุ่นวายไปกับสิ่งเหล่านี้

เพราะสิ่งเหล่านี้เขาไม่แน่นอน เขามาแล้วเขาก็ไปได้

เวลาเขามา เราก็ดีอกดีใจ

เวลาได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญ

 ได้ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เราก็ดีอกดีใจ

 แต่เราไม่รู้ว่าเขามาแล้วเดี๋ยวเขาก็ไปได้จากเราไปได้

 หรือเราต้องจากเขาไป

เวลาที่เขาจากเราไปหรือเวลาที่เราจากเขาไป

เวลานั้นก็เป็นเวลาที่ทำให้เรา มีความทุกข์ใจกัน

 นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ให้พวกเราถอนออกอย่าเข้าหา

ให้ถอยเพราะว่าเป็นเหมือนไฟ ที่จะเผาหัวใจของเรา

ให้ทุกข์ทรมานนั่นเอง ให้เราถอนออก

จากการหาลาภยศ สรรเสริญ

การหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

แล้วก็ให้เราเข้ามาข้างในใจ

ให้มาหาความสุขที่แท้จริงที่มีอยู่ในใจของเรา

ให้เราไม่ต้องไปพึ่งสิ่งต่างๆ ให้มาให้ความสุขกับเรา

ใจของเรานี้สามารถที่จะมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องมีอะไร

 ไม่ต้องมีลาภ ยศ สรรเสริญ

 ไม่ต้องมีรูปเสียงกลิ่นรส โผฏฐัพพะชนิดต่างๆ

ไม่ต้องมีร่างกายไว้เป็นเครื่องมือ

หาสิ่งต่างๆ มาให้กับใจ

 เพราะว่าสิ่งต่างๆ และเครื่องมือคือร่างกาย

ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถาวรไม่แน่นอน

บางเวลาก็ดีก็หาสิ่งต่างๆตามที่อยากได้

 บางเวลาก็ไม่ดี เช่นร่างกาย บางเวลาก็เจ็บไข้ได้ป่วย

ก็จะไม่สามารถทำหน้าที่หาสิ่งต่างๆ

 มาให้ความสุขกับใจได้

 เวลาที่ไม่สามารถหาความสุขให้กับใจได้

เวลานั้นก็เป็นเวลาที่ทำให้ใจมีแต่ความทุกข์

นี่ก็เป็นเพราะว่าเรา ไม่ได้ศึกษาไม่ได้ยินได้ฟัง

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ที่สอนให้เราละการหา ความสุขต่างๆ ภายนอกของใจ

 ให้หาความสุขที่มีอยู่ภายในใจคือความสงบของใจ

ใจจะสงบได้ก็ต้องยุติการหาความสุขภายนอกใจ

ถ้ายังหาความสุขภายนอกใจอยู่ ใจจะไม่มีวันสงบได้

 เพราะใจต้องทำงานต้องคอยหาสิ่งนั้นสิ่งนี้มา

หามาได้แล้วเดี๋ยวเขาก็หมดไป

ก็ต้องหามาเพิ่มหามาเติมอยู่เรื่อยๆ

เวลาหามาได้ก็ดีอกดีใจ มีความสุขใจ

 เวลาหาไม่ได้ก็เสียอกเสียใจ ทุกข์ใจ

นี่คือความทุกข์ที่พวกเราเดินเข้าหากัน อย่างไม่รู้สึกตัว

 เพราะถูกความหลงหลอกให้คิดว่าเป็นความสุขนั่นเอง

เวลาเกิดความทุกข์ก็ไม่ได้ไปโทษ

สิ่งที่ให้ความทุกข์กับเรา

 มีแต่พยายามที่จะหามาใหม่ ถ้าได้อะไรมาแล้ว

เวลาสูญเสียไปก็เสียอกเสียใจ

แต่ไม่โทษว่า สิ่งที่เราได้มานั้นเป็นเหตุ

ที่ทำให้เราเสียอกเสียใจ กลับไปหามาใหม่อีก

 พอเสียสิ่งนี้ไปก็ไปหาสิ่งอื่น มาทดแทน

พอหามาได้ก็เหมือนเดิมอีก

หามาแล้วเดี๋ยวเขาก็เสียไปอีก

 จากเราไปอีก ก็ต้องหาใหม่อยู่เรื่อยๆ

 ไม่ว่าจะเป็นลาภยศ สรรเสริญ

 เป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะในรูปแบบต่างๆ

 เช่นบุคคล ข้าวของต่างๆ

 ก็ถือว่าเป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะเหมือนกัน

 เราหามาแล้วพอมันหมดไป เราก็ต้องหามาใหม่

 หามาได้มาก หามาได้น้อยก็ไม่เคยเกิดคำว่าพอ

 มีแต่อยากจะได้อยู่เรื่อยๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้

ที่จะได้มาอยู่เรื่อยๆ อย่างไม่มีวันหมดวันสิ้นสุด

 เพราะว่าร่างกายของเราที่เป็นเครื่องมือ

ที่จะหาสิ่งต่างๆ มา มันจะไม่สามารถ

หามาได้เรื่อยๆไปตลอด

ร่างกายก็จะต้องแก่ลงไปตามลำดับ

 จะต้องเกิดการเจ็บ ไข้ได้ป่วยตามลำดับ

และก็จะต้องตายไปในที่สุด

เวลาที่ไม่สามารถใช้ร่างกายหาสิ่งต่างๆที่อยากจะได้

ก็จะเกิดความทุกข์ใจ ส่วนสิ่งที่เราได้มาก็มีอันเป็นไป

ได้มาแล้วก็หมดไป ได้มาใช้ไปก็หมดไป

 พอหมดไปก็ต้องไปหามาใหม่ ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

 จะไม่มีวันถึงจุดอิ่มจุดพอได้ เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้

ที่จะให้ความอิ่มความพอแก่ใจของเราได้นั่นเอง

มีแต่จะเพิ่มความหิวความอยากความต้องการให้มีไปเรื่อยๆ

 ให้มีมากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหมด

นี่แหละคือโทษ หรือภัยของใจ

ก็คือการหาความสุขภายนอกใจนั่นเอง

เราจึงต้องยุติการหาความสุขเหล่านี้

แล้วเขาหาความสุข ที่มีอยู่ภายในใจของเรา

 เราต้องดึงใจของเราให้กลับเข้ามาข้างในให้ได้

 ถ้าเราดึงกลับเข้ามาได้ เราเข้ามาข้างในใจได้

 เราก็จะได้พบกับความสุขที่มีจุดอิ่มตัว

จะมีความสุขที่มีคำว่าพอ

 จะไม่ได้อยากอะไร อีกต่อไป

 ถ้าได้ความสุขภายในใจนี้แล้ว

จะไม่ต้องการอะไรอีกต่อไป

 แล้วความสุขที่ได้อยู่ภายในใจนี้

 ก็จะอยู่ติดไปกับใจไปตลอด

ใจก็เป็นสิ่งที่ไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันสิ้นไม่มีวันสูญ

ใจก็จะอยู่ไปตลอด ความสุขที่อยู่กับใจ

ก็จะอยู่คู่กับใจไปตลอด

 อันนี้แหละคือคุณประโยชน์ของใจอยู่ภายในใจ

 ส่วนของภายนอกใจนี้ล้วนเป็นโทษกับใจทั้งหมด

พระพุทธเจ้าจึงต้องสอนให้พวกเรา ปล่อยวาง

หรือตัดความผูกพันตัดความชอบความอยากได้สิ่งต่างๆ

 ภายนอกใจไปให้หมด ให้ตัดการหาลาภยศ สรรเสริญ

 หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ให้ตัดการหาร่างกายเอามาใช้เป็นเครื่องมือ

ในการหาความสุขชนิดต่างๆ เพราะความสุขที่ได้นี้

 มันมีความทุกข์แถมมาด้วย

และเป็นความทุกข์ที่มากกว่าความสุขที่เราได้มา

 คือได้ไม่คุ้มเสียนั่นเอง ความสุขที่ได้นี้เพียงเล็กน้อย

 แต่ความทุกข์ที่ได้ตามมานี้มันสาหัสสากรรจ์

 หลายร้อยหลายพันเท่า ของความสุขที่เราได้รับกัน

 เราจึงต้องเสียสละจาคะเเบ่งปันของต่างๆ

แบ่งปันลาภยศ สรรเสริญ

 แบ่งปันรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

อย่าไปใช้สิ่งเหล่านี้ให้ความสุขกับเรา

 ถ้าจะมีก็มีไว้เพียงแต่ดูแลรักษาร่างกาย

 ให้อยู่ไปอย่างปกติสุข คือไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

ไม่ตายไปก่อนวัยอันควร เพื่อที่จะได้ใช้ร่างกายนี้

มาพาใจ ให้เข้าสู่ความสุขภายในใจ

อย่างที่นักบวชทั้งหลายได้ทำกัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๗

“แสงสว่างแห่งธรรม”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 06 สิงหาคม 2559
Last Update : 6 สิงหาคม 2559 8:52:46 น.
Counter : 1038 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ