Group Blog
All Blog
### เห็นพระอริยสัจสี่จากการปฏิบัติไม่ใช่เห็นจากการได้ยินได้ฟัง ###














“เห็นอริยสัจสี่จากการปฏิบัติ

ไม่ใช่เห็นจากการได้ยินได้ฟัง”

การจะเห็นอริยสัจสี่ได้นี้ เราต้องเจอความทุกข์กัน

 เมื่อเจอความทุกข์แล้วเราก็จะได้ค้นหาสาเหตุ

 ว่ามันเกิดจากอะไร เราก็จะเห็นว่ามันเกิดจากความอยาก

 เช่นลองนั่งให้มันเจ็บดู เวลาเจ็บแล้วมันจะรู้ว่า

มันอยากจะลุกมันก็รู้แล้วว่าที่ทุกข์เพราะอยากจะลุก

 ไม่ใช่เพราะว่ามันทุกข์เพราะมันเจ็บ

 ความทุกข์มันไม่ได้เกิดจากความเจ็บ

ความทุกข์มันเกิดจากความอยากจะลุก

ถ้าเราเปลี่ยนใจว่าไม่อยากจะลุกมันก็จะหายเจ็บ

 ทีนี้จะทำอย่างไรให้มันเปลี่ยนใจ

ก็ต้องทำใจให้เป็นอุเบกขา

 ต้องทำใจให้นิ่งทำใจให้เฉย ไม่ให้มันอยาก

ด้วยการสอนว่าอยากไปก็ทุกข์ไปเปล่าๆ

 ถ้าลุกไปมันก็เพียงแต่หนีปัญหาไปชั่วคราว

เดี๋ยวเจ็บอีกก็ต้องหนีอีก มันไม่ใช่วิธีที่จะแก้ปัญหา

วิธีที่จะแก้ปัญหาก็ต้องอยู่กับมันให้ได้

 มันเจ็บก็ต้องอยู่กับมันให้ได้อย่าหนีไป

อย่าอยากให้มันหาย ถ้าอยากแล้วมันจะทุกข์ใจ

 พอทำอย่างนี้เข้าใจแล้วก็จะเข้าใจหลักของอริยสัจสี่

 จะเห็นว่าทุกข์เกิดจากความอยาก

 อยากให้ความเจ็บหายไป แต่ความเจ็บมันไม่ได้หาย

เพราะความอยากของเรา เพราะความเจ็บมันเป็นอนัตตา

 เป็นอนิจจัง เมื่อกี้มันไม่เจ็บ เดี๋ยวนี้มันเจ็บ

 เดี๋ยวมันก็หาย ปล่อยมันไปเดี๋ยวมันก็หายเอง

ไม่ต้องไปทำอะไร ความเจ็บมันจะหายไม่หายก็ไม่สำคัญ

เพราะเราไปสั่งมันไม่ได้

แต่สิ่งที่เราสั่งได้ก็คือความอยาก

อย่าไปอยากให้มันหาย อยู่กับมันไป

พอทำใจได้ ใจยอมรับ ใจเป็นอุเบกขาปั๊บมันก็สบาย

 มันก็ไม่ทุกข์กับความเจ็บ

 มันก็จะนั่งอยู่กับความเจ็บไปได้อย่างสบายไม่เดือดร้อน

 มันก็จะเข้าใจหลักของอริยสัจสี่ทันที

ว่าทุกข์นี้ไม่ได้ทุกข์เพราะความเจ็บ

 ทุกเพราะความอยากต่างหาก

 และจะละความอยากได้ก็ต้องใช้ปัญญา

สอนใจว่าความเจ็บนี้เป็นสิ่งที่เราไปจัดการไม่ได้

 ไปกำจัดไม่ได้ มันจะเจ็บมันก็เจ็บ มันจะอยู่ก็อยู่

มันจะหายก็หาย ถ้าเราไปอยากแล้วเราจะทุกข์

 ถ้าเราไม่อยากแล้วเราจะไม่ทุกข์ เราจะอยู่กับมันได้

นี่คือวิธีสร้างที่พึ่งขึ้นมาภายในใจ

สร้างพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมาภายในใจ

ด้วยการปฏิบัติ ด้วยการมีดวงตาเห็นธรรม

 เห็นอริยสัจสี่จากการปฏิบัติไม่ใช่เห็นจากการได้ยินได้ฟัง

อย่างตอนนี้ ได้ยินได้ฟังอย่างตอนนี้มันยังไม่เห็นของจริง

 เหมือนกับโบราณที่พูดว่า สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น

 พูดว่า อริยสัจเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

ฟังไปจนหูฉีกก็ยังไม่เข้าใจ ต้องไปเจอมันต่อหน้าต่อตา

ถึงจะรู้ว่า อ๋อ อริยสัจสี่เป็นอย่างนี้นี่เอง

 “จะต้องเจอทุกข์ให้ได้ จะต้องมีทุกข์ก่อน

 เมื่อมีทุกข์แล้วเราก็จะได้ใช้ปัญญาค้นหาสาเหตุของทุกข์

ว่าเกิดจากอะไร มันก็จะเห็นว่าเกิดจากความอยาก”

เช่นอยากไม่แก่ อยากจะไม่เจ็บ อยากไม่ตาย

แล้วก็พิจารณาใช้ปัญญาว่าจะทำอย่างไร

เปลี่ยนความแก่ ความเจ็บ ความตายได้หรือเปล่า

ก็เปลี่ยนไม่ได้อยู่ดีอยากไปก็ไม่ได้ไป

เปลี่ยนความแก่ ความเจ็บ ความตาย

หรือสั่งให้มันไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ก็ไม่ได้อยู่ดี

 ก็อย่าไปสั่งมันอย่าไปอยากมันก็ยอมรับความจริง

ก็อยู่กับมันได้ก็จะไม่ทุกข์กับมัน

นี่คือการสร้างที่พึ่งทางใจ

จนต่อไปเราจะเป็นที่พึ่งของเราได้

 และเป็นที่พึ่งของคนอื่นต่อไปได้ด้วย

 เช่นพระพุทธเจ้าตอนต้นท่านก็เป็นที่พึ่งของตนเองไม่ได้

พระอรหันตสาวกท่านก็เป็นที่พึ่งของตนเองไม่ได้

ท่านก็ต้องอาศัยการปฏิบัติ

 พระพุทธเจ้าก็อาศัยการค้นคว้าด้วยตนเองปฏิบัติด้วยตนเอง

 จนในที่สุด ก็พบพระอริยสัจสี่

ส่วนพระสาวกทั้งหลายก็อาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้า

เป็นผู้ทำให้พบกับพระอริยสัจสี่

พอท่านพบแล้วท่านก็สามารถนำเอามาเผยแผ่สั่งสอน

ให้แก่ผู้ที่ยังไม่เห็นผู้ที่ยังไม่พบได้

ก็จะมีผู้ที่จะได้อาศัยท่านเป็นที่พึ่งต่อไป

ถ้าต่อไปเรามีที่พึ่งในใจของเราแล้ว

ต่อไปเราก็จะเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้เราอยากจะให้พ่อแม่

ช่วยเหลือพ่อแม่ทดแทนบุญคุณของพ่อแม่

ก็นี่แหละเราต้องมาทำวิธีนี้วิธีที่ถูกต้องที่สุด

 ก็คือทำตัวเราให้เป็นที่พึ่งให้ได้ก่อน

เมื่อเราได้แล้วเราก็ไปบอกไปสอนพ่อแม่อีกทีหนึ่ง

พ่อแม่ก็จะได้มีที่พึ่งจากเรา

การช่วยเหลือท่านทางร่างกายนี้

มันไม่ได้เป็นการช่วยเหลือที่แท้จริง

 เพราะร่างกาย จะช่วยเหลือหรือไม่ช่วยเหลือ

 ในที่สุดมันก็ต้องแก่ เจ็บ ตายไปอยู่ดี

 ใจก็ยังต้องทุกข์ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ดี

 แต่ถ้าเป็นที่พึ่งทางใจ ให้กับท่านได้

 ทำให้ท่านหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

อันนี้ท่านก็จะหลุดพ้น

จากความเกิดความแก่ความเจ็บความตายได้อย่างถาวร

 เป็นการให้ที่พึ่งที่แท้จริง

ทำประโยชน์ ให้กับพ่อแม่ได้อย่างแท้จริง

ดังนั้นตอนนี้ไม่ต้องไปกังวลเรื่องพ่อเรื่องแม่

มากังวลเรื่องสร้างที่พึ่งทางใจให้เราได้มีที่พึ่งทางใจก่อน

 เมื่อเรามีที่พึ่งทางใจแล้วเราค่อยไปช่วยเหลือพ่อแม่

และเป็นการช่วยเหลือที่ถาวร

เป็นการช่วยเหลือที่แท้จริง

เพราะว่าจะได้ไม่ต้องกลับมาเเก่ มาเจ็บ มาตายอีกต่อไป

 ตอนนี้ช่วยอย่างไรก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายอยู่ดี.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๙

“ที่พึ่ง ๒ ส่วน”










ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 03 เมษายน 2559
Last Update : 3 เมษายน 2559 12:12:38 น.
Counter : 775 Pageviews.

2 comments
  
กราบพระอาจารย์และสาธุในธรรมด้วยค่ะ

tangkay Dharma Blog ดู Blog
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 3 เมษายน 2559 เวลา:21:34:49 น.
  
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Sweet_pills Food Blog ดู Blog
วิฬาร์รมณีย์ ณ มณฑลดิลก Book Blog ดู Blog
haiku Art Blog ดู Blog

tangkay Dharma Blog ดู Blog
โดย: newyorknurse วันที่: 5 เมษายน 2559 เวลา:5:03:25 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ