Group Blog
All Blog
### ฟังเทศน์ฟังธรรมให้เกิดผล ###


















“ฟังเทศน์ฟังธรรมให้เกิดผล”

เวลาเราฟัง (เทศน์ฟังธรรม)

ใจเราจดจ่ออยู่กับการฟังอย่างต่อเนื่องหรือไม่

 ฟังแล้วเราสามารถพิจารณาเหตุผลที่ได้แสดงไว้หรือไม่

 อันนี้ก็จะทำให้ผู้ฟังนี้แต่ละบุคคลได้รับผลแตกต่างกันไป

อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระปฐมเทศนา ครั้งแรก

ต่อพระปัญจวัคคีย์ มีปัญจวัคคีย์อยู่ ๕ รูปด้วยกัน

ผู้ที่มีศีล สมาธิแล้ว แต่ไม่มีปัญญา

เวลาที่ทรงแสดงธรรมเสร็จแล้วก็ปรากฏมีเพียง ๑ ท่าน

ในปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่มีดวงตาเห็นธรรม

ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันขึ้นมา

แต่อีก ๔ รูปนั้นยังไม่สามารถเห็นธรรมได้

อันนี้ก็เป็นเพราะว่า สติปัญญาของผู้ฟัง

ยังมีความสามารถไม่เท่ากัน

 การฟังสติจดจ่ออยู่กับการฟังไม่เท่ากัน

 การพิจารณาเหตุผลที่ทรงแสดงไว้ก็พิจารณาได้ไม่เท่ากัน

 จึงปรากฏมีผู้บรรลุธรรมมีดวงตาเห็นธรรม

 บรรลุเป็นพระโสดาบันเพียงรูปเดียว

 แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน ท่านที่ยังไม่ได้บรรลุ

ท่านก็นำธรรมที่ได้ยิน ได้ฟังนี้ไปพิจารณาไปใคร่ครวญต่อ

จนในที่สุดก็สามารถบรรลุธรรมขั้นต่างๆได้

จนถึงขั้นสูงสุดได้พร้อมกัน ในวาระต่อมา

 ตอนที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับอนัตตา

ที่เรียกว่า “อนัตตลักขณสูตร” ทรงแสดงว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา

 เช่นร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเราของเรา

ลาภยศ สรรเสริญ ความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ใช่ของเรา

 เป็นของชั่วคราว มีเกิดแล้วมีดับไปเป็นธรรมดา

พอได้ยินได้ฟังท่านก็เลยตัดความหลง ยึดติดอยู่กับร่างกาย

 ยึดติดอยู่กับตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

 อยู่กับลาภยศ สรรเสริญ เพราะไม่ต้องการที่จะมาทุกข์กับสิ่งเหล่านี้

เพราะสิ่งเหล่านี้จะต้องมีวันหมดไป เพราะเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง

เป็นอนัตตา เพราะห้ามเขาไม่ได้ ห้ามไม่ให้เขาหมดไปไม่ได้

 เขาจะต้องหมดไปในที่สุด

พอพิจารณาเห็นความจริงอย่างนี้ก็ปล่อยวางอุปาทาน

 ความยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นตัวเราเป็นของเรา

 พอปล่อยวางแล้วก็จะไม่ทุกข์กับการมาและการไปของสิ่งต่างๆ

 เหมือนกับตอนนี้เราไม่ทุกข์กับสมบัติข้าวของเงินทองของบุคคลอื่น

ของผู้อื่น เราไม่ทุกข์กังวล กับร่างกายของคนอื่น

 ก็เพราะว่าเราไม่ไปหลงยึดติดว่าเป็นของเรา

 เรารู้ว่าไม่ได้เป็นของเรา แต่สมบัติข้าวของเงินทองที่เรามีอยู่นี้

เรากลับหลงยึดติดว่าเป็นของเรา ความจริงก็เป็นเหมือนกับของคนอื่น

 ต่างกันตรงที่ว่าตอนนี้เรามีสิทธิที่จะเอาไปใช้

เอาไปทำอะไรได้เท่านั้นเอง

แต่มาถึงเวลาหนึ่ง มันก็จะเป็นเหมือนของคนอื่น

คือเราไม่สามารถเอาไปใช้อะไรได้ เช่นเวลาที่ร่างกายนี้ตายไป

มันก็เป็นเหมือนกับสมบัติของคนอื่นไป

ถ้าเรารู้อย่างนี้แล้วเราไม่ไปยึดไปติดว่าเป็นของเรา

มันก็จะเป็นเหมือนกับสมบัติของคนอื่น

เวลาสมบัติของคนอื่นสูญไปหมดไป

เราไม่เสียอกเสียใจแต่อย่างใด

นี่คือการฟังเทศน์ฟังธรรมเพื่อให้เกิดผลขึ้นมา

ต้องฟังด้วยกาย วาจา ใจ ที่สงบมีสติจดจ่อ

มีปัญญาพิจารณาตามเหตุตามผลที่ได้แสดงเอาไว้

พอเข้าใจแล้วก็จะเกิดดวงตาเห็นธรรม เห็นว่ามีเกิดย่อมมีดับ

 ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมีเกิดแล้วต้องมีดับไปเป็นธรรมดา

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราจะไปห้ามไปสั่งเขาได้

สั่งไม่ให้เขาดับไม่ได้ สั่งไม่ให้เขาเสื่อมไม่ได้

 เขาจะดับเขาจะเสื่อมไม่มีใครไปห้ามได้

 ถ้าไปห้ามไปอยากไม่ให้เสื่อมไม่ให้ดับก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

ถ้าไม่อยากจะทุกข์ใจก็ต้องปล่อยวาง

อย่าไปอยากให้เขาไม่เสื่อม อย่าไปอยากให้เขาไม่ดับ

พอไม่มีความอยากแล้ว ความทุกข์ใจก็จะไม่มี

 นี่คือการเห็นธรรมจากการฟังเทศน์ฟังธรรม

จะเห็นธรรมได้ก็ต้องมีกาย วาจา ใจที่สงบ

 มีศีล มีสมาธิ แล้วมีสติปัญญาความสามารถ

ที่จะพิจารณาตามเหตุตามผลที่ได้ยินได้ฟังมาได้

ถ้าเราฟังแล้วยังไม่ได้มีดวงตาเห็นธรรมก็แสดงว่า

ศีลของเรายังไม่บริสุทธิ์ กาย วาจาของเรายังไม่นิ่ง

 ใจของเรายังไม่เป็นสมาธิพอ นั่งแล้วไม่ฟังอย่างต่อเนื่อง

ฟังไปแป๊บหนึ่งแล้วก็แวบไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้

พอมีอะไรมากระทบกับใจมีเสียงหรือมีกลิ่นมีอะไรมารบกวนใจ

ใจก็จะลอยไปกับสิ่งที่มารบกวนมาสัมผัสกับใจ

 ตอนนั้นเวลาธรรมที่กำลังได้ยินได้ฟังก็จะไม่เข้าสู่ใจ

 ก็จะทำให้ไม่สามารถพิจารณาเหตุผลได้อย่างต่อเนื่อง

 ก็จะไม่เกิดความเข้าอกเข้าใจ

ก็จะไม่เกิดการมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา

นี่คือเรื่องของการฟังเทศน์ฟังธรรม

เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์อย่างสูงสุด

ผู้เทศน์ผู้แสดงธรรม ก็ต้องเป็นผู้แสดงธรรมที่ตรงกับความเป็นจริง

 ที่เกิดจากการปฏิบัติ ถ้าเกิดจากการจดจำมา

 การแสดง ก็จะไม่เป็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นจริงบางส่วน

บางส่วนไม่จริง เวลาฟังแล้วก็จะเกิดการขัดกัน ไม่สอดคล้องกัน

 เพราะว่าสิ่งที่จดจำมานี้ไม่ได้จดจำมาอย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง

 ส่วนที่ลืมไปก็เอาความคิดมาแทรก มาสอนแทน

 ก็เลยทำให้ผู้ฟังนั้นไม่ได้เห็นเหตุเห็นผลอย่างเต็มที่ มี

ความรู้สึกว่ามีอะไรขัดแย้งกันอยู่ ระหว่างเหตุกับผล

เมื่อมีการขัดแย่งกันระหว่างเหตุกับผล

มันก็ไม่สามารถที่จะหาข้อสรุปได้

เช่นทุกข์เกิดจากอะไรอย่างนี้ ถ้าผู้ฟังฟังแล้วจำไม่ได้

ก็อาจจะไปพูดว่าทุกข์เกิดจากเพราะว่าความแก่ ความเจ็บ ความตาย

 ซึ่งความจริงแล้วความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้

ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจ

แต่ความทุกข์ใจนี้ เกิดจากความอยากไม่แก่

อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตายต่างหาก

เพราะว่าคนที่ไม่ทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตายก็มี

 เช่นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์นี้ท่านไม่ทุกข์

กับความแก่ ความเจ็บ ความตายของร่างกาย

เพราะว่าท่านไม่มีความอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนั่นเอง

ดังนั้นเวลาศึกษาแล้วไม่เอามาปฏิบัตินี้ก็จะเข้าใจผิดได้

 ก็จะไปว่าทุกข์เกิดจากความแก่ ทุกข์เกิดจากความเจ็บ

 ทุกข์เกิดจากความตาย ทุกข์เกิดจากการพลัดพราก

จากของที่รักที่ชอบไป

แต่ความจริงเราสามารถอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไม่มีความทุกข์

 เราสามารถอยู่กับความแก่ อยู่กับความเจ็บ อยู่กับความตาย

อยู่กับการพลัดพรากจากของที่เรารักเราชอบไปได้

โดยที่ใจของเราไม่ทุกข์เลย

ถ้าเรามีปัญญารู้ทันว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่เป็นของเรา

จะต้องเป็นอย่างนี้อย่างแน่นอน เราไปห้ามเขาไม่ได้

 ถ้าเราไม่ไปต่อต้านเราไม่อยากให้เขาเป็นอย่างอื่น

เราก็จะไม่ทุกข์กับเขา เราจะไม่ทุกข์กับความแก่

จะไม่ทุกข์กับความเจ็บไข้ได้ป่วย จะไม่ทุกข์กับความตายเลย

เพราะว่าเราไม่มีความอยาก ให้เขาเป็นอย่างอื่นนั่นเอง

ความทุกข์ของเราเกิดจากความอยากของเรา

ให้สิ่งที่เป็นความจริงนี้เป็นอย่างอื่น

สมมุติว่าตอนนี้อากาศหนาวอย่างนี้

 ถ้าเราอยากจะให้อากาศร้อนขึ้นมานี้ เราก็จะทุกข์ขึ้นมาทันที

เพราะว่าเราจะไม่ชอบที่จะอยู่กับอากาศเย็น

แต่ถ้าเราไม่มีความอยากให้เป็นอากาศร้อน

อากาศเย็นก็ปล่อยให้เขาเย็นไป อยู่กับความจริง

ไม่ได้อยู่กับความอยาก ใจของเราก็จะไม่ทุกข์.

.............................

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๖

“ฟังธรรมจากผู้รู้จริง”












ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 02 ธันวาคม 2558
Last Update : 2 ธันวาคม 2558 10:26:52 น.
Counter : 2062 Pageviews.

1 comments
  
ขอบคุณที่นำมาฝากค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 2 ธันวาคม 2558 เวลา:12:01:56 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ