Group Blog
All Blog
### รักษาใจให้เย็นท่ามกลางอากาศร้อน ###
















“รักษาใจให้เย็นท่ามกลางอากาศร้อน”

ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีอากาศร้อน

อากาศร้อนทางร่างกายนี้ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยมาก

เหมือนกับความร้อนทางใจ ถ้าใจร้อนแล้วนี้เป็นทุกข์มาก

 ความร้อนทางร่างกายนี้ถ้าใจไม่ร้อนใจเย็น

ก็จะไม่เป็นปัญหาอะไร เราจึงควรที่จะให้ความสนใจ

ต่อการรักษาใจไม่ให้มันร้อน พยายามทำใจให้เย็นไปเรื่อยๆ

 แล้วความร้อนทางร่างกายจะไม่เป็นปัญหาอะไร

 ระหว่างการแก้ปัญหาความร้อนทางร่างกาย

 กับการแก้ปัญหาความร้อนทางใจ

ถ้าแก้ทางใจได้จะดีกว่าแก้ทางร่างกาย

 เพราะถ้าร่างกายเย็น เช่นเราไปซื้อเครื่องปรับอากาศ

มาติดไว้ในบ้าน อากาศเย็นสบายทางร่างกาย

แต่ถ้าใจเรายังร้อนอยู่ ใจของเราก็ยังจะไม่มีความสุข

 แต่ถ้าเรามาทำใจของเราให้เย็น

โดยที่เราไม่ได้ไปติดเครื่องปรับอากาศ ให้ร่างกายเย็น

 พอใจเย็นแล้วร่างกายจะร้อนอย่างไร

ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ใจก็ยังมีความสุข

ท่ามกลางความร้อนของร่างกายได้ไม่เดือดร้อน

เวลาที่ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยร่างกายก็ร้อนเป็นไข้สูง

 แต่ถ้าเรารู้จักรักษาใจไม่ให้ร้อนไปกับร่างกาย

 ทำให้ใจเราเย็นสบาย ความเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย

ก็จะไม่ทำให้ใจต้องเดือดร้อนด้วย

ดังนั้นเราควรจะให้ความสำคัญต่อการทำใจให้เย็น

ให้สบายมากกว่าการทำให้ร่างกายเย็นทำให้ร่างกายสบาย

 เพราะว่าเรื่องของร่างกายนี้บางเวลา

เราก็ทำให้มันเย็นให้มันสบายได้

แต่บางเวลาเราก็ไม่สามารถ

ที่จะไปทำให้มันเย็นให้มันสบายได้

เช่นเวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วยหรือเวลาที่จะต้องตายไป

ต่อให้มีหมอหรือมียาวิเศษ ขนาดไหน

ก็ไม่สามารถที่จะรักษาร่างกายให้เย็นเป็นปกติได้

 ร่างกายก็จะมีแต่เป็นไข้สูง แล้วในที่สุด ก็จะต้องตายไป

ถ้าใจไม่รู้จักรักษาใจให้เย็นให้สบาย

เวลาร่างกายร้อนร่างกายเป็นไข้เจ็บไข้ได้ป่วย

 หรือเวลาร่างกายจะตายนี้

ใจจะร้อนไปกับความร้อนของร่างกายด้วย

ดังนั้นพระพุทธจึงสอนให้พวกเรา

มารักษาใจกันดีกว่ารักษาร่างกาย

 ร่างกายก็รักษาไปตามอัตภาพ

แต่มันก็ต้องมีจุดหนึ่งวันหนึ่ง

ที่เราจะไม่สามารถรักษาร่างกายนี้ได้

ถ้าเราไม่รู้จักปล่อยวาง

เราก็จะทำให้ใจของเราร้อนใจของเราทุกข์

แต่ถ้าเรารู้จักทำใจให้ปล่อยวางได้ ทำใจให้เย็นได้

ใจของเรา ก็จะไม่ทุกข์ไปกับความเจ็บไข้ได้ป่วย

ไปกับความตายของร่างกาย

 นี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกเราจึงต้องมาศึกษา

พระธรรมคำสอนแล้วทำไมเราจึงต้องนำเอาไปปฏิบัติ

เพราะถ้าเราศึกษาวิธีรักษาใจของเราให้เย็นให้สบายได้แล้ว

รู้วิธีแล้วแต่ถ้าเราไม่นำเอาไปปฏิบัติ

เราก็ยังจะไม่สามารถทำใจของเราให้เย็นให้สบายได้

ถ้าเราไม่ได้ยินได้ฟัง คำสอนของพระพุทธเจ้า

 เราก็จะไม่รู้จักวิธีที่จะทำให้ใจของเราเย็น

ทำให้ใจของเราสบาย ไม่ว่าจะมีความร้อน

ทางร่างกายมากน้อยเพียงไรก็ตาม

 ความร้อนของทางร่างกายนี้มันก็มีได้หลายรูปแบบ

 ร้อนด้วยอากาศ ร้อนด้วยเหตุการณ์บุคคลต่างๆ

 สิ่งของต่างๆ ก็จะทำให้เกิดความร้อนขึ้นมาทางใจด้วย

 เช่นเราไปเห็นเหตุการณ์ ที่เราไม่ชอบใจ

มันก็จะทำให้ใจของเราร้อนขึ้นมาได้

 ถ้าเราไม่รู้จักวิธีรักษาใจของเรา

ไม่ให้ร้อนไปกับเหตุการณ์ ที่เราไปเห็นไปรับรู้

แต่ถ้าเรามาศึกษาเราก็จะรู้จักวิธีรักษาใจของเราให้เย็น

ไม่ให้ร้อนไปตามเหตุการณ์ต่างๆ

เมื่อเรารู้จักวิธีแล้วเราก็ต้องนำเอามาปฏิบัติ

เพื่อเราจะได้ทำใจให้เย็นให้สงบได้

 เพียงแต่รู้เฉยๆแล้ว ยังไม่ได้มาปฏิบัติ

เวลาไปเจอเหตุการณ์ร้อน เช่นอากาศร้อน

ก็จะทำใจให้เย็นไม่ได้ ใจก็จะร้อน

เพราะความร้อนนี้ เกิดจากความอยากของใจ

อยากให้อากาศร้อนนั้นหายไป

หรืออยากจะหนีจากอากาศร้อน

ถ้าทำให้อากาศร้อนนั้น หายไม่ได้

หรือหนีจากมันไปไม่ได้ มันก็จะทำให้ใจเราร้อน

แต่ถ้าเราหยุดความอยากที่จะทำให้อากาศร้อนหายไป

 หรือหยุดความอยากที่จะหนีจากความร้อนไป

 ใจของเราก็จะหายร้อน

แล้วเราก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับอากาศร้อน

ปล่อยให้อากาศร้อนไป

โดยที่ใจของเราไม่ได้ร้อนตามไปด้วย

แต่ถ้าเราไปแก้อากาศร้อน

 ด้วยการไปติดเครื่องปรับอากาศพอความร้อนหายไป

ความร้อนทางใจก็หายไปชั่วคราวเหมือนกัน

แต่ใจของเราก็ยังร้อนได้จากเหตุการณ์อย่างอื่น

เวลาที่เราเห็นอะไรได้ยินอะไรที่ไม่ถูกอกถูกใจเรา

ก็จะทำให้ใจเราร้อนขึ้นมาใหม่ได้

ทั้งที่เราอยู่ในห้องปรับอากาศที่เย็นสบาย

 แต่ถ้าไปได้ยินได้เห็น สิ่งที่เราไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ

ก็จะทำให้ใจของเราร้อนขึ้นมาได้อีก

แต่ถ้าเราควบคุมใจของเราให้เย็นได้ตลอดเวลา

 ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรทางร่างกาย

 ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย

ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์ ที่วุ่นวายที่ดุเดือด

เผ็ดร้อนมากขนาดไหนก็ตาม

มันก็จะไม่ทำให้ใจของเราร้อนตามไปด้วย

เมื่อใจเราไม่ร้อน ใจของเราก็จะมีความสุขเสมอ

ท่ามกลางความร้อนต่างๆของทางร่างกาย

เราจึงควรให้ความสำคัญ

กับการมาทำใจของเราให้เย็นดีกว่า

ดีกว่าไปทำให้เหตุการณ์ต่างๆ นั้นมันเย็นลงไป

เพราะเรื่องของเหตุการณ์ต่างๆ นี้ บางทีเราก็ทำได้

 บางทีเราก็ทำไม่ได้ แต่เรื่องของการทำใจของเราให้เย็นนี้

 เราทำได้ตลอดเวลา เพียงแต่เราต้องรู้จักวิธี

และเราต้องฝึกหัดทำให้มันเย็น รู้แล้วเราก็ต้องเอาไปปฏิบัติ

การจะทำจิตให้เย็นได้ เราก็ต้องทำให้มันสงบนั่นเอง

ถ้าจิตสงบแล้วจิตก็จะเย็นจะสบาย จิตจะเป็นอุเบกขา

สักแต่ว่ารู้ เวลารู้เหตุการณ์อะไรต่างๆ

ก็จะรู้โดยที่ไม่มีความรัก ความชัง ความกลัว หรือความหลง

 รู้เฉยๆ ได้ยินอะไรก็สักแต่ว่าได้ยิน

เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น แต่ไม่ได้เห็นด้วยความรัก

ด้วยความชัง ด้วยความกลัว ด้วยความหลง

ถ้าเห็นแบบอุเบกขานี้ใจจะไม่เดือดร้อน

แต่ถ้าเห็นด้วยความรัก ความชัง ความกลัว ความหลง

 ใจก็จะเดือดร้อน ใจก็จะวุ่นวายขึ้นมา

 เพราะเวลาเห็นด้วยความรัก

 ความชัง ความกลัว ความหลงนี้

จะทำให้เกิดความอยากต่างๆขึ้นมา

 ถ้าเห็นของรักก็อยากจะได้

หรืออยากจะให้อยู่กับตนไปนานๆ

 พอของที่รักไม่ได้อยู่กับตนไปนานๆ

เวลาสูญเสียของที่รักไปก็เกิดความทุกข์ใจ

เวลาคิดว่าจะต้องสูญเสีย ก็ทำให้ไม่สบายอกไม่สบายใจ

 เวลาไปพบกับสิ่งที่ไม่ชอบก็จะเกิดความอยาก

ให้สิ่งที่ไม่ชอบนั้นหายไป

พอสิ่งที่ไม่ชอบไม่หายไปก็จะเกิดความไม่สบายใจ

 เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

แต่ถ้าเราไปเจอเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยใจที่เป็นอุเบกขา

 ใจที่เป็นกลางไม่รัก ไม่ชัง ไม่กลัว ไม่หลง

ใจของเราจะไม่ทุกข์กับเหตุการณ์ต่างๆ

จะไม่ร้อนไปกับเหตุการณ์ต่างๆ

ใจของเราจะเย็นจะสบายไปตลอด

 เราจึงต้องมาทำใจของเราให้สงบให้เย็นให้ได้

ทำให้สงบให้เย็นตลอดเวลา ถ้าเราทำได้แล้ว

เวลาเราไปพบปะ เหตุการณ์อะไรต่างๆ

ความร้อนทางร่างกาย ที่เกิดจากอากาศ

หรือความร้อนทางร่างกายที่เกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วย

 ความร้อนทางร่างกายนี้

จะไม่มาทำให้ใจของเราร้อนไปด้วย

 ใจของเราก็เย็นสบายเหมือนกับ

ตอนที่ร่างกายไม่ได้ร้อนไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย

นี่คือประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่พวกเรามักจะมองข้ามกันไป

มักจะยอมนั่งสมาธิกัน อยากจะใช้วิปัสสนากัน

 แต่ไม่รู้ว่าความหมายของวิปัสสนานี้เป็นอย่างไรกัน

ความหมายของวิปัสสนาก็คือการใช้ความรู้

ที่เรียกว่า “สัมมาทิฏฐิ” ความเห็นชอบ

ว่าสภาวธรรมทั้งหลายนั้น ไม่เที่ยงเป็นทุกข์

ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราจะไปควบคุมบังคับ

ให้มันเป็นไปตามความอยากของเราได้

เราใช้วิปัสสนานี้ เพื่อรักษาความสงบของใจ

ถ้าเรายังไม่มีความสงบนี้

เราก็ใช้วิปัสสนาไม่เกิดประโยชน์อะไร

วิปัสสนานี้มีไว้สอนใจให้หยุดความอยากต่างๆ

ที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายใจของความทุกข์ใจ

 ที่เป็นตัวที่มาทำลายความอุเบกขาความสงบของใจ

 แต่ถ้าเราไม่มีอุเบกขาแล้วเราจะเอาปัญญามารักษาอะไร

เราเอาปัญญามารักษาความรักความชัง

ความกลัวความหลงหรอ มันไม่ได้เป็นประโยชน์

วิปัสสนานี้มีไว้เพื่อมารักษาใจที่สงบแล้วให้สงบต่อไป

 แต่ถ้าใจยังไม่สงบจะเอาวิปัสสนามารักษาอะไร

 มารักษาความไม่สงบหรอ

มันไม่ได้เป็นหน้าที่ของวิปัสสนา

ที่จะมารักษาความไม่สงบ มีหน้าที่มารักษาความสงบ

 ตอนต้นเราต้องมีความสงบก่อน

แล้วพอมันจะไม่สงบด้วยตัณหาความอยาก

 เราก็ใช้ปัญญามาระงับตัณหาความอยาก

 เพื่อที่จะได้รักษาความสงบของใจให้อยู่ต่อไป

ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัตินี้ถ้าจะเริ่มที่วิปัสสนานี้

ก็จะไม่รู้ว่าวิปัสสนาไปเพื่ออะไร

 เหมือนกับไปจ้างเจ้าหน้าที่รปภ.มาเฝ้า

 แต่ไม่รู้ว่าให้มาเฝ้าอะไร ไม่รู้ว่าของที่จะหายนั้นเป็นอะไร

เจ้าหน้าที่รปภ.มาเฝ้าก็ไม่รู้จะเฝ้าอะไร

ต้องให้รู้ก่อนว่า จะต้องมาเฝ้าอะไร

แล้วถึงจะได้คอยดูแลรักษาสิ่งนั้น

ไม่ให้ถูกขโมยมาลักไปมาทำลายไป

ดังนั้นสิ่งที่เเรก ที่เราต้องทำให้ได้ก็คือต้องทำใจให้สงบ

 ทำใจของเราให้เย็นก่อน เมื่อใจของเราเย็นแล้ว

เวลามันร้อน เราก็ใช้ปัญญามาทำให้มันหายร้อน

 เพราะเราจะเห็นคุณค่าของความเย็นของใจว่าไม่มีอะไร

 ที่จะดีเท่ากับ ความเย็นของใจ

 แต่ถ้าเรายังไม่มีความเย็นของใจ

 เราจะไปรักษาของอื่นแทน

 แทนที่จะรักษาความเย็นของใจ

 เรากลับจะไปรักษาร่างกาย

หรือรักษาทรัพย์สมบัติของร่างกายด้วยวิปัสสนา

 ถ้าไปรักษาแบบนี้แทนที่ จะทำให้ใจเย็น

กลับทำให้ใจทุกข์มากขึ้น

 เพราะเราไม่สามารถรักษาร่างกายได้

เราไม่สามารถรักษาทรัพย์ สมบัติต่างๆไว้ได้

ทรัพย์สมบัติหรือร่างกายของเรานี้

 สักวันหนึ่ง มันก็จะต้องตายจากเราไป

และเราถ้าไม่มีความสงบ เราก็จะจากมันไป

ด้วยความทุกข์ ด้วยความวุ่นวายใจ

แต่ถ้าเรามีความสงบแล้ว พอเวลาที่เราจะต้องจากร่างกาย

จากทรัพย์สมบัติต่างๆไป ถ้าเกิดมีความอยาก

 เกิดมีความทุกข์ขึ้นมา

 เราก็ต้องเอาวิปัสสนาเอาปัญญามาใช้

ระงับความทุกข์ที่เกิดจากความอยาก

ไม่พลัดพรากจากทรัพย์สมบัติ

ไม่อยากที่จะพลัดพรากจากร่างกายไป

ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เจริญสมถภาวนาก่อน

ทำใจให้สงบก่อน ให้ใจให้เย็นให้มีความสุขก่อน

แล้วค่อยมาเจริญวิปัสสนาเพื่อที่จะมารักษาความเย็น

ความสงบของใจที่จะเกิดมีการหายไปได้

เวลาที่ไปเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ

 เช่นไปเจอความเจ็บไข้ได้ป่วย ไปเจอความตาย

ใจที่มีความสงบนี้บางที ยังไม่สามารถที่จะรักษา

ความสงบนั้นได้ด้วยสติเพียงอย่างเดียว

 เพราะเวลาเจอเหตุการณ์ที่แรงมากระทบกับใจนี้

ความอยากมันจะออกมาแล้ว

ความอยากนี้จะเป็นตัวที่ทำให้อุเบกขาของใจนั้นหายไป

 ทำให้เกิดความกลัว ความรักความชังความหลงขึ้นมา

ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้

ก็ต้องใช้ปัญญามาระงับความรัก ความชัง ความกลัว

 ความหลงความอยากต่างๆ ให้พิจารณาให้เห็นว่า

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องธรรมดา

เช่นการพลัดพรากจากกันของทรัพย์สมบัติ

หรือของข้าวของเงินทองต่างๆมันเป็นอนิจจัง

มันเป็นอนัตตา มันไม่ได้เป็นของเรา เราไปห้ามมันไม่ได้

ไปยื้อมันไว้ไม่ได้ ถึงเวลาที่มันจะต้องไป มันก็ต้องไป

 ถ้าเราไปรัก ไปหวง ไปอยากจะให้มันอยู่กับเรา

ไม่อยากจะให้มันจากเรา เราก็จะสร้างสมุทัย

คือต้นเหตุของความทุกข์ใจขึ้นมา

พอเกิดความอยากไม่ให้มันจากเราไป

 ใจของเราก็จะร้อนขึ้นมาทันที

 ตอนนี้แหละที่เราต้องใช้วิปัสสนา เข้ามาสอนใจ

ว่ามันเป็นของชั่วคราว ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

ร่างกายของเรา มันเป็นอนิจจัง

มันจะต้องจากเราไปวันใดวันหนึ่ง

 ด้วยเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่งมันต้องไป

ไม่ว่าจะไปด้วยความพอใจ เช่นทำบุญเสียสละ มันก็ไป

 ไปเพราะถูกมาลักมาขโมย มันก็ไปเหมือนกัน

เมื่อมันจะไป จะไปแบบไหน เราก็อย่าไปทุกข์กับมัน

 ถ้าเราไม่ทุกข์กับการที่เราทำบุญ

 ทำไมเราต้องมาทุกข์กับการที่ถูกเขามาขโมยไป

มันก็ไปเหมือนกัน เสียของไปเหมือนกัน

แต่เสียแบบหนึ่งไม่ทุกข์ แต่เสียอีกแบบหนึ่งทุกข์ใจ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๙

“เครื่องปรับใจยี่ห้อสมถะ-วิปัสสนา”









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 02 พฤษภาคม 2559
Last Update : 2 พฤษภาคม 2559 11:09:07 น.
Counter : 832 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ