<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
8 พฤศจิกายน 2552

โตเกียว หมุนรอบตัว ตอนที่ 1 : ขีดเส้นความฝัน

..

เรื่องราวการเดินทางของผม หากจะนำไปเป็นคู่มือแนะนำ สำหรับนักท่องเที่ยว
คงไม่สามารถตอบโจทย์ได้ดีนัก


แต่ถ้าใครอยากได้คู่มือสำหรับการสร้างแรงบันดาลใจ
... ผมอยากให้เราร่วมเดินทางผ่านตัวอักษรไปด้วยกัน

..



..

บทนำ

ความฝัน กับ ความจริง เชื่อมโยงถึงกันได้ แต่ก็เป็นสิ่งคู่ขนาน
หากเราไม่ลากเส้นของความฝัน ไปตัดเส้นความจริง ความฝันก็คงเป็นเพียงนามธรรม
คล้ายเงาสะท้อนที่มองเห็น แต่ไม่อาจสัมผัส

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ร่ำรวยอะไร
ไม่เคยเสี่ยงโชค หรือได้รับมรดกตกทอดจากเจ้าคุณปู่

แต่ผมก็มีความฝันว่า สักวันจะเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นให้ได้
จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว หลังจากเก็บหอมรอมริบมาได้พักใหญ่
ผมพยายามลากเส้นความฝันไปใกล้ความจริงจนเกือบเอื้อมถึง

ทว่าด้วยภาระค่าใช้จ่ายกะทันหัน เกี่ยวกับอุปกรณ์การทำงาน
ทำให้เส้นความฝันขาดผึงลงกลางทาง ลากไปไม่ถึงจุดตัดตามที่ตั้งใจ

.
.

เมื่อเส้นความฝันขาดลงด้วยอุปสรรคอันจำเป็น
ผมยังไม่ทิ้งมันไป แต่นำมาแปรรูปใหม่
เก็บเป็นเมล็ดพันธุ์ ใส่ไว้ในขวดโหลใสๆ

แม้เมล็ดความฝันยังไม่อาจเติบโต แต่การที่ยังไม่โยนมันทิ้งไป
ก็ทำให้ผมยังได้เฝ้ามองดูมันทุกวัน

การนั่งมองเมล็ดความฝันแต่ละครั้ง
หากมองแล้วผ่านไปเฉยๆ เมล็ดความฝัน คงยังแน่นิ่งไร้การเปลี่ยนแปลงอยู่ในขวดโหล
แต่ผมเลือกที่จะรดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ไปวันละนิด วันละหน่อย

เมื่อวันเวลาที่อุณหภูมิเหมาะสม ความชื้นอยู่ในระดับดี ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆในเช้าวันหนึ่ง

... เมล็ดแห่งความฝัน ก็เริ่มงอกเงย เป็นต้นกล้า ผลิใบอ่อนขึ้นมาจนได้
..




..

ผมคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุด ของการเดินทางไปญี่ปุ่น
ไม่ใช่งบประมาณ วันลางาน เพศ อายุ สภาพอากาศ สภาพร่างกาย
การขอวีซ่าจากสถานทูต หรือการขอวีซ่าจากทางบ้าน

แต่ทว่าความยากที่สุดของการเดินทางไปแดนอาทิตย์อุทัย คือ
“การเริ่มต้น”

.

ผมมีโอกาสพูดคุยกับหลายคนที่ยังไม่เคยไปญี่ปุ่น และมักพบว่า ปัญหาหลักของเขาเหล่านั้น
คือ ความกังวลในสิ่งที่ไม่รู้
... วีซ่าญี่ปุ่นผ่านยากมากไม่ใช่เหรอ ?
ต้องมีเงินในบัญชีกี่แสน ?
แค่เห็นแผนที่สายรถไฟก็ปวดหัวแล้ว !
ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่เก่งจะไปยังไง ?

ความกังวลทั้งหลาย กลายเป็นความกลัว
กระทั่งในที่สุด มันส่งผลให้ใครหลายคน ไม่เริ่มต้นลงมือทำ

.

แต่หากสลัดความกังวลทิ้งไปทีละอย่าง
แล้ว“เริ่มต้น”ตั้งใจว่าจะไปญี่ปุ่นจริงๆ
ผมเชื่อว่า แม้จะลำบากลำบนแค่ไหน เราก็จะพยายามเต็มที่

เมื่อ “เริ่มต้น” เราจะค้นคว้า ศึกษาหาข้อมูล วางแผน และค้นพบว่า
สิ่งที่คิดว่ายาก มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด
หรือหากว่ามันยังยาก เราก็จะแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงไปจนได้

.. ผมจึงมองว่า “การเริ่มต้น” เหมือนกับเราได้ก้าวไปญี่ปุ่นแล้วครึ่งทาง

..



..

“เสน่ห์ โตเกียว”

ความวุ่นวายของชีวิตในมหานครโตเกียว อาจทำให้ใครที่ไม่ชอบวิถีคนเมืองหลวง
ขอเลี่ยงไปสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นสงบๆในเมืองอื่นๆ

ถึงกระนั้น ในความวุ่นวายดังกล่าว นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของโตเกียวได้เช่นกัน

ด้วยพื้นที่เพียง 2,187 ตารางกิโลเมตรเศษ
แต่เมืองหลวงแห่งนี้ต้องรองรับประชากรที่อาศัยอยู่มากกว่า 12 ล้านชีวิต
แถมยังอาจพุ่งขึ้นไปถึง 15 ล้านคน ในช่วงเวลาทำงาน


กลายเป็นคำถามที่น่าค้นหาอย่างยิ่งว่า
ประชากรที่มากมายมหาศาลขนาดนั้น คนโตเกียวอยู่กันได้อย่างไร
ระบบคมนาคม ระบบสาธารณูปโภค อาหารการกิน ของเมืองนี้เป็นอย่างไร

..



..

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพลักษณ์ของโตเกียว คือ เมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มองไปทางไหนก็มีแต่คลื่นมนุษย์

แต่ผมค้นพบว่า ในมหานครแห่งนี้ ยังมีพื้นที่สงบๆ รอคอยให้นักเดินทางไปค้นหา

..

..

เสน่ห์ที่เปรียบได้ราวกับเป็นเส้นเลือดของชาวโตเกียว
คือ ระบบขนส่งมวลชน

ผมเชื่อว่าหากใครได้ลองใช้บริการรถไฟในโตเกียวแล้วล่ะก็
เป็นต้องติดใจทุกราย

แม้บางขบวน บางช่วงเวลา มันจะแออัด เต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างเบียดเสียด น่าเวียนหัว

แต่...การได้ลองเรียนรู้วิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับรถไฟนั้น
ไม่ต่างจากการทำความรู้จักกับโตเกียวอย่างลึกซึ้ง

..


..

โตเกียวเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบตึกรามบ้านช่อง อาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง
ล้วนแล้วแต่สื่อถึงความเป็นเมืองแห่งโลกอนาคต

โตเกียวยังเป็นเมืองแห่งแฟชั่นเลิศหรู ไปจนถึงแฟชั่นหลุดโลก
ชนิดที่หากแต่งมาเที่ยวเมืองไทย หมาคงไล่เห่ากันตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอย

นอกจากนั้นในวันทำงาน เราจะได้เห็นบรรดามนุษย์เงินเดือน
สวมสูทสีดำ สวมเสื้อผ้ายูนิฟอร์มของบริษัท เดินกันขวักไขว่ไปทั่วทั้งเมือง

.

แต่ไม่ว่าความทันสมัยล้ำอนาคตจะก้าวไปไกลเพียงใด
เรายังสามารถพบเห็นประเพณีดั้งเดิม วิถีชีวิตอันสื่อถึงศิลปวัฒนธรรม และเอกลักษณ์แห่งชนชาติ
ผนวกเข้ากับความทันสมัยแห่งเมืองเอาไว้ได้อย่างลงตัว

อดีต และอนาคต ที่ผสมผสานกัน คือ ความเป็นปัจจุบันของโตเกียว

..


..

ส่วนตัวผมมองว่า สุดยอดของอาหารอร่อยยอดฮิต ติดอันดับโลก
ได้แก่ อาหารไทย อาหารฝรั่งเศส อาหารอิตาลี อาหารจีน ...
และแน่นอนว่า อาหารญี่ปุ่น ต้องติด Top 5 อยู่ด้วยแน่นอน

แม้ผมจะเป็นคนที่กินน้อย และไม่ค่อยสนใจเรื่องอาหารเท่าใดนัก
แต่การเดินทางไปถึงถิ่นของกินระดับโลกนั้น หากไม่ลองลิ้มชิมรสชาติต้นตำรับ
คงเหมือนยังไปไม่ถึงญี่ปุ่น

การตะลอนๆไปในโตเกียวนั้น คลายความสงสัยของผมไปจนหมดว่า
ทำไมหลายต่อหลายคนมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากการมาเที่ยวที่นี่

... เพราะโตเกียวเป็นสวรรค์สำหรับคนรักอาหารญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

..


..

หนังสือ “โตเกียว ไม่มีขา” ของคุณนิ้วกลม สรุปความหมายว่า
เมืองหลวงของญี่ปุ่นเมืองนี้ ไม่มีขาที่จะเดินมาหาตัวเราได้ เราต้องไปหาเอง

ผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่ก้าวขายาวๆไปหาโตเกียวเอง และเลือกที่จะไม่ไปเมืองอื่นเลย
เนื่องจากรู้รสนิยมการท่องเที่ยวของตัวเองดี
ว่า มีความสุขกับการได้ปล่อยอารมณ์อ้อยอิ่งอยู่กับแต่ละสถานที่ เป็นเวลานาน

ซึ่งนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะทำให้ผมได้ซึมซับบรรยากาศ
สัมผัสวิถีชีวิตอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น

นำไปสู่การค้นพบเสน่ห์อันมากล้นของมหานครระดับโลกอย่าง “โตเกียว”

..



..

“เริ่มต้น การเดินทาง”

ใครต่อใครที่มีโอกาสได้เดินทางไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก (แม้กระทั่งหลายครั้งก็ตาม)
คงรู้สึกตื่นเต้น นับถอยหลัง ตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้ไปเยือนประเทศนี้

แต่ผมคงโชคร้ายสักหน่อย ที่ต่อมความตื่นเต้น อยู่ลึกกว่าชาวบ้าน
ทั้งๆที่จะเป็นการเดินทางไปประเทศที่ใฝ่ฝันเป็นครั้งแรกแท้ๆ
แต่ก่อนการเดินทางราวสัปดาห์ ผมยังวุ่นวายอยู่กับการสะสางงาน จนไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นอะไรนัก

แถมยังใช้เวลาเตรียมตัวแพ็คกระเป๋าราว 2 ชั่วโมงก่อนเดินทางไปสนามบิน (- -)”

ขณะที่ผู้โดยสารแต่ละคนรอขึ้นเครื่องรอบดึก ด้วยสีหน้าแช่มชื่น
ผมกลับนั่งง่วง สัปหงก รอให้ถึงเวลาขึ้นไปนอนบนเครื่องบินเสียที

กระนั้น ต่อมความตื่นเต้น ถูกปลุกให้ทำงานขึ้นมาได้บ้าง
เมื่อแอร์โฮสเตสสาวหน้าตาจิ้มลิ้มของ ANA เปิดฉากต้อนรับด้วยบทสนทนาภาษาญี่ปุ่นมาเป็นชุด
ทำเอาภาษาอังกฤษที่ตระเตรียมเอาไว้กระจัดกระจายหล่นหายไปหมด

นึกแล้ว ขำตัวเองครับ ... เห็นทิวทัศน์สวยๆของญี่ปุ่นจากหน้าต่างเครื่องบินยังไม่รู้สึกอะไรมาก
แต่กลับขนลุกเกลียวกับภาษาญี่ปุ่นของแอร์โฮสเตส

..


..

ผมสังเกตคร่าวๆว่าบนเครื่อง ANA ลำที่โดยสารมานั้น มีกลุ่มคนไทยอยู่ 2 กลุ่มใหญ่
กลุ่มแรก เป็นกรุ๊ปทัวร์ ส่วนอีกกลุ่มเป็นนักศึกษาราว 10 คน แบกเป้มาเที่ยว

แต่เมื่อผ่านกระบวนการต่างๆของการตรวจคนเข้าเมือง ไปจนถึงการจัดแจงซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมืองเสร็จ
ผมกลับพบว่าไม่มีคนไทยคนไหนร่วมเดินทางมาด้วยกันอีกแล้ว


เนื่องจากผมไม่ได้วางแผนจะไปไหนนอกจากโตเกียว
ผมจึงเลือกใช้บริการ Keisei Skyliner จากสนามบินนาริตะ เข้าไปสู่ตัวเมือง
โดยซื้อโปรโมชั่นขาเข้าที่ขายเฉพาะในสนามบิน พ่วงกับ Tokyo Metro 2 Day Open Ticket ราคาสุทธิ 2,480 เยน

ตารางของ Keisei Skyliner ในรอบแรกของวัน คือ 9.23 น.
มีเพียงผมกับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มเล็กๆ และชาวญี่ปุ่นอีกไม่กี่คน รอเดินทางเข้าสู่เมืองใหญ่

..การเดินทางภายในประเทศญี่ปุ่นของผม กำลังจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ

(ตื่นเต้นอีกสักหน่อยแล้วกัน ... ฮา)

..


..

“มุ่งสู่ที่พัก”

ก่อนตัดสินใจ ว่าไปญี่ปุ่นแน่ๆ ...
ผมนั่งคิดนอนคิดอยู่หลายตลบเกี่ยวกับเรื่องที่พัก
แม้ตัวเองไม่ใช่คนเรื่องมาก ไม่ติดหรู และคิดว่ามนุษยสัมพันธ์ก็อยู่ในขั้นดี

นั่นจึงไม่น่ามีปัญหา หากจะลองพักโรงแรมแนวข้าวสาร หรือโรงแรมลักษณะหอรวมทั้งหลาย
เพราะนอกจากประหยัดงบแล้ว ยังมีโอกาสได้เพื่อนนานาชาติกลับมาอีกเพียบ

แต่คิดไปคิดมา หากมีอารมณ์ติสต์แตกเมื่อไหร่ ผมก็โลกส่วนตัวสูงไม่แพ้ใคร

เมื่อความคิดตกตะกอน ผมจึงยอมเลือกที่พักไกลเมืองสักนิด
นั่นคือ โรงแรมย่าน Minami-Senju

..


..

Minami-Senju เป็นเขตชานเมืองโตเกียวสักหน่อย
ตึกสูงเสียดฟ้า รถราติดขัด หรือความวุ่นวายสไตล์คนเมือง จึงไม่ค่อยมีให้เห็น

ย่านนี้ยังเป็นแหล่งโรงแรมราคาสบายกระเป๋าหลายแห่ง
ทั้งยังเป็นอีกย่านที่คนไทยผู้ชอบเดินออกกำลังขาสักนิด นิยมเลือกพัก
เพราะอย่างน้อยต้องเดินลาก - เดินแบกกระเป๋าจากสถานีรถไฟไปโรงแรมราว 300-400 เมตร



..

ส่วนตัว ผมชอบความสงบชานเมือง
เพราะไม่ว่าจะเดินในช่วงเวลาไหน ละแวกนี้ก็ดูเงียบ ผ่อนคลาย ไม่พลุกพล่าน
หากไม่ติดว่าขี้เกียจเดินสักหน่อย
สถานี Minami-Senju ก็มีตัวเลือกรถไฟทั้ง JR และ Tokyo Metro - Hibiya Line (H20)
หายห่วงเรื่องการเดินทาง

ใครติดแสงสี ความครึกครื้น ใกล้แหล่งเที่ยว ที่พักย่านนี้อาจไม่เหมาะนัก

แต่หากใครชอบความสงบย่านชานเมืองโตเกียว
... Minami-Senju น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี

..


..

หลังจากแบกกระเป๋าจากสถานี Minami-Senju มาพอเหงื่อซึม
ผมมาถึงที่พัก คือ Juyoh Hotel
(www.juyoh.co.jp)

โรงแรมแห่งนี้ เคยมีโอกาสได้ต้อนรับคนไทยมาบ้าง
แต่ก็ไม่บ่อยนัก หากเทียบกับโรงแรมอื่นในละแวกเดียวกัน
ในช่วงวันที่ผมเข้าพัก แขกส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป และไม่มีนักท่องเที่ยวชาวไทยคนอื่น

.

นอกจากเรื่องความเงียบสงบแล้ว เหตุผลสำคัญ 2 ข้อ ที่ผมเลือกพักโรงแรมนี้
ข้อแรก ผมสามารถจองผ่านอินเตอร์เน็ตได้ทันที แล้วค่อยมาจ่ายเงินสดในวันเข้าพัก

ส่วนข้อสอง สต๊าฟของ Juyoh นั้น พูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว
(บางคนพูดเก่งกว่าผมด้วยซ้ำ)

... และสาเหตุข้อสองนี่เอง ทำให้ผมได้เพื่อนใหม่ชาวญี่ปุ่นกลับมา 4 คน

..



..

“นั่งรถไฟ ไปหาเธอ”

ชาวโตเกียวส่วนใหญ่ นิยมใช้บริการขนส่งมวลชนอย่างรถไฟ
เรียกได้ว่า เป็นการคมนาคมที่เปรียบดังเส้นเลือดใหญ่ของคนเมือง

ดังนั้น ในฐานะนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสความเป็นโตเกียว ...
การนั่งรถไฟ จึงเป็นสิ่งที่ผมขีดเส้นใต้ ย้ำเอาไว้ว่า

“ห้ามพลาด”

..


..

อย่างที่ทราบกันว่า สายรถไฟในโตเกียวนั้น คล้ายกับใยแมงมุมดีๆนี่เอง
ในเขตเมืองมีผู้ให้บริการหลัก ได้แก่ JR , Tokyo Metro และ Toei
โดยหากนับเฉพาะเขตตัวเมือง น่าจะมีสถานีรถไฟไม่ต่ำกว่า 300 สถานี

หลายคนเมื่อเห็นแผนที่ก็เริ่มเวียนหัว ตาลาย
จนกระทั่งมาเจอของจริงอาจจะถึงขั้นหน้ามืดได้ง่ายๆ

แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องที่คิดกันไปเอง
เพราะระบบอำนวยความสะดวกของรถไฟในโตเกียวเยี่ยมยอดไม่แพ้ที่ใดอยู่แล้ว

ลองได้ทดลองนั่งไปนั่งมาสักวัน จากความกังวล จะกลายเป็นความสนุก
อึ้ง และทึ่ง ไปกับระบบขนส่งมวลชนระดับโลก

..
..

นักท่องเที่ยวขาจร ประเภทซื้อตั๋วเองทุกครั้ง อาจจะมึนๆงงๆกังวลบ้างนิดหน่อย .
.. จะไปที่นั่น ที่นี่ ราคาเท่าไหร่ วางแผนเส้นทางไหนประหยัดที่สุด ใกล้ที่สุด

แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการตั๋ววันในเขตโตเกียวอย่างผมนั้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก
นอกจากพยายามอ่านแผนที่เส้นทางให้พอทราบบ้างเท่านั้นเอง

.

ซื้อตั๋ววันมาแล้ว ... สอดบัตรเข้า สอดบัตรออกบ่อยๆ ไปสถานีโน้น ลงสถานีนี้
จะถูกหรือผิด ก็ไม่ต้องกลัวเปลือง ไม่ต้องกลัวจ่ายเพิ่ม

หากหลงออกนอกเส้นทาง
ก็ถือให้ผิดเป็นครู เรียนรู้ประสบการณ์ตรง เดี๋ยวเดียวก็จำได้



.
แม้สายรถไฟในโตเกียว สร้างความกังวลให้นักท่องเที่ยวมือใหม่มาแล้วหลายราย

แต่ว่ากันตามตรง ผมคิดว่าหากใครที่อ่านแผนที่เก่งๆ และเป็นคนหูตาไว ช่างสังเกต
คุณอาจจะไม่หลงกับเส้นทางใยแมงมุมเลย
เพราะแผนที่ตามสถานีรถไฟต่างๆนั้น บอกเอาไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูแล้วเข้าใจง่าย

แถมยังมีสีสันสวยงาม ... น่ามอง

..

..

การอำนวยความสะดวกของรถไฟญี่ปุ่น ยังโดดเด่นในเรื่องของป้ายบอกตารางเวลา
ซึ่งบอกตั้งแต่เวลา ณ ปัจจุบัน เวลาของรถไฟที่กำลังจะมาถึง และเวลาสำหรับขบวนถัดไป

นอกจากนี้ ป้ายบอกทางก็ละเอียดถี่ถ้วนทั้งภาษาญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษ
บอกให้ครบไม่ว่าจะให้ตรงไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือต้องเดินไปอีกกี่เมตร

.

การเดินทางมาโตเกียวครั้งแรกนี้
สิ่งที่ผมศึกษามาเป็นอย่างดีที่สุด จึงไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใด
แต่ผมใช้เวลาร่วม 2 เดือนก่อนเดินทาง ศึกษาเส้นทางรถไฟของโตเกียวมาอย่างละเอียด

ผลจากการอ่าน อ่าน และอ่านเส้นทางรถไฟมาเป็นอย่างดี
ผมจึงไม่เคยหลงทาง ขึ้น - ลง ผิดเส้นทาง

(ยกเว้น คืนหนึ่งที่หลับเพลิน จนนั่งเลยไป 2 สถานี - -“)

..


..

ลองมองการใช้บริการรถไฟญี่ปุ่น เป็นเหมือนเกมส์ผจญภัยหาทางออกที่มีตัวเราเป็นผู้เล่น
... ความกังวล จะกลายเป็นความสนุกไม่รู้เบื่อ

.

เมื่อเราเริ่มเล่นเกมส์ ก็จะได้พบกับปริศนาที่บอกใบ้เอาไว้ตามป้ายต่างๆที่อยู่รอบตัว

ชื่อสายรถไฟ ตัวอักษรย่อ สีของแต่ละบริษัท สีของรถไฟแต่ละสาย
ชื่อสถานีต้นทาง - ปลายทาง หรือ หมายเลขประจำสถานี

ผู้เล่นอย่างเรา จึงต้องคลายปริศนาให้ออก ว่าต้องเดินไปทางไหน

หากเดินรวดเดียว ไปถึงที่หมายเลย โดยไม่หลง เราก็ได้โบนัสพิเศษ

หากเลี้ยวผิดด้าน ตัด 1 คะแนน
ขึ้นรถไฟผิดฝั่ง ตัด 2 คะแนน
ลงผิดสถานี ตัด 3 คะแนน

ฯลฯ

หรือหากสุดท้าย จนปัญญาจริงๆ
ก็ยังมีตัวช่วยพิเศษอย่างเจ้าหน้าที่ประจำสถานี ที่จะอธิบายให้เราได้ทราบ
(แต่สำหรับผม การใช้บริการเจ้าหน้าที่เฉลยเส้นทาง จะต้องโดนตัดคะแนนไป 5 คะแนน ฮ่าๆ)

ผมลองคิดแบบนี้แล้ว บอกได้เลยว่า
... รถไฟโตเกียว ยิ่งขึ้น ยิ่งสนุกครับ

..



..

ข้อแตกต่างเรื่องสถานี อาจเป็นอีกประการหนึ่ง ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยไม่คุ้นเคย
เพราะสถานีรถไฟในโตเกียวมีการผสมผสานหลากหลายรูปแบบ

รถไฟใต้ดินบางสาย มุดลงดินในเขตดาวน์ทาวน์
แต่เมื่อออกมาสู่ชานเมือง ก็กลายร่างเป็นรถไฟบนดิน
ขณะเดียวกัน ความโดดเด่นของสถานีรถไฟในโตเกียว คือ การผนวกความร่วมมือของภาครัฐ และเอกชน
อำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารกันอย่างเต็มที่

ดังจะเห็นได้ในสถานีใหญ่ๆ เช่น Shinjuku ซึ่งผู้โดยสารที่จะเปลี่ยนเส้นทางรถไฟข้ามบริษัท
ไม่ต้องเข้าๆออกๆ ซื้อตั๋วโดยสารหลายต่อ
เหมือนรถไฟฟ้า BTS กับ รถไฟใต้ดิน MRT ในกรุงเทพ

(รูปประกอบ เป็นสถานี Minami-Senju)


..

ความแตกต่างอีกเรื่อง คือ ที่ตั้งของสถานีรถไฟ ไม่จำเป็นต้องแยกออกเป็นเอกเทศเสมอไป
บางสถานีนั้นเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร สถานที่ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า

ในเมืองไทย สถานีที่มีรูปแบบใกล้เคียงที่สุด คือ BTS สยาม และ พร้อมพงษ์ ที่เดินออกจากสถานีไม่กี่ก้าว ก็เข้าสู่ตัวห้างฯ

แต่สำหรับโตเกียวนั้น รถไฟ วิ่งผ่านทะลุเข้าไปข้างใน หรือ มุดลงไปด้านล่าง
... เห็นแล้วนึกชื่นชม สถาปนิก และวิศวกร

ดังนั้น หากเจอสถานีประเภทดังกล่าว นักท่องโตเกียวมือใหม่อาจจะมึนงงบ้างเล็กน้อย เวลาเดินหาทางออก แต่หากเป็นนักเที่ยวขาช้อป คงชอบใจ เพราะออกจากรถไฟปุ๊ป ได้เสียตังค์กับข้าวของในห้างฯทันที

(รูปประกอบ เป็นสถานี Korakuen)

..


..
นอกจากความโดดเด่นของระบบ และโครงสร้างต่างๆแล้ว รถไฟในโตเกียว
ยังมีอีกอย่างที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ วัฒนธรรม และพฤติกรรมของผู้โดยสาร

อาจเพราะเป็นการเดินทางไปครั้งแรก
ทำให้ผมสนุกกับการสังเกต เรียนรู้พฤติกรรมของชาวโตเกียวที่เกี่ยวข้องกับรถไฟไปเสียทุกอย่าง

ไม่ว่าจะในรถไฟ หรือบนชานชลา ... ทุกพื้นที่ต่างแลดูน่าสนใจไปทั้งหมด

..


..

แม้รถไฟโตเกียว จะขึ้นชื่อเรื่องความตรงเวลา ความรวดเร็ว และมีจำนวนขบวนถี่พอสมควร
แต่ด้วยปริมาณผู้โดยสารที่มากมายในแต่ละวัน
รถไฟโตเกียวก็สามารถทำให้เรากลายสภาพเป็นมนุษย์ปลากระป๋องได้อยู่ดี

โดยเฉพาะช่วงเวลาเข้างาน – เลิกงานนั้น
ผู้โดยสารแทบจะทำอะไรไม่ได้ นอกจากยืนนิ่งๆ และสูดลมหายใจเข้าออกเบาๆ

..ป้องกันพุงที่อาจจะกระเพื่อมไปโดนคนข้างหน้า

..


..

ผมยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศแห่งความแออัดในรถไฟโตเกียวใน Prime Time แบบเต็มๆ
เพราะไม่มีแผนการเดินทางไปไหนช่วงเช้า
ส่วนช่วงเย็น ถึงหัวค่ำ ผมมักตะลอนเที่ยวอยู่ที่ใดที่หนึ่งมากกว่า

แต่ก็มีครั้งหนึ่ง เมื่อต้องเดินทาง ต่อสถานีระยะสั้นๆในช่วงหัวค่ำ
ความแออัดยัดกระป๋องในรถไฟโตเกียวนั้น ทำให้ผมเรียนรู้ว่า

... เราสามารถยืนหลับบนรถไฟได้โดยไม่ล้ม

..


..

มารยาทข้อสำคัญบนรถไฟที่ชาวโตเกียวรู้กันดีข้อหนึ่ง คือ การงดคุยโทรศัพท์มือถือ
ซึ่งหมายความรวมถึงการปิดเสียงเพื่อป้องกันการไปรบกวนผู้อื่นอีกด้วย

ป้ายรณรงค์ที่เห็นกันตามสถานีรถไฟทั่วไปนั้น เหมือนจะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
เพราะผมเคยได้ยินเสียงคนคุยโทรศัพท์เพียงแค่ครั้งเดียว

... และคนคนนั้นเป็นนักท่องเที่ยวฝรั่งหัวทอง

..
..

แต่การรณรงค์ไม่คุย ไม่โทร ...
ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทำอะไรเลย

ประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นแนวหน้าของเทคโนโลยีด้านอุปกรณ์สื่อสารอยู่แล้ว

ดังนั้น กิจกรรมหลักของชาวโตเกียวที่เราจะเห็นกันได้ในทุกขบวนรถไฟ
คือ การหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโน้น จิ้มนี่
ทั้งการส่ง sms chat e-mail internet เล่นเกมส์ ดูรูปถ่าย ฯลฯ

..

..

แม้จะมีป้ายโฆษณาเกี่ยวกับระบบการสื่อสาร หรือโทรศัพท์มือถือมากมายเพียงใด

แต่สำหรับในขบวนรถไฟนั้น ... ทำได้เพียงจิ้ม กด จิ้ม กด งดโทรฯ

..


..

ในความสมบูรณ์แบบของรถไฟโตเกียวแทบทุกด้าน
ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียซะเลยทีเดียว เพราะแม้ว่า ในทุกขบวนมีที่นั่งสำรอง
สำหรับ คนชรา สตรีมีครรภ์ คุณแม่ลูกอ่อน และผู้พิการ
แต่หากเป็นช่วงเวลาปลากระป๋องแล้วล่ะก็
ที่นั่งเหล่านั้นก็แทบไม่มีความหมายนัก

บ่อยครั้ง เมื่อที่นั่งเต็มไปด้วยผู้โดยสาร
... คนแก่ หรือเด็กๆซึ่งขึ้นมาทีหลัง อาจต้องยืนเกาะ ยืนโหนไปจนถึงจุดหมายปลายทาง

เป็นภาพชินตา ที่ผมเห็นในรถไฟโตเกียว

..


..

สำหรับคนไทย ผู้มีน้ำใจต่อเด็ก และคนชรา นั้น
หากเป็นไปได้ เมื่อเห็นว่าขบวนไหน มีแนวโน้มว่า จะมีผู้โดยสารหนาแน่น เราก็เลือกยืนไปเถอะครับ

เพราะบางครั้ง เมื่อเรานั่งไปแล้ว มีผู้โดยสารขึ้นมาคราวละมากๆ
โอกาสที่จะลุกขึ้น เสียสละ ทำแมนต่อหน้าสาวๆญี่ปุ่นนั้น ค่อนข้างจะลำบาก .
.. ดีไม่ดี เด็ก หรือ คนชรา จะมองด้วยสีหน้าแปลกๆอีกต่างหาก

.

หนุ่มๆแน่นๆ เลือกยืนชมวิวทิวทัศน์ข้างทางไปเรื่อย เดี๋ยวเดียวก็ถึง
... หรือ หากสาวๆจะเลือกยืน เหล่หนุ่มๆโตเกียว ก็คงไม่มีใครว่าอะไร

..


..

เมื่อพูดถึงรถไฟในโตเกียว เรื่องหนึ่งที่ผมสนใจใคร่รู้ คือ บุคลากร
เพราะหากเป็น BTS-MRT ในบ้านเรา คงไม่มีทางทราบเลยว่า
หน้าตาคนขับรถไฟเป็นอย่างไร

แต่สำหรับรถไฟโตเกียว คุณพอจะหาโอกาสดูการทำงานของบุคลากรเหล่านั้นได้บ้าง
อย่างน้อย คือ พนักงานขับรถไฟ

(แต่ถ้าจะดูวิศวกรรถไฟ ไปดูในโรงหนังนะครับ )

.

ส่วนหัว และท้ายขบวนรถไฟบางประเภท เป็นกระจกใส
แม้จะมีฟิล์มกรองแสง แต่ก็ไม่มืดทึบจนกลายเป็นห้องสอบสวนคดี

แม้การทำงานของพนักงาน ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ... คุณลุงก็ขับของแกไปเรื่อย
แต่ความน่าตื่นตาตื่นใจคงอยู่ที่อุปกรณ์ และระบบต่างๆ
เครื่องควบคุมขนาดเขื่อง ซึ่งอยู่ตรงหน้าคุณลุงคนขับนี่เอง ที่ขนส่งชาวโตเกียวนับล้านให้ไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็ว ตรงเวลา

..


..

เมื่อสังเกตด้านหน้าแล้ว ผมลองมาสังเกตการทำงานด้านหลังบ้าง

ท้ายขบวนรถไฟ มีผู้ควบคุมอีกคนหนึ่ง
ซึ่งหากเป็นขบวนที่ไม่ได้เป็นเสียงอัตโนมัติ พนักงานท้ายขบวน จะเป็นคนประกาศสดๆผ่านไมโครโฟนว่า สถานีถัดไป คือ สถานีอะไร

ที่สำคัญ ก่อนที่เจ้าม้าเหล็กจะเคลื่อนออกไปจากสถานี
พนักงานท้ายขบวนจะตรวจดูความเรียบร้อยทุกครั้ง
ก่อนจะกดสัญญาณให้พนักงานคนขับด้านหน้า ออกเดินทางสู่จุดหมายถัดไป

..

..

เท่าที่ผมสังเกต พบว่า บนชานชลาในแต่ละสถานีนั้น
ไม่มี รปภ. มาคอยเป่านกหวีดปี๊ดๆๆ เหมือนบ้านเรา

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระเบียบวินัยที่เคร่งครัดของชาวญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม มีเจ้าหน้าที่ อยู่ 1 คน ที่คอยมองซ้าย มองขวา เมื่อรถไฟกำลังเคลื่อนตัว
ขณะที่เจ้าหน้าด้านท้ายขบวน ก็จะช่วยตรวจตราอีกแรง

..



..

รถไฟในโตเกียว เปรียบเป็นเส้นเลือดสำคัญที่สุดของการเดินทาง

ระบบต่างๆ ทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย ความครอบคลุมของเส้นทาง ความตรงต่อเวลา ความทันสมัย ล้วนสร้างความประทับใจให้ใครต่อใครมานักต่อนัก
ซึ่งหากไม่ติดเรื่องความแออัดแล้ว ผมยังมองไม่เห็นข้อด้อยอื่นๆ

.

ดังนั้น ไม่ว่าจะไปเรียน ไม่ว่าจะไปทำงาน ไม่ว่าจะไปเที่ยว ไม่ว่าจะนัดใคร

ลองใช้บริการ “รถไฟโตเกียว เฟี้ยวฟ้าวนะเธอ”

..



..

“เติมเต็มความฝัน ที่โตเกียวโดม”

ในเย็นวันหนึ่งที่อุณหภูมิของโตเกียวลดต่ำจนต้องดึงแจ็คเก็ตให้กระชับขึ้น
ผมเลือกไปเดินสูดกลิ่นปลายฝนต้นหนาวที่
Tokyo Dome city


โตเกียว โดม หรือ The Big Egg
เป็นสนามกีฬาขนาดยักษ์ซึ่งจุผู้ชมได้ 55,000 คน

โดยทางการแล้ว ที่นี่เป็นสนามเหย้าของทีม ไจแอนท์
ทีมเบสบอลระดับแนวหน้าของญี่ปุ่น

แต่เจ้าไข่ฟองยักษ์ ก็ใช้เป็นสถานที่จัดแข่งขันมวยสากล รวมทั้งจัดคอนเสิร์ตอยู่บ่อยครั้ง

ส่วนสาเหตุที่บริเวณนั้น ถูกเรียกเป็น Tokyo Dome City
เพราะไม่เพียงแค่เป็นที่ตั้งของสนามกีฬาขนาดยักษ์
แต่ยังรายล้อมไปด้วยโรงแรม ห้างสรรพสินค้า สวนสนุก ร้านค้า ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ

..


..
บรรยากาศยามเย็นย่านโตเกียว โดม ซิตี้ แม้จะมีผู้คนเดินกันพอหนาตา
แต่ก็ไม่ถึงกับเบียดเสียดจนวุ่นวาย

แต่นั่น หมายถึง ในวันนั้นต้องไม่มีการแข่งขัน หรือกิจกรรมใดๆในโตเกียว โดม

..



..

ผมเดินข้ามสะพานเชื่อมต่อ ลงไปเก็บบรรยากาศยามโพล้เพล้บริเวณสวนสนุกติดกับห้าง LaQua

แสงสว่างที่เต็มไปด้วยสีสันจากรอบตัว เพลงจังหวะเบาๆ ที่แว่วลอยมาไกลๆ
สร้างอารมณ์ให้พื้นที่โตเกียว โดม ซิตี้ นั้น เป็นอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งเหมาะแก่การชมบรรยากาศหวานๆยามแห่งค่ำคืน

.
แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นมาเป็นคู่รักหรอกนะครับ
ผมสังเกตเห็นผู้คนที่มาเที่ยวกันนั้น มาเป็นครอบครัวจำนวนไม่น้อย

และหากคุณพ่อ คุณแม่ อยากเติมความฝันให้ลูกๆกับม้าหมุนสีสันสดใส
เตรียมตังค์ไว้ 600 เยนเลยครับ

..


..

เมื่อแหงนมองไปอีกด้าน
จะเห็นจุดขายสำคัญอีกอย่างในโตเกียว โดม ซิตี้ คือ Big - O (Ferris Wheel) และ Thunder Dolphin (Roller Coaster) หรือ ชิงช้าสวรรค์ กับรถไฟเหาะ นั่นแหละ

จุดขายของ Thunder Dolphin นั้น อยู่ที่การออกแบบให้มันวิ่งลอดผ่าน Big – O พุ่งขึ้นจุดสูงที่สุด
ก่อนจะทิ้งดิ่งลงไปด้วยความเร็ว แล้วทะยานไปทะลุผ่านด้านบนของห้าง LaQua อีกที

ไม่ต้องเห็นผี ไม่ต้องมีคอนเสิร์ต ... แต่ที่นี่ ก็มีเสียงกรี๊ดได้เสมอ

..




..

แม้สนนราคาของรถไฟเหาะในโตเกียว โดม ซิตี้ เพียงแค่ 1,000 เยน

แต่ความสูงของมัน อาจพาผู้เล่นไปถึงดวงจันทร์

..


..

ท่ามกลางแสงแห่งดวงจันทร์
มีเสียงขับเคลื่อนของ Thunder Dolphin และเสียงกรีดร้องจากความสนุกสนาน

..

.
ก่อนฟ้าเปลี่ยนสี กลายเป็นความมืด
ผมเดินขึ้นมาเก็บภาพมุมกว้างของท้องถนนโล่งๆแถวนั้นอีกครั้ง

ผมมองดู มุมและระดับของภาพที่อยู่ตรงหน้า
ให้อารมณ์คล้ายกับสะพานลอยข้ามแยกปทุมวันตรงห้างมาบุญครองยังไงยังงั้น

.. แต่ต่างกันที่ ไม่มีรถติดยาวๆ หรือแท็กซี่หลากสีให้เห็น

..



..

ผมย้อนข้ามฟาก กลับไปโตเกียว โดม อีกครั้ง

ความจริงแล้ว ไข่ใบยักษ์ฟองนี้ มีมุมที่สวย และอลังการที่สุด คือ มุมสูงจากเฮลิคอปเตอร์

แต่สำหรับนักท่องเที่ยวธรรมดาๆ แค่มุมมองระดับสายตา ก็พอมีมุมสวยๆให้ดู

..


..

รอบนอกของโตเกียว โดม นั้น มีร้านรวงต่างๆน่าสนใจ
โดยเฉพาะคอเบสบอล ต้องไม่พลาดที่จะมาหาซื้อของที่ระลึก

นอกจากนี้ ภายในบริเวณโตเกียว โดม ยังมีหอเกียรติยศ และพิพิธภัณฑ์เบสบอล
(The Baseball Hall of Fame and Museum)
ราคาเข้าชมเพียง 500 เยน

..


..

หากย้อนอดีตกลับไป ...
โตเกียว โดม เปิดตัวในวันที่ 17 มีนาคม ปี ค.ศ. 1988

ทว่าเหตุการณ์ที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักสนามกีฬาแห่งนี้ ไม่ใช่การแข่งขันเบสบอล
แต่เป็นการจัดการแข่งขันมวยสากล ในวันที่ 21 มีนาคม ปีเดียวกัน

นักกีฬา ที่ทำให้คนทั่วโลก รู้จักโตเกียว โดม
เขาคนนั้น ชื่อ ไมค์ ไทสัน

จากนั้นอีกราว 2 ปี ไมค์ ไทสัน เดินทางมาชกที่โตเกียว โดมอีกครั้ง
... แล้วเขาก็พบกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกในชีวิต

.

ในพื้นที่โตเกียว โดม ยังมีสังเวียนขนาดย่อม คือ Korakuen Hall
ซึ่งใช้เป็นสนามแข่งขันมวยสากล มวยปล้ำ และศิลปะการต่อสู้

จึงไม่แปลก หากเดินเล่นแถวนั้น แล้วจะไปเจอนักมวยกำลังซ้อมล่อเป้า ชกลม

..



..

คงเดาไม่ยาก ว่าความใฝ่ฝันของนักมวย ที่ โตเกียว โดม คนนั้น คือ อะไร


แม้ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นนักมวยที่เก่งแค่ไหน มีฝีมือดีพอที่จะก้าวไปสู่ระดับแชมป์หรือเปล่า


แต่ผมเชื่อว่า หากไม่ละทิ้งความฝัน สักวันนักมวยคนนั้นจะต้องประสบความสำเร็จ

.
.
.

เพราะอย่างที่เกริ่นนำไว้ “ความฝัน กับ ความจริง เชื่อมโยงถึงกันได้”

ไม่ต่างจากความฝันของผม ที่เชื่อมโยงมาสู่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า


... ผมกำลังเดินอยู่บนโลกแห่งความจริง ในเมืองที่เรียกว่า

“โตเกียว”



.
.

-โปรดติดตาม ตอนต่อไป-

..



Create Date : 08 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 15 มิถุนายน 2554 12:39:25 น. 9 comments
Counter : 7607 Pageviews.  

 
เป็นอะไรที่อ่านแล้วรู้สึกดีมากค่ะ


โดย: namemaru วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:41:00 น.  

 
โตเกียว เป็นเมืองที่มีเสน่ห์จริงๆ
อยากจะอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่นานๆ จะติดตามตอนต่อไปนะคะ


โดย: faisai วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:54:05 น.  

 
สักวัน...จะตัดเส้นความฝัน ด้วยความพยายามของตนเองบ้าง


โดย: ชนชั้นสูง IP: 192.168.46.26, 203.158.4.112 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:0:30:09 น.  

 
อยากไปบ้างจังครับ


โดย: เบียร์คุง IP: 125.24.14.211 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:8:44:53 น.  

 
add favorites ไว้แล้ว เดี๋ยวจะมาอ่านต่อ
เขียนได้ดีมากๆ เลย อ่านเพลินดีค่ะ




โดย: nongfufu IP: 118.172.154.53 วันที่: 31 ธันวาคม 2552 เวลา:0:30:03 น.  

 
กิ๊ฟ (เกาะลันตา) เอง พี่ป๊อก
ไปโตเกียวมาตอนไหนเนี้ยะ ไม่บอกกันบ้าง
จะฝากซื้อของ 555



โดย: กิ๊ฟ IP: 118.173.229.162 วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:46:31 น.  

 
รูปสวยมากค่ะ
แสงเงา ชัดลึก ได้อารมณ์เมืองใหญ่อย่างโตเกียวดีจริงๆ
บางรูปแทบไม่ต้องการคำอธิบาย

ต้องนับเป็นสารคดีเล่าเรื่องแล้วสินะ ไม่ใช่รีวิวท่องเที่ยว :)


โดย: ตี้ IP: 125.24.178.127 วันที่: 10 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:34:14 น.  

 
ขอบคุณมากๆๆเลยคะ มีประโยชน์มากๆๆ


โดย: dara IP: 223.206.235.106 วันที่: 26 กันยายน 2554 เวลา:11:57:38 น.  

 
ตัวหนังสือของเจ้าของบ้านนี้ มีเสน่ห์มากมาย ^^

เป็นทริปที่อยากไปดีใจที่ได้แวะเข้ามาอ่านนะคะ


โดย: เต่ามะเฟืองโกอินเตอร์ IP: 82.156.28.201 วันที่: 18 มกราคม 2555 เวลา:4:45:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

POGGHI
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




..

บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้
สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร


POGGHI

..
[Add POGGHI's blog to your web]