Group Blog
 
All Blogs
 
ทบทวนสามก๊ก (๑๗)

คุณป้ากุ๊กไก่ ขอดู หน้า ๙๐๐ เล่ม ๒





สามก๊กฉบับอัศวิน

ชุดที่ ๔ สองเสือแซ่เตียว

ตอนที่ ๓ ผู้รักษาหน้าที่ด้วยชีวิต

เล่าเซี่ยงชุน

เตียวเลี้ยวได้รับราชการเป็นนายทหารอยู่ในกองทัพของโจโฉ อย่าง ธรรมดา โดยไม่มีชื่อเสียง ในความเก่งกล้าสามารถแต่ประการใด ต่อมาอีก เป็นเวลา ประมาณสิบกว่าปี จึงเกิดสงครามใหญ่ระหว่างโจโฉกับ ซุนกวน ที่ตำบลเซ็กเพ็กริมทะเลเมืองกังตั๋งทางภาคใต้ โจโฉยกทหารไปคราวนี้เป็นจำนวนถึงแปดสิบหมื่น ทางกองทัพบก ตั้งค่ายเรียงรายติดต่อกันไปถึงสามพันค่าย ส่วนกองทัพเรือมีจำนวนเรือรบนับพันลำ เตียวเลี้ยวนั้นอยู่ในกองทัพบก ได้ตำแหน่งเป็นสารวัตรใหญ่ คอยตรวจตราทหารทั้งกองทัพ

ในการรบครั้งนั้นโจโฉแพ้ความคิดของ จิวยี่ ซึ่งใช้ บังทอง ผู้เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับ ขงเบ้ง ออกอุบายให้โจโฉผูกล่ามเรือใหญ่เข้าด้วยกันเป็นแพ แล้ว ให้ อุยกาย เป็นไส้ศึกนำเรือเชื้อเพลิงยี่สิบลำ ทำเป็นเรือเสบียงเข้าไปเป็นพวกโจโฉ

ขณะนั้นเกิดลมสลาตัน พัดจากด้านกองทัพเมืองกังตั๋งไปยังกองทัพเรือของโจโฉ เทียหยกทหารเอกของโจโฉเห็นขบวนเรือของอุยกายเบาผิดปกติ จึงบอกให้โจโฉห้ามเรือไว้ก่อน อย่าเข้ามาใกล้ โจโฉให้ บุนเพ่ง ทหารเอกอีกคนหนึ่ง นำทหารลงเรือเร็วไปห้าม ก็ถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ที่ไหล่ขวาล้มลง แล้วอุยกายก็จุดเพลิงบนเรือ ชักใบแล่นตามลมเข้าปะทะกับขบวนเรือของโจโฉ เกิดเพลิงไหม้ขึ้นอย่างหนัก ทหารที่อยู่บนเรือก็วิ่งวุ่นดับไฟ แต่ลมพัดแรงมากไม่สามารถจะดับได้ ทั้งเรือก็ถูกตรึงไว้ด้วยโซ่และสายยูมั่นคง ไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ ไฟจึงไหม้ลุกลามไปทั้งกองทัพ

เตียวเลี้ยวรีบเอาเรือมารับโจโฉหนีไปขึ้นบก อุยกายแลเห็นก็แจวเรือตาม เตียวเลี้ยวจึงขึ้นเกาทัณฑ์ยิงถูกอุยกายตกน้ำไป

เมื่อขึ้นบกแล้วปรากฏว่า ค่ายทหารบกก็ถูกข้าศึกเผา และถูกตีแตกแล้ว เช่นเดียวกันกับทัพเรือ โจโฉกับเตียวเลี้ยวจึงพาทหารประมาณร้อยเศษ หนีซอกซอนไป ให้พ้นข้าศึก แต่เมื่อผ่านตำบลต่าง ๆ ถึงห้าตำบล ก็ถูกทหารของข้าศึกทั้งของซุนกวนและเล่าปี่ ดักโจมตีอยู่ตลอดทาง จนสุดท้ายถึงตำบลฮัวหยงจึงพบกับ กวนอู โจโฉหมดหนทางที่จะหนี จึงเจรจาออดอ้อน จนกวนอูยอมปล่อยให้ผ่านไปได้ ด้วยความกตัญญูรู้คุณที่โจโฉได้เลี้ยงดูมาเมื่อครั้งพลัดพรากจากเล่าปี่ และได้ให้สัจวาจาไว้ โจโฉจึงรอดชีวิตมาตั้งหลักได้ที่เมืองลำกุ๋นซึ่ง โจหยิน ทหารเอกที่เป็นญาติของโจโฉรักษาอยู่

โจโฉจึงให้โจหยินรักษาเมืองเกงจิ๋วและลำกุ๋นไว้ให้ดีและให้ แฮหัวตุ้น รักษาเมืองซงหยง ให้เตียวเลี้ยวเป็นเจ้าเมืองหับป๋า มี ลิเตียน กับ งักจิ้น เป็นปลัด

หลังจากโจโฉแตกทัพกลับไปเมืองฮูโต๋แล้ว จิวยี่ก็ยกทหารตามมาจะตี เมืองลำกุ๋น เมืองซงหยง และเมืองเกงจิ๋ว แต่ก็ถูกอุบายของขงเบ้งยึดเอาเมืองทั้งสามไว้ได้ก่อนทุกครั้ง จนจิวยี่ช้ำใจหนักล้มป่วยลง ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองสฉองกุ๋น ปากน้ำเมืองกังตั๋ง

ฝ่ายซุนกวนก็ยกกองทัพไปตีเมืองหับป๋าอยู่เป็นเวลานาน ได้เข้ารบกับเตียวเลี้ยวถึงสิบกว่าครั้ง ก็ยังไม่แพ้ชนะกัน จึงถอยทัพออกมาตั้งห่างกำแพงเมืองห้าร้อยเส้น และส่งข่าวให้จิวยี่ยกทหารมาช่วย จิวยี่จึงให้ เทียเภา ทหารเอก กับ โลซกซึ่งเป็นที่ปรึกษา ยกทัพมาหนุนซุนกวนที่เมืองหับป๋า พอเตียวเลี้ยวรู้ข่าวก็ใช้ทหารถือหนังสือมาให้ซุนกวนมีใจความว่า เมื่อได้ทหารเพิ่มเติมมากขึ้นแล้ว ก็ให้ยกมารบกันเถิด

ซุนกวนก็โกรธจึงตอบไปว่า พรุ่งนี้จะไม่เอาทหารที่มาใหม่เลย จะใช้แต่ทหารพวกเก่าออกไปรบกับเตียวเลี้ยว ให้สิ้นฝีมือสักครั้งหนึ่ง

พอถึงเวลาสามยามเศษ ซุนกวนก็จัดแจงพาทหารออกจากค่ายกะว่าจะกินอาหารเช้ากลางทาง พอดีเจอกองทัพของเตียวเลี้ยวซึ่งยกมาแต่ดึกเหมือนกัน เลยไม่ต้องเจี๊ยะปึ้งเจี๊ยะม้วยกันทั้งสองฝ่าย เตียวเลี้ยวก็รำทวนออกมาท้าทายซุนกวนให้รบ ไทสูจู้ ทหารเอกของซุนกวนก็ออกมารบแทน ฟาดฟันกันได้ถึงแปดสิบเพลง ก็ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ ซุนกวนดูนายทหารเอกที่มีฝีมือรบ กันจนเพลินไปไม่ทันระวังตัว งักจิ้นก็ควบม้าเงื้อดาบเขาไปจะฟันซุนกวนซึ่งกำลังเผลอ ทหารองครักษ์ของซุนกวนชื่อ ซงเขียม กับแกหัว ก็ช่วยกันเอาทวนขึ้นรับดาบ ทวนทั้งสองเล่มก็หักเหลือแต่ด้าม ทั้งสองก็ใช้ด้ามทวนรุมตีงักจิ้นจนต้องถอยหนี ซงเขียมคว้าทวนจากมือทหารที่อยู่ใกล้ ควบม้าไล่ตามงักจิ้นไป ลิเตียนจึงยิงเกาทัณฑ์ถูกอกซงเขียมตกม้าตาย

ไทสูจู้ก็ตกใจละจากเตียวเลี้ยวควบม้าหนี เตียวเลี้ยวขับทหารไล่ตามรบพุ่งติดพันเข้าไปในกองทัพของซุนกวน จนแตกกระเจิงไป เตียวเลี้ยวก็ควบม้าไล่ตาม ซุนกวน จนเจอเทียเภาซึ่งคุมทหารใหม่จากค่ายออกมารบสกัดกั้นไว้ทันท่วงที ซุนกวนจึงรอดกลับเข้าค่ายไปได้

ที่ปรึกษาของซุนกวนจึงว่า

"....ซึ่งเหตุทั้งนี้เพราะท่านทะนงตัวดูหมิ่นแก่ข้าศึก มิได้รักษาตัว อันประเพณีการสงคราม ควรจะให้ทหารซึ่งมีฝีมือออกรบพุ่งให้สามารถก่อน อันแม่ทัพจะยกออกรบก่อนนั้นไม่ควร ตัวท่านเป็นใหญ่ไม่พิเคราะห์ดู ว่าควรและมิควร ออกสู้รบกับเตียวเลี้ยวอันเป็นแต่นายทหาร จึงได้รับความอัปยศเสียทหารเอกฉะนี้...."

ซุนกวนก็ยอมรับว่าตนผิดเอง ไทสูจู้ก็มาอาสาว่า จะขอยกทหารไปทำการแก้แค้นแทนซงเขียม โดยได้ส่ง โกเตง ลิ่วล้อของตนปลอมเป็นทหารของเตียวเลี้ยว ไปร่วมมือกับญาติชื่อ อาวโจ ซึ่งเป็นคนเลี้ยงม้าของเตียวเลี้ยวในเมืองแล้ว ซุนกวนก็จัดทหารให้ไทสูจู้พันหนึ่งยกออกไปทำการ แม้จะมีผู้คัดค้านว่าเตียวเลี้ยวมีสติปัญญา ทั้งมีฝีมือเข้มแข็ง เห็นจะไม่ประมาท ควรจะคิดอ่านตรึกตรองให้ดี อย่าเพิ่งดูหมิ่นเตียวเลี้ยว ไทสูจู้ก็ไม่ตอบโต้ คงเร่งดำเนินการไปตามแผนที่ได้วางไว้

ฝ่ายเตียวเลี้ยวเมื่อมีชัยชนะแก่ข้าศึกกลับเข้าเมือง ก็มิได้ประมาท ถึงเวลาค่ำจัดการเลี้ยงดูทหารทั้งปวงฉลองกันพอแล้ว ก็สั่งให้คิดอ่านป้องกันรักษาตัวจงหนัก ให้ใส่เกราะนอนทุกคน ทหารทั้งหลายก็ว่า เราได้ตีทัพซุนกวนแตกหนีไปแล้วจะให้ระวังรักษาตัวด้วยเหตุใด เตียวเลี้ยวจึงว่า

"...อันธรรมดาผู้เป็นนายทัพนายกองจะทำการสงคราม ถ้าแพ้ก็อย่าเพ่อเสียใจ แม้ได้ชัยชนะก็อย่าเพ่อทะนง เวลาวันนี้เราได้ชัยชนะแก่ซุนกวนก่อน ครั้นประมาทเกลือกซุนกวนมีใจเจ็บแค้น คิดเห็นว่าเราเลินเล่อ ยกทหารมาโจมตี เรามิขัดสนเสียหรือ เราจึงบังคับท่านทั้งปวงด้วยเหตุฉะนี้....."

ขณะที่เตียวเลี้ยวพูดกับทหารอยู่นั้น โกเตงกับอาวโจก็จุดกองฟางให้ไฟ ลุกสว่างขึ้น แล้วร้องว่าข้าศึกเข้าเมืองได้แล้ว พลเมืองก็แตกตื่นวุ่นวาย เตียวเลี้ยวก็ขึ้นม้าพาทหารสี่คนออกมายืนขวางทาง กำชับทหารทั้งหลายว่า มันแกล้งทำทั้งนี้หวังจะให้คนทั้งปวงตกใจ ผู้ใดวุ่นวายจะตัดศีรษะเสีย แล้วให้ทหารช่วยกันจับตัวคนที่เป็นต้นเหตุให้ได้ พอเวลาประมาณทุ่มครึ่ง ลิเตียนก็จับตัวโกเตงกับอาวโจมาได้ เตียวเลี้ยวซักถามแจ้งในเนื้อความแล้วก็ให้เอาตัวไปฆ่าเสีย

ขณะนั้นภายนอกกำแพงเมือง ก็มีทหารตีม้าล่อฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึงอยู่เตียวเลี้ยวจึงบอกกับทหารทั้งปวงว่า กองทัพของซุนกวนยกมาคอยทำการ ตามที่ตกลงกับโกเตงแล้ว จึงให้ทหารจุดเพลิงให้มากขึ้นอีก แล้วเปิดประตูให้ข้าศึกเข้าเมือง ไทสูจู้ก็นึกว่าไส้ศึกของตนทำการสำเร็จแล้ว จึงควบม้านำทหารเข้าไปในเมือง เตียวเลี้ยวก็สั่งให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์ทั้งสองข้างทาง ถูกไทสูจู้หลายแห่งต้องชักม้าหันหลังกลับ ข้างเตียวเลี้ยวก็ให้งักจิ้นไล่ตามไทสูจู้ออกจากเมือง ไปจนถึงหน้าค่ายของซุนกวน และฆ่าฟันทหารข้าศึกตายเป็นอันมาก จนนายทหารในค่ายต้องออกมาสกัดกั้นไว้ แล้วพาไทสูจู้เข้าไปในค่ายได้ แต่ก็ป่วยอาการหนักอยู่

ซุนกวนจึงยกกองทัพลงเรือถอยกลับไปยังเมืองลำซี พอถึงเมืองไทสูจู้ก็สิ้นใจตาย

จากการสงครามครั้งนั้นแล้ว เตียวเลี้ยวก็ได้ปกครองเมืองหับป๋าต่อมาอีกประมาณเจ็ดปี ซุนกวนยกทัพไปตีเมืองอ้วนเสีย จูก๋ง ผู้รักษาเมืองรีบแจ้งเตียวเลี้ยวให้ยกทหารไปช่วย แต่ไม่ทันการเมื่อมาถึงซุนกวนตีเมืองอ้วนเสียได้แล้ว จูก๋งก็ตายคากำแพงเมือง จึงยกทหารกลับมารักษาเมืองหับป๋าไว้

ซุนกวนก็ยกกองทัพเลยมาตีเมืองหับป๋าอีกครั้ง เตียวเลี้ยวก็กะเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาเชิงเทินไว้ให้มั่นคง ก็พอดีทหารได้นำเอาหนังสือของโจโฉมาให้ มีความว่าถ้าซุนกวนยกมาตีเมือง ก็ให้เตียวเลี้ยวกับ ลิเตียนคุมทหารออกสู้รบด้วยซุนกวน ให้งักจิ้นอยู่รักษาเมือง

เตียวเลี้ยวก็ชวนลิเตียนออกรบกับซุนกวน งักจิ้นก็ท้วงว่าซุนกวนยกมาคราวนี้มีทหารเป็นอันมาก เมืองเรามีทหารน้อยชอบจะรักษาเมืองไว้ดีกว่า อย่าให้ข้าศึกเข้าเมืองได้ เตียวเลี้ยวก็ว่าถ้าทำอย่างนั้นก็จะขัดกับคำสั่งของโจโฉ

"....ผู้ใดจะอยู่ก็ตามเถิด แต่เราผู้เดียวจะคุมทหารออกไปทำสงครามด้วยซุนกวน...."

ลิเตียนกับงักจิ้นจึงว่า

"....ถ้าฉะนั้นตัวเราร่วมทุกข์ร่วมสุข ผิดชอบด้วยกัน จะขอออกไปด้วย ให้แต่ทหารอยู่รักษาเมืองไว้...."

เตียวเลี้ยวก็ให้ลิเตียนคุมทหาร อ้อมไปทำลายสะพานเสียวเกียวทางทิศใต้ ในเวลาสามยาม แล้วนำทหารกลับมาซุ่มอยู่ พอรุ่งเช้าเตียวเลี้ยวก็ให้งักจิ้นคุมพล ออกไปเป็นกองล่อ ตนเองซุ่มทหารไว้คอยโจมตี พอซุนกวนกับทหารเอกสามคน ยกทหารล่วงเข้ามา งักจิ้นก็เข้ารบได้สิบเพลง แล้วก็ถอยไปทางที่เตียวเลี้ยวซุ่มอยู่ แต่รีบควบม้าหนีไปในทางแยก ซุนกวนตามมาถึงก็ถูกเตียวเลี้ยวกับลิเตียน เข้าตีกระหนาบทางด้านข้าง ฆ่าฟันทหารเมืองกังตั๋งล้มตายแตกตื่นไป

ซุนกวนเหลือทหารเพียงสามร้อยก็ถอยไปทางสะพานเสียวเกียว เตียวเลี้ยวก็ไล่ติดตามไป ซุนกวนขับม้าขึ้นสะพานไปแล้ว จึงเห็นว่าเชิงสะพานฟากโน้นขาดอยู่ประมาณเก้าศอกสิบศอก จะไปก็ไม่ได้จะถอยก็ไม่ได้ ทหารของเตียวเลี้ยวไล่หลังมาใกล้แล้ว ทหารคนหนึ่งจึงแนะให้ถอยม้าไปถึงกลางสะพาน แล้วควบเต็มที่ โจนข้ามสะพานที่ขาดไปถึงแผ่นดิน แล้วจึงลงเรือพวกเดียวกันหนีรอดไปได้อีก

ส่วนทหารเอกทั้งสามคน ก็พยายามสู้รบทั้ง เตียวเลี้ยว ลิเตียน และงักจิ้น เป็นสามารถ แต่ก็ต้านทานไม่ไหว บ้างก็ต้องอาวุธหลายแผล จนเหลือทหารเพียงสิบสี่สิบห้าคน ต่างก็ทิ้งม้าโจนลงน้ำว่ายหนีไปขึ้นเรือของซุนกวน แล้วพาทหารที่เหลือหนีไปทางปากน้ำญี่สูแดนเมืองกังตั๋ง

การรบครั้งนี้ท่านว่าได้ทำให้ทหาร และชาวเมืองกังตั๋ง กลัวฝีมือของเตียวเลี้ยวเป็นอันมาก ถ้าเด็กเล็กร้องไห้ มีผู้ขู่ออกชื่อเตียวเลี้ยวเด็กก็จะเงียบด้วยความกลัวทีเดียว

เตียวเลี้ยวได้ชัยชนะแล้ว ก็มิได้นิ่งนอนใจ มีหนังสือไปบอกโจโฉให้ยกมาคอยช่วยป้องกันเมืองหับป๋า โจโฉก็ยกกองทัพมีกำลังสี่สิบหมื่น มาตั้งอยู่ที่ชายแดนเมืองกังตั๋ง กะว่าจะพิชิตศึกกับซุนกวนให้เด็ดขาดไป แต่รบกันอยู่หลายยก โดยมี เตียวเลี้ยว ลิเตียนและงักจิ้น เป็นกองหน้าคอยร้องด่าท้าทาย และเข้ารบก่อนทุกคราว เป็นเวลาถึงเดือนเศษ ก็ยังไม่รู้แพ้ชนะได้อย่างเด็ดขาด

ที่ปรึกษาของซุนกวนจึงแนะนำว่า โจโฉนั้นชำนาญการสงครามมากเห็น จะเอาชนะไม่ได้ อันจะตั้งรบกันไปฉะนี้ ทหารเราก็จะยิ่งตายลงอีก ควรจะแต่งทหารไป ขออ่อนน้อมต่อโจโฉ ถึงกำหนดก็แต่งเครื่องบรรณาการไปคำนับตามธรรมเนียม ซุนกวนก็เห็นด้วย จึงจัดขุนนางผู้ใหญ่ออกไปเจรจา โจโฉก็ตกลงแต่เกี่ยงให้ซุนกวนถอยทัพไปก่อน แล้วโจโฉก็เลิกทัพกลับเมืองฮูโต๋ และให้เตียวเลี้ยวอยู่รักษาเมื่อหับป๋าต่อไปตามเดิม

ต่อมาอีกหนึ่งปี พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้แต่งตั้ง ให้โจโฉเป็น เจ้าวุยอ๋อง มีเกียรติยศเทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน แต่อยู่ในตำแหน่งได้เพียงสี่ปี โจโฉผู้ยิ่งใหญ่ก็เสียชีวิตด้วยโรคปวดศีรษะเรื้อรัง เมื่ออายุได้หกสิบหกปี เตียวเลี้ยวก็ยังคงเป็นเจ้าเมืองชายแดนอยู่ตามเดิม

ปีต่อมาโจผี บุตรชายคนโตของโจโฉ ซึ่งได้เป็นมหาอุปราชแทนบิดาก็ยึดอำนาจการปกครอง บีบบังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้มอบราชสมบัติให้ แล้วก็เนรเทศไปอยู่ที่ตำบลซินเอี๋ยงจนสิ้นพระชนม์ เตียวเลี้ยวก็รับราชการกับพระเจ้าโจผีต่อไปอีกประมาณสี่ห้าปี พระเจัาโจผีจึงยกทัพใหญ่ไปตีเมืองกังตั๋งอีกครั้ง โดยมีเรือรบใหญ่บรรทุกทหารได้สองพันคนจำนวนสิบลำ เรือรบเบาสามพันลำ กำลังพลทั้งสิ้นสามสิบหมื่น ให้ โจจิ๋น เป็นแม่ทัพหน้า เตียวเลี้ยว เตียวคับ บุนเพ่ง ซิหลง เป็นกองสอดแนม

กองทัพเรือของพระเจ้าโจผี มาถึงปากแม่น้ำใหญ่ ก็เกิดลมพายุพัดหนักเกิดคลื่นใหญ่ซัดกระหน่ำ เรือแตกล่มไปประมาณสามสิบลำ จึงต้องถอยเข้ากำบังลม กองทัพเรือของกังตั๋งก็ติดตามโจมตี จนต้องยกพลขึ้นบก และเผาเรือทิ้ง ซุนเสียว หลานของซุนกวน ก็ยกทัพบกของเมืองกังตั๋งเข้าโจมตีซ้ำอีก ทหารของพระเจ้าโจผีก็ถูกฆ่าตายบ้าง ตกน้ำตายบ้างสูญเสียไปเป็นอันมาก

พระเจ้าโจผีก็พาทหารแตกหนีไป ซุนเสียวก็ไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิด เตงฮอง ทหารเอกของซุนกวนก็เข้ามาสมทบ เตียวเลี้ยวซึ่งระวังรักษาพระเจ้าโจผีอยู่ ก็ขับม้าเข้ามารบป้องกันเจ้านาย จึงถูกเตงฮองยิงด้วยเกาทัณฑ์ถูกบั้นเอว ซิหลงต้องเข้ามาช่วยกัน รบพลางถอยพลาง จนพาพระเจ้าโจผีหนีพ้นข้าศึกมาได้ แต่เตียวเลี้ยวก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ถึงแก่ความตายไป

ชีวิตของเตียวเลี้ยว จึงเป็นตัวอย่างของลิ่วล้อชั้นดี ซึ่งเป็นเพียงนายทหารธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรเด่นดังอย่างโลดโผนพิศดาร มีแต่ความซื่อสัตย์ จงรักภักดี มีวินัย ปฏิบัติตามคำสั่งและรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างเคร่งครัด ตราบตั้งแต่ต้นเมื่อได้มาอยู่กับโจโฉ จนถึงวาระสุดท้ายรวมเวลาประมาณสามสิบปี

แม้จะมิได้รับบำเหน็จความชอบเลื่อนยศตำแหน่งสูงขึ้นไปเท่าใดนัก แต่ก็ได้ตายในท่ามกลางสมรภูมิ เยี่ยงชายชาติทหาร ด้วยการกระทำหน้าที่ ปกป้องรักษาชีวิตเจ้านายของตนไว้ อย่างสมเกียรติของนายทหารรักษาพระองค์ ที่น่าสรรเสริญยิ่ง.

##########



Create Date : 23 เมษายน 2559
Last Update : 23 เมษายน 2559 8:58:31 น. 1 comments
Counter : 725 Pageviews.

 
คนอย่างเตียวเลี้ยว เดี๋ยวนี้จะยังมีตัวตนอยู่บ้างไหม


เป็นคนที่ยึดถือหน้าที่ยิ่งกว่าสิ่งใด


โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 25 เมษายน 2559 เวลา:19:54:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.