Group Blog
 
All Blogs
 
ก่อนจะถึงพรุ่งนี้



เรื่องสั้น

ก่อนจะถึงพรุ่งนี้

เพทาย


สมหวัง ยืนมองกลุ่มชนที่นั่งบ้างยืนบ้าง หน้าเวทีในท้องสนามหลวงด้านเหนือ ซึ่งหันหลังให้สำนักงานสลากกินแบ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่ แทนอาคารหลังเก่า และตึกของกรมประชาสัมพันธ์ ที่ถูกเผาไปหมดแล้วตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน หันหน้าเวทีมาทางพระบรมมหาราชวัง

แม้จะมีผู้ฟังกระจายออกมาไม่ถึงถนนที่ผ่านพาดกลางสนามหลวง แต่ดูด้วยตาก็นับว่ามากมายพอใช้

เขายืนอยู่ใต้ต้นมะขามรุ่นใหม่ที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งเป็นระยะทางไม่ห่างไกลนัก พอได้ยินเสียงจากเครื่องขยายและลำโพงชั้นดี ที่ติดตั้งอยู่ข้างขอบสนาม

ฝูงชนทั้งหลายเหล่านั้นทุกคน ต่างจ้องมองขึ้นไปบนเวที ซึ่งมีผู้นำการชุมนุมนั่งเก้าอี้อยู่ด้านผนังด้านหลังของเวทีเป็นแถวยาว และมีอยู่คนหนึ่งที่ยืนพูดอยู่หน้าไมโครโฟนบนโต๊ะสูงติดขอบหน้าสุดของเวที

สมหวังยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานพอสมควร เขาจับใจความได้ว่าผู้พูดกำลังโน้มน้าวผู้ฟังให้เกลียดชังบุคคลคนหนึ่ง และเมื่อถึงเวลาที่นัดกันไว้ ก็จะออกเดินขบวนไปยังบ้านของใครคนนั้น

เสียงของผู้พูดเร่งเร้ารุนแรง ทำให้เหล่าผู้ฟังมีการตบมือและโห่ร้องสนับสนุน เป็นระยะ

เวลาที่กำหนดนั้นยังอยู่อีกนานพอควร

เขากำลังพลิกฟื้นความจำ ว่าเขาเคยเห็นภาพเหล่านี้นานสักกี่ปีมาแล้ว

.......................

“เสี้ยวเดียวครับ.....พรุ่งนี้รวย”

เด็กชายวัยประถมเดินร้องตระโกนออกไปซ้ำ ๆ ซาก ๆ แก่ผู้ที่เดินบ้าง ยืนบ้าง อยู่แถวบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ริมถนนเจริญกรุง หลายคนเหลียวมามอง แต่แล้วก็ไม่สนใจใยดี มีบางคนชำเลืองดูเลขท้ายอย่างเสียไม่ได้ แต่ส่วนมากมักจะสั่นศีรษะ เมื่อเขายัดเยียดล็อตเตอรี่ครึ่งใบสุดท้ายของเขาเข้าไปใกล้ ๆ

สมหวังเดินตระเวนร้องตะโกนแบบนี้มาเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรแล้ว ตั้งแต่สะพานพุทธยอดฟ้า ไปบางรัก สีลม จนกระทั่งย้อนกลับมาถึงโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงอีก

ตั้งแต่ล็อตเตอรี่ยี่สิบใบเต็ม ๆ จนเหลือเสี้ยวสุดท้าย ตั้งแต่โรงเรียนเลิกตอนเที่ยง จนกระทั่งเย็นเกือบค่ำอย่างในขณะนั้น แต่เจ้าใบสุดท้ายนี่ช่างขายยากขายเย็นเสียจริง ๆ แล้วเมื่อไรเขาจะได้กลับบ้าน

เขาคิดอยู่ในใจด้วยความรู้สึกที่ท้อแท้

ที่บ้านซึ่งมีแต่แม่ผู้แก่ชรา และเป็นวัณโรค โรคร้ายซึ่งดูเหมือนไม่มีทางรักษา ถึงจะมียาที่พอจะชลอ อาการให้ชีวิตยืดยาวต่อไป แต่ก็มีราคาแพงเกินกว่าที่เขาจะมีเงินซื้อได้ เขาจึงต้องเอาเวลาหลังจากเรียนหนังสือช่วงเช้า มาขายล็อตเตอรี่ซึ่งพอจะมีกำไรเป็นค่าอาหารในแต่ละวันเท่านั้น

“เสี้ยวเดียว.......พรุ่งนี้ออก..............พรุ่งนี้รวย”

สมหวังร้องตะโกนต่อไป ผู้คนแถวหน้าโรงภาพยนตร์นั้นชักจะบางตาลง เพราะหนังเริ่มฉายรอบใหม่แล้ว คนที่ยืนคอยก็หายเข้าไปในโรงหมด คนที่เพิ่งออกมาจากรอบที่แล้ว ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

เขาเดินข้ามถนนเข้าไปในตลาดขายอาหาร คิดในใจว่ายังไงก็จะต้องยัดเยียดเจ้าเสี้ยวสุดท้ายนี้ไปให้ได้

แต่เขาก็ต้องผิดหวัง ไม่มีใครต้องการโชคลาภที่เขาเสนอให้เลย

เขาออกจากตลาดแห่งนั้นเดินเรื่อยเปื่อยไปตามถนน แต่เบื่อที่จะร้องจะโกนเสียแล้ว จนกระทั่งมาถึง แม่พระธรณีบีบผมมวยหัวมุมถนนข้างกระทรวงยุติธรรม

ซึ่งฝั่งตรงข้ามคลองหลอด ก็คือโรงแรมรัตนโกสินทร์ และกรมประชาสัมพันธ์ที่มีหน้าตาเหมือนตึกที่เป็นห้างฝรั่งเก่าแก่

เขาจึงแวะเข้าไปวักน้ำประปาที่ไหลออกมาจากมวยผม ในอ่างด้านล่าง ขึ้นลูบหน้าลูบตา และดื่มเสียสองสามอึกด้วยความหิว เขาคิดถึงแม่ และอยากจะกลับบ้านเต็มที แต่ก็ยังเสียดายโอกาสที่จะได้เงินอีกเล็กน้อย จากล็อตเตอรี่เสี้ยวสุดท้ายในกระเป๋ากางเกง

เขาร้องประโยคเดิม ๆ เมื่อเห็นมีคนเดินผ่านไปมา บริเวณนั้นคือที่ซึ่งจะมีตลาดนัดในเช้าวันพรุ่งนี้ วันนี้เป็นวันเสาร์ พ่อค้าแม่ค้าจำพวกขายต้นไม้ดอกไม้และเครื่องประกอบในการปลูกต้นไม้ ต่างขนของมาวางเรียงรายเป็นแถวไป ตลอดฝั่งคลองอันยาวเหยียด เพื่อจะได้ตื่นขึ้นขายแต่เช้ามืด

ขณะนั้นเวลากำลังจะค่ำ แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลับหายไปแล้ว ไฟตามเสาข้างถนนเริ่มเปิดขึ้นประปราย สมหวังตัดสินใจที่จะกลับบ้าน ซึ่งจะต้องเดินเลาะสนามหลวงไปทางด้านทิศเหนือ

เขามองไปในบริเวณนั้น เห็นมีคนมากมายล้มหลามนั่งบ้างยืนบ้างสนใจฟัง ผู้ที่ยืนอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งกำลังพูดกรอกลงไปในไมโครโฟนที่ตั้งตรงหน้า เขากำลังด่าใครสักคนหนึ่งด้วยถ้อยคำที่แข็งกร้าวด้วยหน้าตาและออกท่าทางเหมือนอย่างจะกินเลือดกินเนื้อใครคนนั้น ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ฟังมากมายที่อยู่ตรงหน้า จึงมีเสียงเฮฮาโห่ร้องสลับอยู่เป็นระยะ

สมหวังยัดล็อตเตอรี่เสี้ยวนั้นใส่กระเป๋ากางเกง แล้วตัดใจก้าวเท้ามุ่งหน้าจะกลับบ้าน ในตรอกแคบ ๆ ย่านบางลำพู

พลันก็มีเสียงดัง บึม....เหมือนเสียงระเบิดที่เคยได้ยินในสมัยสงคราม แม้จะไม่ดังเท่านั้น แต่ก็ทำให้คนที่อยู่กลางสนามหลวงแตกฮือขึ้นมาทางทิศเหนือ ราวกับฝูงผึ้งแตกรัง

และก่อนที่เขาจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ฝูงชนนั้นก็บ่าออกมาจากแนวต้นมะขามวิ่งผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว บางคนกระแทกสมหวังล้มคว่ำลง แล้วคนชนก็ล้มคว่ำทับร่างของเขาจนจุก

แต่เขาไม่รอช้ารีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเตลิด ปะปนไปกับฝูงชนที่ผ่านเขาไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่คิดชีวิต

ในขณะนั้นดูเหมือนไม่มีใครสนใจใยดีกับอะไรอีกแล้ว นอกจากตนเอง ใครแข็งแรงจึงจะอยู่ได้ ใครอ่อนแอล้มลงหมายถึงถูกเหยียบไม่ตายก็คางเหลือง ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กสิบกว่าขวบอย่างเขา

สมหวังรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเศษผงชิ้นเล็ก ๆ ที่ปลิวไปตามแรงลมพายุอย่างเปะปะ จนในที่สุดก็มาถึงริมฝั่งคลองหลอดตรงสะพานเสี้ยวที่มีรางรถรางข้าม และไม่สามารถจะหยุดได้เพราะแรงดันที่มาจากข้างหลัง เขาและอีกหลายคนจึงหล่นลงไปในน้ำ

สมหวังคลานขึ้นมาจากลำคลองที่มีน้ำไม่ลึกนัก เมื่อเสียงอื้ออึงห่างหายไปแล้ว ก่อนอื่นเขารีบล้วงกระเป๋ากางเกง ควานหาเงินค่าลอตเตอรี่ เคราะห์ยังดีที่อยู่ครบถ้วนทั้งเสี้ยวสุดท้ายนั้นด้วย แม้จะเปียกปอนไปหมด เมื่อเดินเข้าตรอกมืด ๆ ที่จะไปบ้านเขาจึงรู้สึกว่าเคล็ดขัดยอกไปทั่วทั้งตัว

เขาเอาเงินและลอตเตอรี่เสี้ยวนั้นให้แม่ที่รออยู่ โดยไม่รู้เรื่องที่เขาผจญมาจากภายนอก เมื่อกินข้าวก้นหม้อที่แม่เหลือไว้ให้แล้ว ก็เข้านอนในมุ้งเก่า ๆ เคียงข้างแม่ ด้วยความอ่อนละเหี่ยเพลียไปทั้งกายและใจ

แม่บอกเบา ๆ ที่ข้างหูว่า หลับเสียเถิดลูก........เดี๋ยวก็จะเช้าแล้ว แต่เขานึกถึงลอตเตอรี่เสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ ถ้ามันถูกเลขท้าย........อะไรจะเกิดขึ้น......

อีกนานเหลือเกิน........กว่าจะถึงพรุ่งนี้

...........................

ผู้คนในท้องสนามหลวงขยับเขยื้อนตัวกันไปทั่วบริเวณ ที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นยืน ต่างเตรียมที่จะเคลื่อนย้ายออกจากสนามหลวง ไปตั้งขบวนที่ถนนราชดำเนินกลางหน้ากระทรวงยุติธรรม

สมหวังยังยืนอยู่ที่เดิม เขามองผู้คนเหล่านั้นอย่างเห็นอกเห็นใจ เขาก็เคยร่วมขบวนอย่างนั้น เมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้วอีกครั้งเมื่อยังเป็นวัยฉกรรจ์ ที่มีจิตใจแกร่งกล้าและบ้าบิ่น

ผลก็คือสูญเสียขาข้างขวาไปตั้งแต่ใต้หัวเข่า และได้ชื่อว่าเป็นวีรชนคนหนึ่ง ในจำนวนมากมายที่ต่างก็สูญเสียอะไรไปบางอย่างในร่างกาย แม้กระทั่งชีวิต

สมหวังขยับไม้ค้ำรักแร้ ออกก้าวเดินไปทางด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสา เพื่อกลับบ้านเท่ารังหนู ในตรอกแคบ ๆ ย่านบางลำพู ที่ไม่มีแม่รออยู่อีกแล้ว

สะพานเสี้ยวของรถรางก็ไม่มีแล้ว พื้นที่ตรงนั้นเป็นถนนลาดลงมาจากเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า กรมประชาสัมพันธ์ก็กลายเป็นที่ว่างสำหรับจอดรถไปแล้ว เขาจะต้องเดินอ้อมไปลอดใต้สะพาน และเดินตามถนนพระอาทิตย์ จนตัดผ่านวัดชนะสงครามไปออกย่านถนนข้าวสาร จึงจะถึงตรอกบ้านของเขา

เหลียวไปดูข้างหลังผู้คนออกจากสนามหลวงหมดแล้วต่างพากันเดินข้ามสะพานหน้าโรงแรมรอ แยลไปเป็นแถวยาว มุ่งหน้าจะไปยังบ้านที่พักของคนที่เขาด่าว่ามาค่อนวัน และคงจะต้องพบกับการสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่

ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อาจจะเหมือนกับที่เขาเคยได้ประสบมาแล้ว หรืออาจจะดีกว่าหรือเลวกว่าก็ได้

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ประชาชนมือเปล่าก็ย่อมจะได้รับการสูญเสียอย่างแน่นอน

เขาขยับกระบะลอตเตอรี่ที่หนีบรักแร้ให้กระชับ เบือนหน้าจากภาพฝูงชนท้ายขบวนที่กำลังข้ามสะพาน ออกเดินกระโผลกกะเผลก ไปทางท่าช้างวังหน้า

กระบะนั้นเป็นกระบะว่างเปล่า วันนี้ลอตเตอรี่ได้ขายไปหมดแล้ว ไม่เหลือความหวังในวันพรุ่งนี้ เหมือนเมื่อห้าสิบปีก่อน

เขาภาวนาอย่าให้เกิดเหตุร้ายแรงกับฝูงชนเหล่านั้นเลย เขาไม่อยากให้ใครต้องเป็นวีรบุรุษพิการอย่างเขาอีก

แต่ดูเหมือนยังอีกนาน กว่าจะรู้ว่าการภาวนาของเขา จะเป็นผลหรือไม่ ยังอีกนาน...กว่าจะถึงพรุ่งนี้.......เขารำพึงกับตนเอง......

..........อะไรจะเกิดขึ้น...ก่อนจะถึงพรุ่งนี้.

################
แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 50 19:12:14

จากคุณ : เจียวต้าย - [ 4 ธ.ค. 50 18:28:39 ]



ความคิดเห็นที่ 1

กงล้อประวัติศาสตร์ เวียนกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่านะครับ
ดาว

จากคุณ : คุณพีทคุง (พิธันดร) - [ วันพ่อแห่งชาติ 06:16:24 ]


ความคิดเห็นที่ 2

น่าแปลกที่เราได้รับบทเรียนซ้ำๆ...

และก็จะยังซ้ำอยู่อย่างนั้น

ทักทายป๋าเจียวต้ายครับ

จากคุณ : กลิ่นกาแฟ (กลิ่นกาแฟครับ) - [ วันพ่อแห่งชาติ 08:10:33 ]


ความคิดเห็นที่ 3

ติดใจว่าลอตเตอรี่เสี้ยวนั้นถูกรางวัลหรือเปล่า เหอๆ

จากคุณ : ลูนาติก - [ วันพ่อแห่งชาติ 09:20:26 ]


ความคิดเห็นที่ 4

พลุ

จากคุณ : kenkob - [ วันพ่อแห่งชาติ 10:38:42 ]


ความคิดเห็นที่ 5

ป๋าเจียวต้ายคะ

หลายครั้งที่เราไม่รู้ว่าเราเรียกร้องเพื่อใคร หรือเพื่ออะไร
เพราะท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นเลย

จากคุณ : ทิวลิปสีน้ำเงิน - [ วันพ่อแห่งชาติ 11:10:04 ]


ความคิดเห็นที่ 6

นานๆทีได้อ่าน "เรื่องสั้น" แนวนี้ คุณเจียวต้าย

พรุ่งนี้ไม่มีวันถึง...........

จากคุณ : GTW - [ 6 ธ.ค. 50 04:57:09 ]


ความคิดเห็นที่ 7

ขอบคุณคุณหมอลูนาติก ที่ห่วงลอตเตอรี่เสี้ยวนั้น
ผมว่าคงไม่ถูก หรืออาจจะถูกแค่เลขท้าย
สมัยนั้นคงเป็นเงินน้อยนิด ฐานะของสัมหวังและแม่จึงไม่ดีขึ้นครับ

ที่ว่าประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยไงครับ คุณพีท

และคนเราก็ไม่ยักศึกษาประวัติศาสตร์ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว
มันดีหรือไม่ดีอย่างไร คนรุ่นหลังจึงทำซ้ำอีก
แล้วมันก็เหมือนเดิมอีกครับ คุณกลิ่นกาแฟ

เวลาที่เขาเรียกร้องนั้น ส่วนมากเขามีเป้าหมายครับ คุณทิวลิปฯ
แต่บางทีก็ไม่ได้ตามนั้น แม้บางทีได้ตามนั้นแล้ว
ต่อมาก็เปลี่ยนไป ตามกิเลสคนครับ

ขอบคุณคุณ kenkob คุณเป็นนักอ่านที่ดีเสมอครับ.

จากคุณ : เจียวต้าย - [ 6 ธ.ค. 50 09:49:06 ]


ความคิดเห็นที่ 8

ถูกต้องตามที่อาจารย์จีว่าครับ พรุ่งนี้ไม่มีวันถึง.........

สมหวังเจอครั้งแรกจนตกคลองหลอด
เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๙๙ - ๒๕๐๐ อายุ ๑๒ ขวบ

สมหวังขาขาด เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ อายุ ๒๘ ปี

ต่อมาก็ไม่ได้ออกไปวุ่นกับเขา

แต่สมหวังมาเจอครั้งนี้ โดยเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น
อายุ ๖๒ ปีแล้วครับ

ก่อนตายสมหวังก็ยังอาจจะได้เห็นอีกครับ

แต่..............................
ผู้เขียนคงไม่ได้เห็นหรอกครับ อาจารย์ครับ.

จากคุณ : เจียวต้าย - [ 6 ธ.ค. 50 09:55:55 ]


ความคิดเห็นที่ 9

ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ
ได้แต่คาดเดา คาดหวัง ว่าอาจจะเป็น อาจจะมี
หรืออาจจะไม่เหลืออะไรเลยก็ได้

จากคุณ : ใบเตยหอม - [ 6 ธ.ค. 50 12:53:37 ]


ความคิดเห็นที่ 10

สะท้อนใจค่ะ

จากคุณ : The SoVo - [ 6 ธ.ค. 50 14:54:45 ]





Create Date : 08 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2559 13:29:26 น. 4 comments
Counter : 1240 Pageviews.

 

มาเยี่ยมชม ใมาทักทายครับ

อ่านแล้วรู้สึกเป็นห่วงสมหวังมากกว่าฝูงชนครับ เพราะไม่อยากให้สมหวังต้องเป็นอะไรไปอีก ส่วนเรื่องของฝูงชนนั้นผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากการจัดตั้งของผู้ที่กำลังกล่าวปราศรัยอยู่ครับ

แอบนึกตามเรื่องว่าในสมัยก่อนตรงพระแม่ธรณีบีบมวยผมนั้น เราสามารถเดินเข้าไปกวักน้ำมาล้างหน้าได้เหรอ? ในปัจจุบันนี้ไม่น่าจะทำแบบนี้ได้แล้ว เพราะว่าคงเอื้อมไม่ถึงแน่ครับ

โหวตงานประพันธ์ให้ครับ

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ




บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เจียวต้าย Literature Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น

อิอิ



โดย: อาคุงกล่อง วันที่: 8 พฤศจิกายน 2559 เวลา:22:17:49 น.  

 
เดี๋ยวนี้ผมก็ไม่ได้สีงเกตนะครับ เรื่องแม่พระธรณีบีบผมมวย

แต่ผมว่าสมัยก่อนประปายังไม่เจริญ ก็เหมือนก๊อกน้ำสาธารณะครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 พฤศจิกายน 2559 เวลา:8:37:47 น.  

 
อ่านแล้วนึกถึงบรรยากาศสนามหลวงสมัยก่อนด้วย
คิดถึงเมืองไทยจัง ปีนี้คงจะได้ไปเดินแถวสนามหลวงแน่ๆ
เพราะจะไปกราบพ่อหลวงด้วย

เป้นห่วงสมหวังแต่ก็ลุ่นว่าจะถูกล็อตเตอรี่เสี้ยวสุดท้ายเสียอีก...
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต

เจียวต้าย Literature Blog ดู Blog


โดย: newyorknurse วันที่: 15 พฤศจิกายน 2559 เวลา:5:47:02 น.  

 
เรื่องนี้ท่อนแรกกับท่อนหลัง เขีบยห่างกันเป๋น ๒๐-๓๐ ปี
ไม่น่าเชื่อนะครับ ว่าจะเหมือนกันได้ แต่หวังว่าต่อไปคงไม่มีอีกครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 15 พฤศจิกายน 2559 เวลา:11:50:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.