Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
11 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
“ผมจะเป็นคนดี” ภาค ไฟฝัน... วันเยาว์ ฉบับสมบูรณ์

[หนังสือเล่มอื่น]




อันที่จริงข้าพเจ้ารับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือ “ผมจะเป็นคนดี” มาระยะหนึ่งแล้ว ในลักษณะที่ว่าเป็นหนังสือแนวอัตชีวประวัติของนักธุรกิจผู้บุกเบิกการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง แต่ขณะนั้น ข้าพเจ้ายังไม่อยากจะหามาอ่านสักเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ข้าพเจ้าไม่รู้จักผู้เขียน หรือ คุณวิกรม กรมดิษฐ์มาก่อน ความรู้สึกคุ้นเคย (แม้สักเพียงนิด) จนอยากจะรู้จักมากขึ้นจึงยังไม่มี และดูเหมือนว่า จะมีการประชาสัมพันธ์หนังสือเล่มนี้กันตามสื่อต่าง ๆ ค่อนข้างมากเลยทีเดียว จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกต่อต้านอยู่สักหน่อย (ตามประสาคนขวางโลก)

อย่างไรก็ตาม พอข้าพเจ้าได้รับทราบมาว่า หนังสือเล่มนี้มียอดพิมพ์ตั้งแต่ปี 2547 ถึงกว่า 300,000 เล่มแล้ว ก็ตกใจว่าทำไมถึงได้มากมายขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะมีคนซื้ออ่านจริง หรือ พิมพ์แจกก็ตาม แต่ด้วยจำนวนขนาดนี้นั้น มันไม่ธรรมดา แสดงว่า น่าจะต้องมีอะไรบางอย่างในหนังสือเล่มนี้จริง ๆ จึงทำให้มีการตอบรับมากมายขนาดนี้

อีกทั้งในปี 2549 หนังสือ “ผมจะเป็นคนดี” ได้มีการเรียบเรียงเพิ่มเติมเป็น ผมจะเป็นคนดี ภาค ไฟฝัน... วันเยาว์ โดย ประภัสสร เสวิกุล อีกด้วย

เห็นดั่งนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็เลยตั้งใจจะออกไปหาซื้อมาอ่านบ้าง แต่ข้าพเจ้าตัดสินใจช้าไปสักหน่อย เพราะหนังสือได้ขาดตลาดไปช่วงหนึ่ง แต่... พอคิดอีกที ก็โชคดีอยู่เหมือนกัน เพราะในช่วงปลายปี 2550 หนังสือเล่มนี้ได้มีการปรับปรุงใหม่อีกครั้ง โดยกำกับเพิ่มเติมไว้ว่าเป็น “ฉบับสมบูรณ์”

คุณวิกรม เขียนไว้ในส่วนนำว่า เรื่องที่เขียนในหนังสือเล่มนี้นั้นเป็น “อนุทินชีวิตส่วนตัว” ผู้เขียนยอมเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองเพราะต้องการให้เป็นบทเรียนและอุทาหรณ์ โดยเฉพาะกับเยาวชน คนรุ่นหลัง

อาจเพราะในช่วงชิวิตของคุณวิกรมมีหลายเหตุการณ์ที่อาจจะเป็นจุดหักเหในชีวิต ถ้าหากตัดสินใจผิดพลาดไป ก็อาจจะไม่มีผู้ชายชื่อ วิกรม กรมดิษฐ์ ให้เห็นอย่างทุกวันนี้

หนึ่งในการตัดสินใจที่ว่านั้นคือ การคิดจะทำปิตุฆาต !!! และหลังจากสังหารบิดาตัวเองแล้ว ก็จะดับชิวิตตัวเองตาม !!!

ก่อนที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้ามีข้อสงสัยประการหนึ่งคือ ทำไมต้อง “จะเป็นคนดี” ด้วย การใช้คำว่า “จะ” ให้นัยประหนึ่งว่า ในตอนนี้ “ยัง” ไม่ใช่คนดีอย่างนั้นหรือ แล้วเมื่อไหร่จึงจะดี และเช่นไรจึงจะเรียกว่าดี

ดูเหมือนว่าคำว่า “ดี” นั้น จะเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ใคร ๆ ก็ต้องการ หากแต่ไม่สามารถที่จะชี้เฉพาะเจาะจง หรือให้คำจำกัดความอย่างครอบคลุมได้ทั้งหมด การให้นิยามของคำว่า “ดี” วิธีหนึ่งก็คือ ลักษณะที่ตรงข้ามกับ “ชั่ว” (ซึ่งก็คงต้องไปนิยามคำว่าชั่วอีกที) ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ว่า ในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้นิยามชัดเจนเช่นกันว่าดีนั้นดีอย่างไร แล้วที่ผ่านมานั้นชั่วอย่างไร

คงให้ผู้อ่านตัดสินใจเอาเอง



คุณวิกรมเปิดเรื่องอย่างน่าตื่นเต้น ด้วยการเล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่คุณวิกรมขับรถกลับบ้าน พร้อมอาวุธปืน เพื่อจะไปสังหารบิดาบังเกิดเกล้า แล้วจึงหยุดเรื่องไว้แค่นั้นก่อน กระตุ้นชวนให้ผู้อ่านสงสัยว่าคนคู่นี้มีความแค้นอะไรกันหนักหนา ทำไมคุณวิกรมผู้ซึ่งเป็นลูกถึงคิดจะทำปิตุฆาตซึ่งเป็นอนันตริยกรรมเช่นนี้ด้วย

จากนั้น จึงค่อย ๆ เล่าถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด โดยเริ่มจากการปูพื้นว่าต้นตระกูลมาจากไหน ทำอาชีพอะไร มีค่านิยมอย่างไร คนในครอบแต่ละคนเป็นใครบ้าง มีความสัมพันธ์และสำคัญกับคุณวิกรมอย่างไร หลังจากนั้นก็เริ่มเล่าถึงประสบการณ์ชิวิตตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งต้องผ่านจุดหักเหหลายจุด จนผ่านจุดหักเหที่สำคัญมากที่สุดจุดหนึ่ง (ซึ่งได้ผูกเป็นปมไว้ในต้อนต้น) มาได้ แล้วปิดท้ายที่ชีวิต หน้าที่ การงานและครอบครัวที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

โดยจะสอดแทรกข้อคิด และ อุทาหรณ์ที่มีประโยชน์ ตลอดเล่ม

อย่างไรก็ตามหลังจากอ่าน “อนุทินชีวิตส่วนตัว” ของคุณวิกรมเล่มนี้จนจบแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เรื่องราวหลายตอนเป็นเรื่อง “ส่วนตัว” จริง ๆ กล่าวคือ บางเรื่องเป็นความทรงจำที่เป็นปมในอดีต บางเรื่องเป็นเรื่องในครอบครัวที่เหมือนจะเขียนให้กับคนในครอบครัวอ่าน บางเรื่องน่าจะถูกเก็บไว้โดยไม่น่าเล่าให้บุคคลภายนอกได้รับทราบ โดยไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของคุณวิกรมเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่นอีกด้วย

ข้าพเจ้าก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า จะเป็นเพราะคุณวิกรมได้ขออนุญาตแล้ว หรือจะเพราะ มันหมดเวรกรรมต่อกันแล้วหรือเปล่า จึงได้มาเขียนเล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้

หนังสือ “ผมจะเป็นคนดี” กำเนิดขึ้นมาจากความตั้งใจดีที่จะถ่ายทอดประสพการณ์ไว้เป็นอุทาหรณ์กับคนรุ่นหลัง ในเล่ม จึงเต็มไปด้วยการเล่าถึงความไม่ดีในอดีตอย่างไม่ปิดบัง ไม่ว่าจะเป็นการแอบขโมยเงินในวัยเด็ก การเอายึดเอาสมบัติของคนอื่นไว้แล้วนำไปขายต่อในช่วงวัยรุ่น การใช้สาธารณสมบัติเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง เรียกได้ว่าเป็นการประจานความไม่ดีของตัวเองไว้อย่างละเอียด แต่ก็ไม่ลืมที่จะแสดงผลร้ายที่ตามสนอง จากบาปกรรมที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้ว่า นอกจากความไม่ดีในอดีตที่แสดงไว้เป็นอุทาหรณ์แล้ว ในหนังสือเล่มนี้ยังได้สอดแทรกการทำชั่วครั้งสุดท้ายของคุณวิกรมเอาไว้ด้วย (ต้องขออนุญาตใช้คำแรง ๆ) นั่นคือ การประจานความร้ายกาจต่าง ๆ นานาของบิดาบังเกิดเกล้า ออกมาไว้เป็นหลักฐานในหนังสือเล่มนี้

หลายครั้งข้าพเจ้านึกไปถึงภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่เคยชมเรื่องหนึ่งของ Takeshi Kitano นั้นคือเรื่อง Blood and Bones (2004) ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงโดยอ้างอิงจากบันทึกที่ลูกชายเขียนเล่าถึงความเลวทรามต่ำช้าของพ่อตัวเอง!

ระหว่างที่อ่านไป ข้าพเจ้ารู้สึกสะดุดอยู่หลายครั้ง สำนวนหลายตอนเป็นเหมือนการเขียนตัดพ้อ บ่นระบาย จากความรู้สึกอัดอั้นภายในจิตใจอย่างถึงที่สุด ข้าพเจ้าลองถามตัวเองว่า ถ้าหากเรื่องเหล่านี้เกิดกับข้าพเจ้าเองแล้วละก็ ข้าพเจ้าจะกล้าเขียนเรื่องเหล่านี้ออกมาแบบนี้หรือไม่ ซึ่งข้าพเจ้า... ไม่กล้า

หนังสือ “ผมจะเป็นคนดี” เปิดตัวครั้งแรก 17 มีนาคม พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณวิกรม หลังจากเสร็จงานเปิดตัวหนังสือแล้ว คุณวิกรมก็ไปที่วัด เพื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุ ดำรงในสมณะเพศอยู่ระยะเวลาหนึ่ง

การออกบวชนั้น เปรียบเหมือนการได้เกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง แม้จะอยู่ในชาติปัจจุบัน ดังนั้นหนังสือ “ผมจะเป็นคนดี” อาจจะมีนัยยะเชิงสัญลักษณ์เป็นดั่งการเริ่มต้นระยะใหม่ของชีวิตของคุณวิกรมเองก็ได้

ข้าพเจ้ามองการเขียนถึงความไม่ดีของคนอื่นไว้ในหนังสือแบบนี้ เป็นเสมือนการแก้แค้นวิธีหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก และนี่ก็คงเป็นการทิ้งทวนการทำชั่วครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะขออโหสิกรรมกันต่อไป



อย่างไรก็ตาม มองกลับกัน หากไม่เขียนถึงความร้ายกาจดังว่าเอาไว้ ผู้อ่านก็อาจจะไม่ได้มโนภาพถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างคุณวิกรมกับบิดาก็เป็นได้ อาจจะเข้าไม่ถึงเหตุผล และ ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้คุณวิกรม ดิ้นรนต่อสู้จนเป็นวิกรม กรมดิษฐ์ ซึ่งมีการดำเนินชีวิตและมีวิธีทำธุรกิจอย่างทุกวันนี้

และอาจจะไม่ซาบซึ้งกับคำว่า "ครอบครัว" กับเรื่องราวความรักระหว่างพี่น้องกรมดิษฐ์ ที่เล่าอยู่ในหนังสือ ซึ่งให้ภาพสะท้อนที่แตกต่างไปจากความรุนแรงในครอบครัวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเป็นอย่างมาก

ถ้าหากมองข้ามการประจานดั่งว่านั้นออกไป หนังสือเล่มนี้ก็ยังมีแง่มุม ประโยชน์ ต่าง ๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการแสดงให้เห็นสภาพชีวิตของชาวบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจีนในจังหวัดกาญจนบุรี สมัยสงครามโลกครั้งที่สองผ่านเรื่องราวของ “แม่” ภาพชีวิตของของคนในสมัย 50 ปีก่อนผ่านเรื่องราววัยเด็กของตัวคุณวิกรม ได้รับทราบค่านิยมของคนในสมัยนั้น ได้รับทราบตัวอย่างความรุนแรงในครอบครัว และผลลัพท์ที่ตามมา

ได้ศึกษาเรื่องราวของคน ๆ หนึ่งซึ่งมีชิวิตเติมโตมากับความรุนแรงในครอบครัว เคยถูกตัดพ่อตัดลูกตั้งแต่วัยไม่ถึงยี่สิบปีดี ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินเพื่อเรียนต่อเอง จนทำงานแล้วก็มีปัญหาสารพัด จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง ได้เห็นคุณค่าของความรักที่แม่มีต่อลูก ตลอดจนความรักระหว่างพี่น้องและในหมู่ญาติ

และทำให้ได้เห็นว่า ในช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่งนั้น มีจุดหักเห ซึ่งอาจจะพลิกผันชีวิตไปอย่างคาดไม่ถึงได้หลายครั้ง ถ้าหากว่าเราได้ตัดสินใจผิดพลาดไป อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากว่าวันนั้น คุณวิกรมทำปิตุฆาตไปจริง ๆ

ข้าพเจ้าคงจะไม่เล่าเรื่องราวของคุณวิกรมที่อยู่ในหนังสือมากไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะเกรงจะทำให้ผู้ที่ยังไม่ได้อ่าน “ผมจะเป็นคนดี” เสียอรรถรสไป




ประวัติ วิกรม กรมดิษฐ์
เกิดเมื่อวันอังคารที่ 17 มี.ค. 2496 เวลา 24.00 น. จ.กาญจนบุรี บรรพบุรุษสืบเชื้อสายจากชาวจีนแคะ ซึ่งอพยพมาจากเมืองจีน เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในชุมชนท่าเรือเมื่อ 150 ปีกว่ามาแล้ว เป็นบุตรชายคนโตของตระกูล มีน้องมารดาเดียวกันและต่างมารดารวม 23 คน จบการศึกษาปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์เครื่องกล จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน มีความสนใจการค้าตั้งแต่ยังเล็กโดยรับช่วงต่อกิจการร้านถั่วคั่วจากป้าขณะเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จนเมื่อเรียนจบปริญญาตรี กลับมาเปิดบริษัท วี แอนด์ เค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจนำเข้า – ส่งออก เมื่อ พ.ศ. 2518 ต่อมาหันมาบุกเบิกธุรกิจทางด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม 3 แห่งในประเทศไทย และอีก 2 แห่งในประเทศเวียดนาม ก่อให้เกิดมูลค่าการผลิตเกือบ 700,000 ล้านบาท และมีประชากรเกือบ 200,000 คน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และประธานมูลนิธิอมตะ ตลอดจนสนใจการเขียนหนังสือเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป





“ผมจะเป็นคนดี” ภาค ไฟฝัน... วันเยาว์ ฉบับสมบูรณ์
โดย วิกรม กรมดิษฐ์
เรียบเรียง ประภัสสร เสวิกุล
พิมพ์ครั้งแรก พฤศจิกายน 2550 จำนวน 50,000 เล่ม
พิมพ์ที่ บริษัท แอล. ที. เพรส จำกัด
เจ้าของ : มูลนิธิอมตะ
www.vikrom.net
www.amatafoundation.org
vikrom@vikrom.net
info@amatafoundation.org
ISBN 978-974-09-4910-7
520 หน้า
ราคา 100 บาท







[หนังสือเล่มอื่น]


Create Date : 11 มกราคม 2551
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2551 4:17:52 น. 18 comments
Counter : 7230 Pageviews.

 
อ่านจบแล้วทุกเล่ม ดีจิงๆค่ะ


โดย: nadear_ku วันที่: 11 มกราคม 2551 เวลา:20:42:23 น.  

 
"....ก่อนที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้ามีข้อสงสัยประการหนึ่งคือ ทำไมต้อง “จะเป็นคนดี” ด้วย การใช้คำว่า “จะ” ให้นัยประหนึ่งว่า ในตอนนี้ “ยัง” ไม่ใช่คนดีอย่างนั้นหรือ แล้วเมื่อไหร่จึงจะดี และเช่นไรจึงจะเรียกว่าดี............."

**********
ด้วยความคิดเห็นส่วนตัวน่ะ...
ที่บอกว่า "จะเป็นคนดี" เพราะชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของคุณวิกรม ผ่านความยากลำบาก ในลักษณะที่เรียกว่า "ยังไม่ใช่คนดี" มาโดยตลอด (จากที่อ่านในหนังสือน่ะ!)

คงไม่ได้หมายถึง "ความคิดอยากจะปิตุฆาต" เพียงเรื่องเดียว ที่เรียกว่า "ไม่ดี"
แต่หมายรวมถึง หลาย ๆ เรื่องที่ต้องเอาชีวิตให้รอด จากทุกช่วง ทุกวัย...จนกระทั่งประสบผลสำเร็จ

ลักษณะ "ปากกัด ตีนถีบ" เช่นนี้ คล้าย ๆ ลักษณะของคนที่มีหนทางให้เลือกไม่มากนัก
ยิ่งสิ้นไร้ไม้ตอก ญาติเอารัดเอาเปรียบ
ยิ่งทำให้ต้องใช้ชั้นเชิง เพื่อถึงจุดหมายให้ได้
ในทุกวิถีทางเหล่านั้น....น่าจะพอเรียกได้ว่า "ไม่ใช่คนดี"

การแสดงตัวตนในหนังสืออย่างหมดเปลือก มองต่างมุมก็อาจเห็นว่าเป็นการประจาน...
ประจานทั้งตัวเอง และผู้อื่น โดยเฉพาะผู้บังเกิดเกล้า
แต่หากมองลึกลงถึงที่มาที่ไป...ว่าอะไรคือสาเหตุทำให้ลุแก่อารมณ์จนมีความคิดร้ายอย่างนี้
อาจมองเห็นความเลวร้ายยิ่งกว่าของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่
ที่หลายคนถูกความกตัญญู กดดันไม่กล้าคิดแม้แต่ถูกปฏิบัติอย่างไร้ความเมตตา และไร้มนุษยธรรม..
พ่อแม่ที่เลว...ทำอย่างไรกับลูกก็ได้


โดย: icechick วันที่: 11 มกราคม 2551 เวลา:21:05:57 น.  

 
พ่อแม่ที่เลว...ทำอย่างไรกับลูกก็ได้?
ที่เห็นทุกวันนี้...หลายคนกลายเป็นคนแอบจิต โรคจิต จิตหลอน ...ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมีแม่แบบที่แย่หรอกรึ?

คนที่สร้างปัญหาให้สังคมทุกวันนี้ เป็นเพราะสิ่งแวดล้อม สายเลือด หรือเพราะการอบรมสั่งสอน?
จริงอยู่อาจมาจากหลายทาง แต่ที่เห็นส่วนใหญ่จากต้นแบบน่าจะมากกว่าปัจจัยอย่างอื่น
ไม่สอนดี...แต่สอนชั่ว หรือกดดันให้ชั่วมีให้เห็นค่อนข้างมาก
ไม่รวมถึงทำตัวให้ชั่ว แล้วที่เป็นลูกหลานจะเอาต้นแบบที่ดีจากไหน?

ชีวิตของคุณวิกรม ไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยการต่อสู้ และเป็นการต่อสู้บนหนทางที่ไม่ถูกต้องเสมอไป...
นั่นจึงน่าจะเป็นที่มาของคำว่า "จะเป็นคนดี"


โดย: icechick วันที่: 11 มกราคม 2551 เวลา:21:15:50 น.  

 
การบอกเล่าถึงสิ่งเลวร้ายทั้งหมดในชีวิตของตนเองอย่างหมดเปลือกเช่นนี้
เจตนาจึงมีเพียง "ยอมรับ" ว่าตนเองไม่ได้เป็นคนดีมาก่อน
และอาจมีเจตนา...บอกให้เป็นอุทาหรณ์คนที่เป็นพ่อแม่ที่พึงปฏิบัติต่อลูกให้ดีเช่นไร

โชคดีของคุณวิกรม ที่ต่อสู้ทุกอย่างจนเอาชนะได้ ร่ำรวยได้
แต่ทุกคนที่อยู่ในวงเวียนกรรมเช่นนี้ คงไม่โชคดีอย่างนี้!

การเรียนรู้อัตชีวะประวัติของคน จึงจำเป็นต้องรับทั้งเรื่องดีและเลวที่เกิดขึ้นอย่างใจเป็นกลาง
เป็นกลางที่ยอมรับ "ความอับจน" สิ้นหนทางคนที่ไม่มีทางเลือก หรือมีทางให้เลือกเดินน้อย
แต่ไม่ได้ "ยอมรับ" การประพฤติผิด แล้วร่ำรวยมีหน้าตาในสังคม


โดย: icechick วันที่: 11 มกราคม 2551 เวลา:21:23:35 น.  

 
แรกที่ประสบผลสำเร็จใหม่ ๆ
คุณวิกรมรับน้องมาฝึกงาน และมอบงานในลักษณะที่ต้องรับผิดชอบและลงแรง
ทำหน้าที่ "พี่ชายคนโต" ที่เปรียบเสมือนพ่อในคติอย่างคนจีน..
จนกระทั่ง ละวางจากธุรกิจแทบทุกอย่าง..มอบหมายน้องคนรองรับผิดชอบสืบทอดต่อ...
แม้นจะไม่รู้ว่ามอบจริงหรือเท็จ แต่การปลด ละวางจากอำนาจ ความมั่งมี ความสุขสบาย มีหน้ามีตาในสังคม..ออกไปได้ ก็ถือว่า...ตัดใจได้พอควร
เพราะธุรกิจนั้นไม่ได้มีมูลค่าธรรมดา!


โดย: icechick วันที่: 11 มกราคม 2551 เวลา:21:30:07 น.  

 
ปมชีวิตของคน ยากที่จะคลี่คลายได้ง่าย ๆ
เพราะสะสม ซับซ้อนเกินกว่าจะเรียงลำดับก่อนหลัง
แต่ชีวิตการต่อสู้ของคนสู้ชีวิต และไม่ลืมตัวตน ไม่ลืมที่จะทำดี...ไม่ว่าก่อนหน้านั้นจะทำผิดมากน้อยแค่ไหนก็ตาม
ก็น่าจะยังดี...กว่าใครบางคน
ที่หลงในลาภ ยศ สรรเสริญ จนลืมกำพืดตัวเอง
ลืมจะเจือจานคนอื่น ๆ
แม้นจะร่ำรวยล้นฟ้าแค่ไหนก็ตาม...ก็ไม่น่านับถือสักเท่าใด
...เอ...สงสัยจะบ่นมากไปแล้วล่ะ!!


โดย: icechick วันที่: 11 มกราคม 2551 เวลา:21:36:48 น.  

 
บ่นเยอะกว่านี้อีกก็ได้นะ เราชอบอ่าน


โดย: Plin, :-p วันที่: 11 มกราคม 2551 เวลา:22:16:12 น.  

 
เค้าเป็นคนบ้า
ก๊าก
เคยเห็นเค้าลง sukiflix แล้ว 2 เทป
เพี้ยนเจรงๆ คนไร
เหอๆ


โดย: vodca วันที่: 12 มกราคม 2551 เวลา:21:12:52 น.  

 
เห็นชื่อหนังสือแล้วไม่อยากอ่านน่ะ ไม่รู้เป็นไง
อ่านที่คุณพิลินเขียนถึงแล้วก็รู้สึกสนใจมากขึ้น
แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่อยากออกไปหามาอ่าน
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทำไมนะ

อาจเป็นเพราะขวางโลกเหมือน จขบ ฮ่าฮ่า


โดย: cottonbook วันที่: 13 มกราคม 2551 เวลา:18:05:23 น.  

 
เรายอมรับว่า ส่วนหนึ่งที่อ่านเพราะ "ประภัสสร เสวิกุล" เป็นคนเรียบเรียบ กับ "เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์" ที่เขียนกลอนไว้ท้ายเล่มล่ะ


โดย: Plin, :-p วันที่: 13 มกราคม 2551 เวลา:23:49:46 น.  

 
อ่า จขบ เป็นคนขวาวโลกเหรอค่ะ เพิ่งรุนะเนี่ย อิอิ Miss ๆๆ


โดย: nadear_ku วันที่: 14 มกราคม 2551 เวลา:9:55:11 น.  

 
i like this book,??? i never read it.. joy...joy...


โดย: uar-eng IP: 89.184.136.215 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:5:27:56 น.  

 
ไม่เชิงว่าชอบหรอกครับ

พอดีว่า อ่านแล้วมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้น ก็เลยมาบันทึกเอาไว้


โดย: Plin, :-p วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:28:09 น.  

 
อยากทราบว่าจะออกหนังสือ มองซีอีโอโลกเล่มสามตอนไหน เพราะชอบรู้ก้าวย่างชีวิตของท่านผู้นำของโลก ว่าวิสัยทัศน์ ทัศนคติ วิถีการมองโลกของบุคคลที่ได้ชื่อว่า ซีอีโอ


โดย: อาร์ต IP: 125.24.37.195 วันที่: 15 ธันวาคม 2551 เวลา:9:36:45 น.  

 
อ่านแล้วค่ะเล่มนี้


ดีมากๆเลยค่ะ

ผ่านมาได้ไงเนี่ย


เยี่ยมมดีนะ ^^


โดย: วาฮาฮา IP: 202.28.78.138 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:04:41 น.  

 
คุณวิกรม ท่านเป็นตัวอย่างที่ดีครับในด้านการทำงาน ด้านธุรกิจ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าชู้หรือเปล่า หากข้อความนี้เขียนล่วงเกินก็ขอประทานอภัยนะครับ แต่ชอบหนังสือที่ท่านเขียนมากครับ ได้อ่าน 4 เล่มแล้ว


โดย: บวรเศรษฐ์ มหาดัสกรกุล IP: 125.24.177.183 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:11:13:18 น.  

 
สรุปเกี่ยวกับการศึกษาให้ผมหน่อยดิพี่ๆๆ (ไฟฝันวันเยาว์)


โดย: คณิน IP: 10.0.100.62, 223.206.99.203 วันที่: 2 กันยายน 2554 เวลา:22:06:34 น.  

 
เรื่องนี้ดิฉันเพิ่งได้อ่านเจอนะคะติดตามเรื่องราวต่างๆของท่านมาได้ประมาณ เดอนกว่าๆค่ะได้อ่านเป็นตอนๆไปไม่เคยคิดนะคะว่าเหตุการณ์ต่างๆในเรื่องจะมีอยู่จริง นวนิยายที่เขาแต่งยังไม่เท่าเรื่องราวในชีวิตของท่าน ท่านวิกรมเป็นตัวอย่างการดำเนินชีวิตที่ต้องต่อสู้ต่ออุปสรรคนานานับประการสุดบรรยายค่ะยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ


โดย: ดวงพร พัชรเดชากร IP: 182.232.164.225 วันที่: 5 สิงหาคม 2560 เวลา:0:23:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Plin, :-p
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]









Instagram






บันทึก ท่องเที่ยว เวียดนาม


e-mail : rethinker@hotmail.com


Friends' blogs
[Add Plin, :-p's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.