Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
8 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
เวียดนาม (6) : Văn Miếu - วัดในศาสนาขงจื้อ และ Quốc Tử Giám - มหาวิทยาลัยโบราณ

[ภาพ-เล่า-เรื่อง]


[อ่าน ท่องเที่ยว เวียดนาม ตอนอื่น ๆ]

<< ตอนที่แล้ว

ตอนต่อไป >>





วันนี้ (3 มีนาคม พ.ศ. 2550) พวกเราใช้เวลาช่วงเช้ากับการล่องเรือในอ่าวฮาลอง (Halong Bay) สำหรับช่วงบ่ายนั้น จุดหมายต่อไปก็คือเมืองฮานอย เราออกจากเมืองฮาลองกันประมาณสิบเอ็ดโมง กว่าจะถึงฮานอยก็ประมาณบ่ายสามเศษ

ไม่ใช่ว่าระยะทางไกลมาก หรือ ถนนจะไม่ดี แต่ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวไว้แล้วก็คือว่า ที่นี่มีกฎหมายจำกัดความเร็วของรถ (แต่ได้ข่าวว่าจะแก้ไขอยู่เหมือนกัน... ณ เวลาที่เขียนนี้ก็อาจจะแก้ไปแล้ว)



เมืองฮานอยนี้มีอีกชื่อหนึ่งคือ ทางลอง ซึ่งแปลว่า มังกรขึ้น (ล้อไปกับ เมืองฮาลอง หรือ มังกรลง) ว่ากันว่า เจ้าครองนครพระองค์แรก ทรงเห็นมังกรพุ่งขึ้นมาจากแม่น้ำ

สถานที่แรกในเมืองฮานอยที่พวกเราไปเยือนกันก็คือวัดวันเหมียว - Văn Miếu (文廟) ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าจะแปลเป็นไทยว่าอย่างไรกันแน่ แต่ที่แปลกันในภาษาอังกฤษก็คือ Temple of Literature



นี่เป็นประตูด้านหน้า เดี๋ยวจะพาเข้าไปข้างในกัน ชมภาพ VDO ประกอบไปด้วยก็ได้นะ



ถ้าดูจากแบบจำลอง ประตูด้านหน้าก็จะอยู่ทางขวามือของท่านผู้อ่านนั่นเอง วันเหมียวนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1070 เพื่ออุทิศให้กับ "ขงจื้อ"

คนส่วนใหญ่ในเวียดนามตั้งแต่อดีตจะนับถือศาสนาขงจื้อกัน (สมัยก่อนเราจะเรียนกันในหนังสือว่า ลัทธิขงจื้อ สมัยนี้เขาเริ่มยกให้เป็นศาสนาแล้ว)

หกปีต่อมา ในปี ค.ศ. 1076 ได้มีการสร้างมหาวิทยาลัยแห่งแรก หรือ Quốc Tử Giám (國子監) ของประเทศขึ้นภายในวัดวันเหมียวแห่งนี้



ถ้าดูจากแบบจำลอง จะเห็นว่ามีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นชั้น ๆ จำนวน 5 ส่วน บริเวณที่ถ่ายรูปข้างบนนี้เป็นส่วนที่สอง ซึ่งถ้าลอดผ่านประตูนี้ไปก็จะเข้าสู่ส่วนที่สาม

บนซุ้มประตูนี้จะมีการสร้างศาลาเรียกว่า Khuc Van Cac ว่ากันว่าเหล่าบัณฑิตย์แต่งกลอน และ ดื่มสุรากันบนนี้



เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้ามาถึงส่วนที่สามก็จะเห็นบ่อน้ำ Thien Quang Tinh

ในส่วนที่สามนี้ นอกจากตรงกลางจะมีบ่อน้ำแล้ว ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่อีกก็คือ แผ่นศิลา ซึ่งจารึกชื่อ (พร้อมข้อมูลบ้านเกิด) ของเหล่าบัณฑิตย์ที่สอบได้ระดับจอหงวน จากมหาวิทยาลัย Quốc Tử Giám ซึ่งจะมีการจัดสอบทุกสามปี ในช่วงปี ค.ศ. 1484 ถึง 1780



โดยที่แต่ละแผ่นนั้นจะตั้งอยู่บนหินที่แกะสลักเป็นรูปเต่า จัดเรียงภายในศาลาที่ตั้งอยู่สองข้างทาง แผ่นศิลาเหล่านี้ เดิมมีจำนวน 116 แผ่น ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 82 แผ่น

สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึง การให้ความสำคัญกับการศึกษา และวัฒนธรรมการยกย่องผู้มีความรู้ความสามารถของชาวเวียดนามตั้งแต่อดีต

จากส่วนที่สามนี้ จะต้องเดินผ่านประตู Dai Thanh ซึ่งแปลว่า ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เข้าสู่ส่วนที่สี่ต่อไป



สำหรับส่วนที่สี่นี้ (จากรูปจะเป็นทางซ้ายของท่านผู้อ่าน) พิจารณาดูแล้วน่าจะเป็นเขตวัด (วัดในศาสนาขงจื้อ) เพราะเห็นผู้คนจุดธูป กราบไหว้ บูชากันเต็มไปหมด (ดู VDO ประกอบ)

ศาลา Bai Duong ที่มีรูปปั้นท่านขงจื้อนั้นจะอยู่ในสุด (จากภาพคือด้านซ้ายมือ) เป็นศาลาก่อนที่จะเข้าสู่ส่วนที่ห้า ส่วนศาลาที่อยู่ทั้งสองด้านนั้นจะมีศาลบูชาบรรดาศิษย์ท่านต่าง ๆ ของท่านขงจื้อ ปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนเป็นสำนักงาน ร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ



นี่คือรูปปั้นท่านขงจื้อ ภายในศาลา Bai Duong นอกจากชาวเวียดนามจะกราบไหว้ บนบานขอพรกับท่านขงจื้อแล้ว ยังมีการบูชาศิษย์คนสำคัญ 4 คนของท่านขงจื้ออีกด้วย



ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าสองท่านนี้เป็นใคร ในสี่คนที่เป็นศิษย์ท่าน

ด้านหลังศาลานี้จะมีประตูเล็ก ๆ เข้าสู่ส่วนที่ 5 ซึ่งเป็นส่วนสุดท้าย ในส่วนนี้จะมีวิหาร Khai Tanh อยู่



ทางด้านซ้ายของวิหาร จะมีศาลาที่แขวนระฆังไว้ ในรูปบนนี้ข้าพเจ้าเลือกมุมถ่ายไม่ดี จึงไม่เห็นระฆัง



ส่วนทางขวาของวิหาร จะมีศาลาซึ่งมีกลองตั้งไว้อยู่

วิหาร Khai Tanh มีสองชั้น ภายในมีการจัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีต แบบจำลองของ Văn Miếu - Quốc Tử Giám ที่ข้าพเจ้าถ่ายมาก็ตั้งแสดงไว้ในวิหารนี้เช่นกัน



ณ ที่แห่งนี้ ที่ซึ่งเคยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศเวียดนาม ชาวต่างชาติที่มาเยือนน่าจะได้รับความรู้ทางประวัติศาสตร์กลับไปมากที่สุดที่หนึ่ง เรื่องที่น่าเสียดายมากก็คือว่า ไม่มีการจัดแสดงคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษเลยแม้แต่คำเดียว!!



นอกจากนี้ คำจารึกส่วนใหญ่เป็นภาษาเวียดนามโบราณ ซึ่งดัดแปลงมาจากตัวอักษรจีน (ต่างกับอักษรเวียดนามปัจจุบันซึ่งดัดแปลงจากอักษรของชาวยุโรป) คนเวียดนามปัจจุบันหลายคนอ่านมันไม่ออกด้วย พอสอบถามก็มักจะไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ



ดังนั้นท่านผู้นี้เป็นใคร ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ใครทราบรบกวนบอกข้าพเจ้าด้วย

พวกเรามีเวลาเที่ยวกันที่นี่เพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงนำภาพและเรื่องราวมาฝากสหายได้เพียงเท่านี้

<< ตอนที่แล้ว

ตอนต่อไป >>


[อ่าน ท่องเที่ยว เวียดนาม ตอนอื่น ๆ]



[ภาพ-เล่า-เรื่อง]


Create Date : 08 กรกฎาคม 2550
Last Update : 7 กรกฎาคม 2551 22:05:25 น. 16 comments
Counter : 4001 Pageviews.

 
ดูจบแล้ว รออ่านเรื่องต่อจ้า


โดย: หน้าม้าแถวบ้าน วันที่: 8 กรกฎาคม 2550 เวลา:1:58:49 น.  

 
เห็นแล้วคิดถึงเวียดนามขึ้นมาจับใจเลยครับ
ตอนผมเรียนจบเมื่อต้นปี ก็ได้แบกเป้ไปลุยเวียดนามเนี่ยแหละครับ

ถ้่าทางคุีณ จขบ จะเที่ยวเยอะไม่เบาน่ะครับ


โดย: เด็กผู้ชายที่ไม่แตะบอลตอนกลางวัน (kanapo ) วันที่: 8 กรกฎาคม 2550 เวลา:2:22:40 น.  

 
เอาไว้ผมจะไปเที่ยว ให้ได้สักวันครับผม...ลงบัญชีไว้ก่อน.


โดย: pompier วันที่: 8 กรกฎาคม 2550 เวลา:9:01:29 น.  

 
แวะมาเที่ยวเวียดนามค่ะ.... อยากไปมาก ๆ เลยค่ะ แต่ไม่มีโอกาสสักที....(ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง)....

ตอนแรกถ้าไม่เห็นว่าเป็นเวียดนาม พอเห็นชื่อวิหาร ก็พลอยคิดไปอย่างอื่นค่ะ....

เดี๋ยวรอให้จบแล้วจะมาใหม่ค่ะ....

ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่แวะไปทักทาย

ป.ล. เวลาจะมาบล็อก คุณPlin, :-p ทีไร.... ถ้าไม่เจอหน้าแบบนี้ (เจอหน้าสารบัญ)จะหาทางเข้ามาทักทายไม่เจอทุกทีเลยค่ะ ... งงค่ะ... เหอๆ

มีความสุขในวันหยุดนะคะ


โดย: largeface วันที่: 8 กรกฎาคม 2550 เวลา:11:06:48 น.  

 
ไม่แน่ใจว่าคนส่วนใหญ่ ที่เวียดนาม นับถือศาสนาพุทธ หรือเปล่าครับ


โดย: Eyes Open IP: 61.90.144.101 วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:9:28:38 น.  

 
ประเด็นอยู่ที่นับเอาลัทธิขงจื้อเป็นศาสนาหรือเปล่า หรือ ว่า จะนับเอาลัทธิเต๋าเป็นศาสนาหรือเปล่า

ที่จริงศาสนาพุทธเนี่ย เอาตามความหมายจริง ๆ ฝรั่งบางคนก็ไม่นับว่าเป็นศาสนา เป็นลัทธิเหมือนกัน สังเกตุได้ว่า ทั้งสามจะลงท้ายด้วย ism

โดยลัทธิขงจื้อ จะเรียกว่า Confusianism เต๋า ก็ Taoism พุทธ ก็ Buddhism ลองสังเกตุคริสต์กับอิสลามสิ ไม่ได้ลงท้ายว่า ism

พอเขาถือว่า Buddhism เป็น religion หรือ ศาสนาแล้ว บางคนเขาผนวกเอา Taoism กับ Confusianism ไว้กับ Buddism ด้วย ถ้าดูตาม website ต่างประเทศจะเห็นว่า เขาจะเขียนว่าเวียดนามมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลัก

อันที่จริงเวียดนามไม่ได้ประกาศศาสนาประจำชาติ อาจเพราะว่าเป็น communism เลยไม่ได้ประกาศ (แต่เหมือนว่าจะเคยประกาศพุทธไว้ แต่ยกเลิกไป จำปีแน่นอนไม่ได้)

เรื่องว่าคนเวียดนามนับถือขงจื้อกันมากนี้ เอามาจากไกด์ชาวเวียดนาม

มีแนวโน้มว่า ถ้าจะประกาศอีกครั้งอาจจะประกาศเป็น Confusianism แทน เพราะคนเวียดนามนับถือ ขงจื้อ ลัทธิบูชาบรรพบุรุษกันมาก แต่ไม่ได้ถูกยกว่าเป็นศาสนาสักที แล้วมักถูกรวมไปอยู่ในพุทธศาสนาเฉยเลย



โดย: Plin, :-p ตัวจริง ไม่ได้ login IP: 202.28.62.245 วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:13:01:39 น.  

 
ปล เหมือนไทยนั่นแหละ เราก็รู้อยู่ว่า คนไทยจริง ๆ แล้วไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่เป็น ลัทธิบูชาสิ่งเหนือธรรมชาติต่างหากล่ะ


โดย: Plin, :-p ตัวจริง ไม่ได้ login IP: 202.28.62.245 วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:13:02:38 น.  

 
ตามชมเวียดนามครับ


โดย: เขาพนม วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:23:48:38 น.  

 
ปีหน้าจะไปเวียดนามเหมือนกันค่ะ
เลยตามมาดูบ้านนี้เรียกน้ำย่อยไปพลางๆ


โดย: เเสงตะวัน วันที่: 15 กรกฎาคม 2550 เวลา:13:42:15 น.  

 
มาบอกว่าเข้ามาอ่านแล้วเด้อ
ยังคงหนีเรื่องหนักๆ ต่อไปเจ้าคร่า


โดย: vodca วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:20:09 น.  

 
ในภาพสุดท้ายนั้น ท่านชื่อ จู วัน อาน เป็นอธิการบดี วันเหมียว
หลังจากที่กษัติย์ ลี้ ถ่าย โต่ สถาปนาตนเองขึ้นครองราช ในปี 1010 ท่านก็ได้โปรดให้ย้าย เมืองจากฮวา ลือ มายัง ทังลองหรือฮานอยปัจจุบัน (ตามที่เเขาเล่ามาเขาบอกว่า ในสมัยจักรพรรดิ หลี้ถ่าย โต่ นั้น ล่องเรือมาตามแม่น้ำแดง บริเวณเมือง ด่าย ลาแถ่ง ซึ่งในขณะที่ท่านกำลังชมวิวอยู่นั้น ท่านก็มองเห็นมังกรบินขึ้นอยู่เหนือบริเวณเมือง ด่าย ลาแถ่งพอดี ท่านก็คิดว่ามันอาจจะเป็นนิมิตรหมายอันดี ท่านจึงโปรดให้ย่ายเมืองจากฮวาลือมายัง เมือง ด่ายลา แถ่ง แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น ทัง ลอง ซึ่งมีความหมายว่า มังกรผงาด หรือมังกร บิน นั่นเองครับ
ในช่วงที่ท่านข้นปกครองเ นั้นท่านได้ดูแล สนใจเกี่ยวกับการศึกษาเป็นอย่างดี เสริมส้รางให้ประชาชนมีความรู้และในสมัยราชวงศ์ลี้ ได้มีการจัดสอบเข้ารับราชการเป็นครั้งแรก ทเวียดนามี่เรียกกันว่า จ่าง เงวียน (Trang Nguyen)หรือ จองหงวนตามภาษาหนังจีนบ้านเรา จะเห็นว่าเวียดนามได้รับอิธิพลของจีนมามากอสมควร นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม ชื่อ โง สิ เลียน ได้บันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์เวียดนามที่ชื่อว่า ด่าย เวียดสือกี๋ ตว่าน ทือ ว่า ในเดือนแปด ฤดูใบไม้ร่วง ในสมัยพระเจ้า ลี้ ถ่ายโต่ มีการส้ราง วัน เหมียวขึ้น(1070)

เข้ามาเป็นกำลังใจให้นะคอรับ


โดย: Mashi (mashimaru_22 ) วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:1:37:31 น.  

 
อักษรที่เห็นในภาพ เขาเรียกกันว่า อักษรโนม
พัฒนาการของตัวอักษร เริ่มตั้งแต่อยู่ภายใต้จีนแผ่นดินใหญ่ เวียดนามรับเอาวัฒนธรรมจีนต่างๆมากมาย รวมทั้งเรื่องของอักษรเขียน ช่วงที่อยูภายใต้จีนเวียดนามก็ได้ใช้อักษรจีนในการบันทึกเรื่องราวต่างๆ เพราะอยากจะมีเอกราชเวียดนามก็ต่อต้านความเป็นจีนในด้านความเป็นจีนมากมาย รวมทั้งการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า จ้อ โนม(Chu Nom)เป็นการดัดแปลงมาจากอักษรจีน
ต่อมาเมื่อชชาติตะวันตกเริ่มเข้ามา เผื่อง่ายต่อการเผยแพร่ศาสนา พวกมิชชันนารีชาวตะวันตกเลยคิดตัวอักษร ก้วก กงือ ( Quoc Ngu)หรืออักษรประจำชาติ ขึ้นมาภายหลัง ครับ


โดย: เพิ่มเติมจากภาพรองสุดท้าย (mashimaru_22 ) วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:1:50:58 น.  

 
จื้อ โนม ไม่ใช่ จ้อ


โดย: ผิดไปครับ (mashimaru_22 ) วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:1:55:42 น.  

 
++ ดีจังเลย....นะ
++ มีคนเข้ามาช่วย post ให้ความรู้เยอะแยะเลย


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:14:59:57 น.  

 
ขอบคุณ คุณ mashimaru_22 ย้อนหลังนะครับ พอดีวันที่คุณมาตอบ ระบบยังไม่มีวิธี check ว่า มีคนมาตอบล่าสุดเมื่อไหร่

เจ้าของ blog นิสัยเสีย post แล้วไม่ค่อยเข้ามา check ว่า มีคนมาคุยด้วยหรือเปล่า ถ้าหากว่าเป็น post นานแล้ว

แม้ว่าตอนนี้ก็ยังไม่มีระบบ notify แต่ก็มีระบบช่วยให้ check ได้เร็วขึ้นว่ามีการเพิ่มการ comment หรือเปล่า


โดย: Plin, :-p วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:8:15:04 น.  

 
As a Newbie, I am always searching online for articles that can help me. Thank you
cheap snapbacks hats //www.sunriseventuresllc.com/services.html


โดย: cheap snapbacks hats IP: 94.23.252.21 วันที่: 2 สิงหาคม 2557 เวลา:21:12:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Plin, :-p
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]









Instagram






บันทึก ท่องเที่ยว เวียดนาม


e-mail : rethinker@hotmail.com


Friends' blogs
[Add Plin, :-p's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.