มิตรภาพหาได้ง่ายกว่าการเก็บรักษา
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
3 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
ชื่อนั้นสำคัญไฉน



..........ฮ่า where where it where where ครับ ถือว่าเป็นการชดเชยในช่วงที่หายไปแล้วกันนะครับผมเครื่องกำลังติดแว้วจะช้าอยู่ไยครับผม จากที่เมื่อสักครู่ผมได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะเล่าถึงที่มาที่ไปของชื่อให้ทุก ๆ ท่านได้ฟังกันครับผม คือ ส่วนใหญ่ชื่อต่าง ๆ ที่เราตั้ง ๆ กันเนี่ยมักจะมีความหมายหรือบ่งบอกถึงบางสิ่ง บางอย่างครับผม ดังชื่อของแสนพลพ่ายเองเนี่ยก็มีที่มาที่ไปเช่นเดียวกันครับผม โดยต้นกำเนิดของชื่อนึ้มีที่มาจากชื่อเก้าทัพ ครับผม หลายท่านคงอยากทราบใช่มั้ยครับว่าแสนพลพ่ายไปเกี่ยวอะไรกับเก้าทัพ ฮ่า ผมจะร่ายให้ฟังบัดเดี๋ยวนี้แล้วล่ะครับผม เอาล่ะครับคือ ก่อนที่แสนพลพ่ายจะปรากฎอยู่ในสาระบบของ bloggang เนี่ยแสนพลพ่ายก็เป็นคนปานกลางแสนธรรมดาอย่างที่ได้รายงานตัวให้ทราบกันไปแล้ว แต่หลังจากที่แสนพลพ่ายได้ไปชมภาพยนต์ ตำนานฯ กลับมาก็รู้สึกชิ่นชมในบรรดาเหล่านักแสดงทุกท่านที่ช่วยถ่ายทอดบทบาทออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้พันทั้ง 3 ท่าน (โดยเฉพาะ ผู้พันเบิร์ด กับผู้พันต้น ฮ่า) ก็เลยเริ่มหาข้อมูลครับผมด้วย google อย่างที่เคยได้เล่าให้รับทราบกันไปแล้ว ใน blog ที่ผ่านมาครับ


ตอนนั้นจำได้ว่า ใช้คำว่า พ.ต.คมกริช อินทรสุวรรณ ครับผม แล้วก็เข้าไปในแต่ละอันจนอันหนึ่งลิงค์ไปที่ ห้อง PPU ครับแล้วมีกระทู้อันหนึ่งครับ พูดถึง คุณเก้าทัพ ซึ่งในตอนนั้นที่ได้อ่านชื่อเก้าทัพ ก็รู้สึกชอบครับเพราะฟังแล้วดูยิ่งใหญ่ ดีครับผมและเดาเอาว่าคนใช้ชื่อนี้คงต้องรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไม่น้อยเชียวครับ และเก้าทัพนี้คง หมายถึง สงครามเก้าทัพเป็นแน่แท้ จนอ่านกระทู้จบจึงรู้ว่าคุณเก้าทัพ ก็คือ พ.ต.คมกริช อินทรสุวรรณ นั่นเอง 555 บังเอิญจริง ๆ


..........เอาล่ะหลังจากที่ทราบว่า พ.ต.คมกริช อินทรสุวรรณ ก็คือ เก้าทัพ แสนพลพ่ายจึงได้มีโอกาสเข้ามาที่ blog ของเก้าทัพครับ ซึ่งตอนนั้นประชาชนพลเมืองยังไม่เยอะนักครับ เนื่องจากในตอนนั้น คุณเก้าทัพยังไม่ได้สำแดงฝีมือในการเขียนอย่างเฉียบขาดออกมา (ยังไม่ได้เริ่มเขียน blog พระศรีฯกับตำนานฯครับผม) จนเมื่อเริ่มเขียน blog แล้วเราได้อ่านแล้วก็ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ อ่านแล้วติดครับผม ยิ่งอ่านก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าอยากเขียนบ้างจัง 555 สมัยนี้ดีจังมี blog แบบนี้ให้เขียนด้วย(ไม่รู้มาก่อนเลย เหมือนเพิ่งออกจากป่ามา) ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจให้คิดเขียนและมี blog เป็นของตัวเองบ้าง
ฮ่า ยิ่งอ่านก็ยิ่งปลื้ม ที่นี้การที่จะมี blog ได้เนี่ยก็ต้องเข้าไปสมัครกับ pantip ก่อน จะสมัครก็ต้องตั้งชื่อ เอาอะไรดีหว่าก็เริ่มคิดแล้วครับ (5555 จะเริ่มแล้วครับที่มา)


..........ก็อย่างที่บอกครับตัวผมน่ะเป็นคนชอบอ่านและชอบประวัติศาสตร์อยู่พอสมควร เมื่อได้อ่านคำว่าเก้าทัพ ก็ชอบทันที และทำให้นึกถึง สงครามเก้าทัพครับ ซึ่งสงครามนี้น่ะเป็นสงครามที่ทหารและรักษาดินแดนจะต้องรู้แน่นอนครับผม จำได้ว่าตอนเด็ก มาก ๆ ช่อง 3 เคยสร้างเป็นละครครับ ตอนนั้นชอบมากครับ ถึงตรงนี้ก็ขอให้รายละเอียดเกี่ยวกับสงครามเก้าทัพไว้สักนิดนึงนะครับ


สงครามนี้เกิดขึ้นหลังไทยได้รับอิสระภาพครั้งที่ 2 จากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ผ่านมา ๑๘ ปีหลังจากที่ไทยเป็นเอกราช ในปีพศ. ๒๓๒๘ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พม่าคิดจะตีไทย(อีกแล้ว)โดยมีพระเจ้าปดุงซึ่ง เป็นกษัตริย์ได้ ๓ ปีสั่งให้ยกกองทัพมาถึง ๙ ทัพรวมไพร่พลได้ ๑๔๔,๐๐๐ คน ยกเข้ามาตามด่านต่าง ๆ หวังจะตีไทยให้จงได้ ทางฝ่ายไทยรวบรวมกำลังพลได้เพียง ๗๐,๐๐๐ คนซึ่งจะเห็นว่าน้อยกว่าพม่าครึ่งหนึ่ง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงให้กองทัพใหญ่ไปตั้งรบอยู่บริเวณทุ่งลาดหญ้า จ.กาญจนบุรีกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท ทรงให้นำปืนใหญ่และปืนปากกว้างอย่างยิงด้วยท่อนไม้เป็นกระสุนไปตั้งเรียงยิงใส่หอรบพม่าหักและพังลงมา ทำให้พม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก ทรงจัดตั้งกองโจรโดยมีพระยาสีหราชเดโชชัย พระยาท้ายน้ำและพระยาเพชรบุรี คุมทหารไปซุ่มดักตัดเสบียงพม่า แต่ว่าพระยาทั้งสามทำการอ่อนแอไม่มีใจสู้ศึก กรมพระราชวังบวรฯจึงทรงดำรัสให้ประหารชีวิตทั้ง ๓ คนเสีย แล้วตั้งให้พระองค์เจ้าขุนเณรคุมทหารจำนวน ๑๘,๐๐๐ คนไปเป็นกองโจรซุ่มอยู่ที่ลำน้ำแควไทรโยค ด้วยความฉลาดของกรมพระราชวังบวรฯ จึงคิดอุบายให้แบ่งกองทัพทหารออกไปนอกค่ายในเวลากลางคืน พอรุ่งเช้าให้ถือธงทิวเดินทัพเข้ามาในค่าย ได้สร้างความครั่นคร้ามให้พม่าอย่างยิ่งเพราะคิดว่าไทยมีกำลังมากมาย รอเวลาจนเห็นว่าพม่าเริ่มอ่อนแอ-อดอยากกองทัพไทยจึงเข้าตีทัพที่ ๔และ ๕ ของพม่าจนพ่าย ยับหนีกลับไป ทางพระเจ้าปดุงทราบข่าวการพ่ายแพ้ของทัพทั้งสองจึงถอยทัพไป ยังเมืองเมาะตะมะ ส่วนทัพที่เหลือของพม่าก็ถูกกองทัพไทยตีแตกจนหมดสิ้น โดยในสงครามครั้งนี้ก่อให้เกิดวีรบุรุษและวีรสตรีหลายท่าน (เช่นท้าวเทพสตรี ท้าวศรีสุนทร หรือ คุณหญิงจันคุณหญิงมุก ที่จ.ภูเก็ต)
หลังจากนั้น ๑ ปี พศ.๒๓๒๙ พม่าก็ยกทัพมาแสนกว่าคนตั้งค่ายที่ท่าดินแดง และสามสบ จ.กาญจนบุรี สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงให้จัดกองทัพหกหมื่นคนไปตีพม่า รบกันอยู่ ๓ วันไทยตีค่ายพม่าได้ พม่าก็แตกพ่ายหนีกลับไป


..........ซึ่งจากการได้ชมละครในตอนนั้นชอบกรมพระราชวังบวรฯ มากหากจำไม่ผิดผู้แสดง คือคุณนก ฉัตรชัย เปล่งพานิชย์ครับผม โดยเมื่อโตขึ้นได้อ่านประวัติศาสตร์เพิ่มเติมก็ยิ่งมีความชื่นชมในพระปรีชาสามารถของกรมพระราชวังบวรฯ จึงคิดใช้ชื่อว่า วังหน้า โดยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้ยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราชแต่เปลี่ยนมาเป็นวังหน้าแทน ซึ่งกรมพระราชวังบวรฯในขณะนั้นทรงเป็นวังหน้าของ รัชกาลที่ 1 แต่ไม่สามารถใช้ได้เนื่องจากมีคนใช้ไปแล้ว (เสียดายจัง) ซึ่งเมื่อครั้งไปกาญจนบุรี มุ่งหน้าไปบ่อพลอย ก็มีพระรูปของกรมพระราชวังฯ ให้ประชาชนสักการะด้วยอยู่ในบริเวณค่ายสุรสีห์ (ติดกับถนนเลยครับ) เลยต้องคิดเพิ่ม


..........ก็คิดออกมาได้ทั้งหมด 3 ชื่อสิ่งทั้ง 3 ชื่อนั้นมีที่มาจากภาพยนตร์ตำนานฯ ทั้งสิ้น คือสุวรรณภิงคารจตุลังคบาท และแสนพลพ่าย โดยสุวรรณภิงคาร คือ น้ำเต้าทองที่สมเด็จพระนเรศวรใช้หลั่งทักษิโณทกประกาศอิสระภาพ จตุลังคบาท คือ ทหารที่ทำหน้าที่ป้องกันขาช้างทรงของพระมหากษัตริย์เวลาทำยุทธหัตถี


..........แสนพลพ่ายมีที่มาจากการกระทำยุทธหัตถีในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในปี พ.ศ. ๒๑๓๕ เมื่อพระเจ้านันทบุเรงได้ให้พระมหาอุปราชายกทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยา หวังจะเอาชนะให้ได้โดยเด็ดขาด สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทราบข่าวจึงยกทัพหลวงไปตั้งรับที่หนองสาหร่าย ซึ่งในการต่อสู้กันครั้งนั้น ระหว่างที่การรบกำลังติดพัน ช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระเอกาทศรถก็พากันไล่ล่าศัตรูอย่างเมามัน จนพาทั้งสองพระองค์ตกไปอยู่ในวงล้อมของข้าศึกโดยไม่รู้ตัว มีเพียงจตุลังคบาท(ผู้รักษาเท้าทั้งสี่ของช้างทรง)และทหารรักษาพระองค์เท่านั้นที่ติดตามไปทันซึ่งแม้จะอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แต่พระองค์ก็มีพระสติมั่น ไม่หวั่นไหว ทรงมีพระปฏิภาณว่องไวเกิดขึ้นโดยพระอุปนิสัยว่า พระองค์จะรอดได้มีเพียงทางเดียวคือ เชิญพระมหาอุปราชาเสด็จมาทำ ยุทธหัตถี ซึ่งพระองค์ก็สามารถกระทำยุทธหัตถีจนได้ชัยชนะอย่างสมพระเกียรติ โดยทรงใช้พระแสงของ้าวฟันถูกพระอังสะ(ไหล่)ของพระมหาอุปราชาจนขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์บนคอช้าง


..........ซึ่งพระแสงของ้าวที่ทรงฟันพระมหาอุปราชา มีชื่อว่า "เจ้าพระยาแสนพลพ่าย" ซึ่งเป็นชื่อที่มงคลเป็นอย่างยิ่งอีกทั้งยังเป็นชื่อที่เชื่อมไปยังเก้าทัพได้คือ ในสงครามเก้าทัพนั้น พม่าก็ยกไพร่พลกรีฑาทัพมาแสนสี่เศษโดยประมาณแต่ก็ต้องพ่ายแพ้ทัพไทยที่มีอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะเรียกว่าแสนพลพ่ายก็คงจะได้เช่นเดียวกัน ผมเลยเลือกที่จะใช้ชื่อนี้ครับผม ดังนั้น แสนพลพ่าย ก็คือ พระแสงของ้าวที่สมเด็จพระนเรศวรใช่ฟันพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ นั่นเอง


..........และนี่แหล่ะครับคือที่มาและความหมายของ ชื่อ แสนพลพ่าย ของผม





Create Date : 03 มิถุนายน 2550
Last Update : 3 มิถุนายน 2550 19:25:02 น. 2 comments
Counter : 4636 Pageviews.

 


โดย: "lemon japan" วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:14:39:15 น.  

 
รู้สึกว่าเราจะเจอเหตุการณ์คล้ายๆกันนะค่ะ

ไม่รู้เข้าไปเจอบล๊อคของคุณเก้าทัพได้ไง เห็นชื่อก็ชอบเหมือนกันเพราะเป็นคนสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ (สงครามเก้าทัพ) เห็นรูปตอนแรกยังไม่รู้ว่าเป็น พระศรีเลยนะ

บล๊อคของคุณเก้าทัพตอนนั้นต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิงค่ะ


โดย: "lemon japan" วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:14:59:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แสนพลพ่าย
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Color Codes ป้ามด
Friends' blogs
[Add แสนพลพ่าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.