เริ่มแรกเราก็ทำการจองตั๋วเครื่องบินกับเวบ Bkkfly.com ซึ่งเราก็ค่อนข้างแสกนมาดีแล้วว่าเป็นเวบที่เชื่อถือได้และ Agency ก็ค่อนข้างให้คำแนะนำได้ดี สามารถแนะนำตั๋วราคาถูกกับเราได้ โดยแนะนำว่าถ้าเป็นตั๋ว Transit ราคาจะถูกกว่าบินตรง ซึ่งแนะนำสายการบิน China eastern airline ซึ่งบินไปลงที่ผู่ตง เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเราต้องไปรอเปลี่ยนเครื่องประมาณ 2 ชม.ซึ่ง Ok ถ้าเทียบกับราคาที่ลดลงคนละ 3000 บาท เราไป 4 คนลดไปรวมกันเป็น 10,000 กว่าบาท เอาไว้เก็บไปหามื้อใหญ่ๆหรูๆกินที่นู่นดีกว่า(ณ ตอนนั้น เราคิดยังงี้ ไม่รู้คนอื่นคิดเหมือนเรารึป่าว5555) ราคาเพิ่มเท่านี้แต่แลกกับความสบายบางท่านอาจจะเลือกบินตรงมากกว่า แต่เราเลือก transit นอกจากประหยัดกว่ายังได้เที่ยว 2 ประเทศอีกตางหาก(แม้จะอยู่แต่ในสนามบิน)ว่าแล้วก็จองซะประมาณ 3 เดือนก่อนเดินทาง ไป-กลับ 16,250 บาท/คน

หลังจากจองตั๋วเครื่องบินแล้วเราก็มีเวลา 3 เดือนในการเตรียมตัวจองที่พัก หาสถานที่ท่องเที่ยว และเช็คสภาพภูมิอากาศ ณ เวลานั้น เพื่อเลือกเครื่องแต่งกายให้เหมาะสม(พร๊อพเราค่อนข้างเยอะกันพอสมควร) การจองที่พักทำได้ง่ายมากถ้ามีบัตรเครดิต เลือกเวบที่น่าเชื่อถือ และเป็นเวบของโรงแรมที่พักหรือเป็นเวบของญี่ปุ่นได้ยิ่งดี เพื่อการันตีว่าได้ราคาที่เป็น best price ไม่ชาร์ตนู่นนี่ อย่าง Rakuten.com ทำให้เราได้ที่พักที่ฟูจิราคาดี โดยถ้าเทียบกับจองผ่าน Agoda สำหรับที่พักที่เดียวกันประหยัดกว่าประมาณ 500 บาท การจองที่พักในโตเกียวเราเลือกเข้าพักแบบ Hostel เพราะเรากะแค่ใช้เป็นที่นอน ไม่ต้องการความสะดวกสบายมาก โดยเราจองที่พักโตเกียว 2 ที่ 3 คืนและพักฟูจิอีก 1 คืน

และก็ถึงวันเดินทางการเตรียมตัวเรื่องเสื้อผ้า ช่วงที่เราไปเป็นช่วงปลายเดือนมีนาคม เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศต่อจากช่วงฤดูหนาว อากาศเย็นประมาณ 10-12 องศา จะหนาวมากตอนกลางคืนและกลางวันอากาศจะร้อนมีแดด(เช็คข่าวจากพี่ที่เรียนอยู่ญี่ปุ่น) เสื้อที่เตรียมไปก็ไม่หนามากแต่ควรมีหลายชั้น เพราะถ้าเกิดเจออากาศร้อนจะได้ถอดได้ทีละชิ้น เตรียมรองเท้าบูท หรือรองเท้าผ้าใบ ไม่มีส้นนะ เพราะต้องเดินเยอะแน่นอนชัวร์ ส่วนเรื่องการเดินทางก็แพลนว่าจะไปเที่ยวไหนและศึกษาแผนที่รถไฟใต้ดินในโตเกียว ซึ่งเป็น item ที่ควรพกติดตัวตลอดระหว่างเดินทาง แผนที่รถไฟฟ้าใต้ดิน แผนเดียวจบขอได้ตามสถานีรถไฟฟ้าหรือจะปริ๊นมาจากในเวบ 

และแล้วก็ถึงวันเดินทาง จากสนามบินสุวรรณภูมิขึ้นเครื่องตอนตี 2(ทนง่วงเอาหน่อยอยากได้ไฟล์ทถูก) ถึงสนามบินเซี่ยงไฮ้ ผู่ตงหรือ Pudong (เรียกปูดอง)  มีบริการอาหารบนเครื่องบิน มีทีวีให้ดูหนังด้วย แต่ตี 2 ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว พอนั่งเอนก็หลับอย่างเดียว อาหารบนเครื่องก็จะมีให้เลือกระหว่าง Chicken noodle กับ omelet เลือกกับพี่ข้างๆคนละอย่างเพื่อจะได้แบ่งกันชิม ปรากฏเราเลือกไข่แต่ของพี่ข้างๆ Chicken noodle ซึ่งอร่อยกว่า พี่เค้าดูอร่อยมากเลยไม่กล้าแย่งกิน 555  

และก็มาถึงเช้าวันรุ่งขึ้น(07.00น.) พอลงจากสนามบินผู่ตง นั่ง Bus gate เข้ามาอย่างเลิศหรู สนามบินสวยงามมาก ใหญ่โตมาก มีร้านให้ช๊อปเยอะแยะมากมาย ระหว่างรอ transit ตอนนี้ขาช๊อปเครื่องสำอางค์ก็เปรียบเทียบราคากันสนุกสำหรับเราไม่ได้ซื้ออะไรเยอะ ก็ตามไปหาของกินร้านสะดวกซื้อ แอบถ่ายรูปสินค้าจีน สินค้าบ่งบอกว่ารับเงินเป็นสกุล RMB ก็ไม่แน่ใจว่าคือหยวนรึป่าว เลยไปถามพี่พนักงาน เรา speak english ครั้งแรกหลังออกนอกประเทศ do you accept for this ?ชูแบงค์ให้ดู She ตอบมาว่า This is RMB โอเคสกุลเดียวกัน ดีที่ได้เจ๊ออยแลกเงินหยวนมาเลยได้ซื้อซาลาเปานั่งกินรองท้อง (ไม่ค่อยหร่อยเท่าไหร่) และวิ่งหา free wifiของสนามบิน (ID PWD อยู่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์) เพื่อจะได้สื่อสารกะคนที่บ้านว่า ตอนนี้ถึงจีนแล้วนะ check in Pudong ดีกว่าาา แต่ wifi เจ้ากรรมดัน lock อะไรไว้สักอย่าง Check in ก็ไม่ได้ upload ก็ช้า ยังไม่ทันจะโหลดอะไรก็โดนเรียกขึ้นเครื่องซะล่ะ ไม่เป็นไร Next Station Narita ละ ตื่นเต้นๆ

เครื่องบินจากผู่ตงไปนาริตะ ก็ลำใหญ่พอสมควรแอร์บนเครื่องกล่าวต้อนรับเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย วีทีอาร์แนะนำกรณีฉุกเฉินก็เป็นภาษาญี่ปุ่น ยังมีหน้าจอไว้ดูทีวี เล่นเกมส์และศึกษาแผนที่ เที่ยวนี้ไม่ง่วงแล้วก็เลยลองเล่นสักหน่อย ได้ดูหนังสักแป๊บก็มีของว่างมาเสริฟ เป็นเกี๊ยวซ่านึ่งไส้กุ๊ยช่าย(อย่างชอบ กินแต่ไส้เหมือนเดิม เหลือแป้งทิ้งไว้) รู้สึกว่าเบาะจะกว้างกว่าเครื่องลำแรก(คิดไปเองรึป่าว หรือเพราะได้นั่งริม) เวลาเดินทาง 2 ชม.ก็ถึง Narita Airport พร้อมตะลุยโตเกียวแล้วจ้า!!!!

หยิบเสื้อหนาวออกจากกระเป๋า ผ้าพันคออีก 1 ผืน ใครเตรียมตัวมาดีก็รอดไป เพราะอุณหภูมิลดลงมาก โคตรหนาว จริงๆหนาวตั้งแต่เมืองจีนแล้วล่ะ มาถึงญี่ปุ่นก็มีแดดบ้างคงเป็นเพราะตอนกลางวัน สาวๆในทริปเริงร่ามาก ไม่คิดว่าจะได้มายืนที่นี่ 3 เดือนที่แล้วยังคิดกันแค่ว่า หรือจะไปแค่หลีเป๊ะกันดี ญี่ปุ่นคิดไกลไปมั๊ย แต่ ณ บัดนี้เราได้มายืนแล้ว ก็ได้ Check in ถ่ายรูป wifi ที่นาริตะ เป็น free wifi เร็วกว่าจีนมาก (ก็ญี่ปุ่นนี่เนอะ) ก็ผ่านตม.(ฉิวๆอ่ะ ไม่ถามไรสักนิดเดียว)และก็รับกระเป๋าสัมภาระมีกันคนละใบ ที่แรกที่เราจะไปก็คือ รับ Pocket wifi ที่ Post office ชั้น 3 ที่พี่ฟ้าจองผ่านทาง Net ใช้ง่ายสะดวกรวดเร็วให้เราไม่ขาดการติดต่อตลอดการเดินทาง net อย่างเร็ว อัพโหลดกระจาย ตก 5 วันคนละประมาณ 400 บาทเท่านั้นเอง หลังจากรับ Pocket wifi ก็ถึงเวลาการงัด skill เอาตัวรอดและข้อมูลการเดินทางที่ได้สะสมมา บอกเลยว่าไม่ตื่นเต้นสักนิด เพราะข้อมูลที่เตรียมมาแน่นปึ้ก เหมือนมารอบที่ 3 (ก๊ากๆๆๆๆ) 

เริ่มแรกเราก็หาทางลงไปชั้นใต้ดินซึ่งมี Railway เข้าเมือง Tokyo ย่าน Asakusa(ที่พักคืนแรกของเรา) รถไฟสายที่เราจะไปคือ Keisei skyliner access ซึ่งเป็นรถไฟจาก นาริตะไป สนามบินฮาเนดะ ซึ่งจะผ่าน Asakusa โดยไม่ต้องเปลี่ยนสาย ราคาแค่ 1240 เยน ประมาณ 400 กว่าบาท รอขึ้นที่ชานชาลาตามตั๋วที่ซื้อ แล้วก็รอรถคันที่จะขึ้น การไม่ขึ้นรถผิดคันทำได้ง่ายมาก แค่ดูจาก www.hyperdia.com เช้คเวลารถเพียง searchจากที่นี่ ไปไหน รถไฟสายที่จะไป เวบจะบอกเลยมาถึงกี่โมง เพราะรถไฟที่ญี่ปุ่นมาตรงเวลามาก เช่น 14.32 นาที ปั๊บรถไฟก็มาจอดข้างหน้าก็ขึ้นได้ทันที นั่งรถไฟขบวนนี้แปลกมากไม่เจอกรุ๊ปคนไทยเลย (แล้วเค้าไปขึ้นอะไรกัน) คนญี่ปุ่นขนาบ 2 ข้าง ทั้งโบกี้ก็มีแต่คนญี่ปุ่น รถไฟขับผ่านย่านที่ดูเป็นชานเมือง มีภูเขา แม่น้ำ บ้านเรือน ก็ดูวิวเพลินๆนั่งสบายๆชิวๆ 55 ไม่ถึง ชม. ก็มาถึงสถานี Asakusa !!!

(คลิกเพื่ออ่านตอน 2) >>>คลิก