กรกฏาคม 2559

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
Germany & France "Cute Little Towns" June 2016 : Chapter 1 Neuschwanstein Castle


สวัสดีค่าาาาาาาาา

กลับมาแล้ว ฮืออออออออออ

ช่วงนี้เสียทรัพย์กับสินค้า IT เยอะเหลือเกิน เริ่มจาก external hdd พังจนต้องไปซื้อใหม่ 2 ลูกด้วยกัน

ลูกแรกใช้ wifi อัพช้าไม่ทันใจ ต้องไปซื้ออีกลูกที่ต่อด้วย usb แทน กว่าจะได้ทำรูป กว่าจะอะไร...

นั่นแหล่ะค่ะ เกือบปลายเดือนพอดี เลทไปอีก ไม่มีอะไรจะแก้ตัว - -"

เข้าเรื่องละกัน...

เหมือนเดิมค่ะ บางรูปในบล็อกนี้ได้มีการส่งขายตามเอเจนซี่หลายๆ ที่แล้ว

ดังนั้นหากต้องการนำไปใช้และรูปนั้นส่งขายไปแล้ว รบกวนตามไปอุดหนุนที่เว็บเอเจนซีแทนนะคะ

ส่วนรูปอื่นๆ นั้น กรุณามาขออนุญาตกับเราก่อนค่อยนำไปใช้ (ที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์) นะจ๊ะ


===============================================

Day 1 : June 9, 2016

เช้านี้เราต้องออกเดินทางกันตั้งแต่หกโมงเพื่อเช็คอินค่ะ ครั้งนี้ใช้บริการของ Turkish Airlines แน่นอนว่าต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่อิสตันบูล ซึ่งก่อนหน้านี้ 2 วันมีจราจลในเมืองอิสตันบูลพอดี ทำเอาหนาวๆ ร้อนๆ เลยทีเดียวเพราะช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก เราภาวนาว่าอย่าให้เกิดอะไรขึ้นระหว่างเดินทางก็พอแล้ว

ก่อนออกจากคอนโด เราลืมการ์ดคอนโดไว้ไหนไม่รู้หาไม่เจอ เรียก uber ตั้งแต่หกโมงเช้า แต่ 6.30 ยังลงจากคอนโดไม่ได้เลย เหงื่อแตกรัวมาก ไม่มีใครลงมาจากชั้นที่สูงกว่าเราเลย สุดท้ายเรียกพี่ยามขึ้นมารับ แต่ก็มาพร้อมคนที่ลงจากชั้นสูงกว่าพอดี - -"

สุดท้ายก็หาคีย์การ์ดเจอนะคะ อยู่ในกระเป๋าเป้นั่นแหล่ะ งี่เง่า!!!! 

เหตุการณ์ตื่นเต้นจบลง พี่ผู้หญิงคนขับ uber ก็ช่างน่ารัก ช่วยยกกระเป๋า ช่วยเข็นรถเข็นกระเป๋ามาให้ น้องพนักงานที่เค้าเตอร์เช็คอิน TK ก็ดีแสนดี เลือกที่นั่งให้ใหม่ พูดคุยอย่างดี (เหมือนรู้ว่าซวยมาแล้วเมื่อเช้า)

หันหลังมาเจอคุณแฟนนั่งรอเซอร์ไพรสอีก T_T เอาน่ะ..เริ่มต้นทริปมามันก็ไม่แย่หรอกเนอะ...



ถ้านับจากกำหนดการของพี่แป๋วแล้ว ทริปต้องเริ่มวันที่ 10 ค่ะ คือบินไปวันที่ 10 แล้วเที่ยวบ่าย/เย็น ขึ้นอยู่กับไฟลทบินของแต่ละคน (คือไม่ต้องบินพร้อมกันก็ได้)

เราเลยเลือกที่จะบินก่อน 1 วัน ส่วนวันที่ 10 เราจะไปเที่ยวปราสาทนอยชวานสไตน์แทน มันเป็น bucket list ของเราน่ะค่ะ คุยไปคุยมา ทุกคนมาตั้งแต่เช้าวันที่ 10 เราเลยต้องลุยเดี่ยวไปซะอย่างนั้น หวั่นใจเล็กน้อยแต่คิดว่าคงไม่เป็นไร

ทริปต่างประเทศครั้งแรกของปีนี้ มีเรื่องดีงามอยู่บ้าง คือแท่นชาร์จขนาดยักษ์ตามเกทแต่ละเกท ดีมากกกกกกกกกก รอคอยมานาน




ครั้งแรกกับ Turkish Airlines ค่ะ แอบหาข้อมูลมาก่อนว่าบนเครื่องเป็นยังไงบ้าง รู้มาว่าแจก Amenity kit ให้ทุกคน แอบดีใจเลย :D





ตอนแรกไม่ได้นั่งริมหน้าต่างค่ะ พอเครื่องเริ่ม push back หลายคนก็เริ่มย้ายที่นั่งกันเพราะเครื่องโล่งมาก คนที่นั่งริมหน้าต่างตอนแรกก็ย้ายไปค่ะ เราเลยยึดเลย อิอิ



TK นางเป็น official partner ของภาพยนตร์เรื่อง Batman vs Superman : Dawn of Justice ค่ะ นางเลยได้สิทธิ์ฉายหนังบนเครื่องบินเป็นเจ้าแรก แล้วโฆษณาได้ดั่งใจนึกเลยทีเดียว 





เทคออฟไปได้สักพัก งานเสิร์ฟเริ่มมา อย่างแรก.... Turkish delight ขนมขึ้นชื่อของตุรกี



ผสมถั่วด้วย เหมือนขนมเหนียวบ้านเรา ใครแพ้ถั่วควรหลีกเลี่ยงนะ

สักพักแจกเมนูอาหาร...ไฟลทนี้มี 2 มื้อ




เนื่องจาก TK เป็นสายการบินประจำชาติตุรกี ศาสนาประจำชาติคืออิสลาม ดังนั้นตัวเลือกจึงเป็นเนื้อวัวกับไก่นะคะ และไก่มักจะหมดก่อนเพื่อน ใครไม่ทานเนื้อต้องระวังตรงนี้ด้วยนะ (กับสายการบินแขกทุกสายเลยค่ะ)

สิ่งที่เรารอคอยก็มาถึง... Amenity kit



ข้างในมี... slippers (รองเท้าใส่ในบ้าน) ถุงเท้า 1 คู่ ลิปมัน ear plug แปรงสีฟันพร้อมยาสีฟันและที่ปิดตาค่ะ


ส่วนตัวคิดว่าลิปมันไม่ค่อยเวิร์คนะ มันไม่ลื่นเท่าไหร่ แปรงสีฟันกะยาสีฟันคงเฉยๆ มั้ง (ไม่เคยใช้ของแถมเลย)

มาถึงอาหารมื้อแรกกันบ้าง อย่างที่บอกไป ไก่จะหมดก่อนเพื่อน เราทานเนื้อได้จึงไม่มีปัญหาตรงนี้ค่ะ ลืมถ่ายอาหารข้างใน เป็น Stir-fried beef ที่อร่อยมากกกกกกกกกกกกก ครัวการบินไทยดีงามจริงๆ อร่อยวัวตายควายล้ม อร่อยจนประทับใจเลย ปกติอาหารบนเครื่องไม่ค่อยอร่อยเนอะ แต่อันนี้ดีมากค่ะ กราแตงมันฝรั่งก็อร่อยเฟ่อออออออ หูยยยยยยย สุดยอดไปเลย





ช้อนส้อมมีดหน้าตาแบบนี้ค่ะ ลงทุนมาก

มื้อที่สอง เป็นเพนเน่กับฟักทอง อร่อยไปอีกแบบ





อาหารตุรกีจะเน้นชีสๆ เค็มๆ เลี่ยนๆ หน่อยนะคะ สลัดก็กินกับชีสเปรี้ยวๆ รสชาติจัดจ้านพอสมควร




ใกล้แลนดิ้งแล้ววววว

เราต้องอยู่ต่อเครื่องอีกราวๆ 2 ชม.ค่ะ ถึงสนามบินหกโมงเย็น บินอีกทีสองทุ่มกว่า (เรามองผิดนึกว่าเป็นเวลาที่ถึงมิวนิค) 

เยอรมันช้ากว่าตุรกี 1 ชม. บินไปอีกเกือบสองชม. ไปถึงก็ราวๆ สามทุ่มกว่าค่ะ

สนามบิน Ataturk ตุรกี มีสายการบินประจำชาติอย่าง Turkish Airlines ก็เรียกว่าทำหน้าที่เป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศได้อย่างดี มีของดีประจำชาติเป็น Turkish Delight มาให้ชิมถึงบนเครื่อง ใครติดใจใคร่หาซื้อเป็นของฝากก็หาได้ที่สนามบินนี่แหล่ะค่ะ ราคาก็จะแตกต่างกันออกไป



หยิบชิมได้ แต่อย่าโกยลงถุงกลับบ้านนะคะ = ="

มีหลายรสหลายยี่ห้อให้เลือก ชอบรสไหนเลือกซื้อกันได้ หรือถ้าอยากได้หลายรสก็แนะนำซื้อเป็น value pack แบบ 4 กล่องได้ค่ะ ราคาจะถูกลงมาหน่อย ขึ้นอยู่กับไซส์ของกล่องด้วย ถูกสุดราวๆ 18 ยูโร (กล่องเล็ก) เอ้อ..ที่นี่ซื้อขายกันเป็นเงินยูโรนะคะ ถ้าไม่มีเงินตุรกี

สนามบินนี้ไม่ค่อยมีอินเตอร์เน็ตให้ใช้ค่ะ จะใช้ได้ตามร้านอาหารเอา พูดง่ายๆ คือต้องเสียเงินซื้ออะไรของเค้านั่นแหล่ะถึงจะใช้ wifi ของเค้า นอกนั้นก็นั่งตบยุงไป บางจุดบอกว่ามีเน็ตฟรีให้ใช้แต่ก็ต้องเสียเงินอยู่ดีนะคะ (บอกทำไมว่าฟรี)




ดินเนอร์บนเครื่อง จำเมนูไม่ได้แต่เป็นไก่อบแห้งๆ กับข้าว ฝืดคอมาก เทียบกับครัวการบินไทยแล้วสู้ไม่ได้เลย


ตัวเราค่อนข้างลุ้นกับการมาเยอรมันคนเดียวมากเพราะเป็นผู้หญิงไทย โสด เดินทางเดียว เป็นกลุ่มเสี่ยงที่แม้ว่าจะได้วีซ่ามา ตม.ก็อาจจะพิจารณาส่งกลับก็ได้ เพราะฉะนั้นเอกสารการเดินทางจึงสำคัญมาก เราเตรียมตารางการเดินทาง โรงแรมที่พัก เบอร์ติดต่อ รวมถึงตั๋วรถไฟสำหรับเดินทางเอาไว้ด้วย ตม.ถึงคลายใจปล่อยออกมาจากสนามบินค่ะ 555 

สนามบินที่ดีและทันสมัยมักจะมีระบบการคมนาคมที่สะดวกทั่วถึงนะคะ สนามบินมิวนิคเองก็เป็นเช่นนั้นเข้าถึงได้ทุกเส้นทาง ป้ายบอกทางก็ดูไม่ยากสามารถเดินตามป้ายได้เลย ตู้ซื้อตั๋วก็ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนจนเกินเข้าใจ ที่สำคัญเวลารถเข้า-ออกก็เป๊ะมาก ไม่มีเลทสักนาที เรารักเยอรมันก็ตรงนี้

คืนนั้นพี่แป๋วบอกทางให้เราขึ้นรถไฟไปโรงแรมเองค่ะ โดยพี่แป๋วจะไปรอรับที่สถานีรถไฟ Munich hbf หรือ Central station 

เราติดต่อซื้อซิมจากไทยเพื่อใช้ต่อเน็ตในยุโรปจาก instasim สามารถเปิดใช้งานได้ทันที เป็นเน็ตซิมอย่างเดียวนะคะ ใช้โทรไม่ได้

เราคุยกันเล่นๆ เรื่องรถไฟ พี่แป๋วบอกว่า นิสัยของคนประเทศนั้นๆ เป็นยังไงให้ดูจากรถไฟนี่แหล่ะ 

เยอรมัน ญี่ปุ่น จะเป๊ะมาก ออกตรงเวลาไม่มีเลท แก้ไขกันตรงนั้นเลย แจ้งให้ผู้โดยสารทราบ
อิตาลี ชิลมาก รถไฟไม่ออกตรงเวลา รถบัสจอดบ้างไม่จอดบ้าง (มีโจรก็ไม่ช่วยดูแลนะ ปล่อยมันหากินไป)

รถไฟสายที่จะเข้าสนามบินมีสายที่ 1 และ 8 ค่ะ เวลาผิดกันแค่ 5 นาทีไม่เกินนี้ อยู่ที่ว่าเราจะนั่งวนทางไหนน่ะค่ะ แนะนำให้ดูเวลาที่น้อยที่สุดก็พอ และทั้งสองสายนี้ก็วิ่งเข้า Munich hbf เหมือนกันด้วย

เราวิ่งเข้าสาย 8 แล้วเดินออกมาเพราะไม่แน่ใจ สุดท้ายเลยต้องรออีกสิบนาทีเพื่อขึ้นสาย 1 แทนซะอย่างนั้น เสียเวลานอนไปอีกสิบนาทีกว่า = =

Munich Central Station เหมือนสถานีรถไฟหลักใจกลางเมืองของมิวนิคเลยค่ะ เป็นทั้งสถานีรถไฟใต้ดินและรถไฟบนดินที่วิ่งออกไปเมืองอื่นด้วย เดินงงๆ ก็หลงได้เหมือนกัน

คืนนี้เราพักกันที่ Jaeger's Hostel อยู่ห่างแค่ถนนกั้นจากสถานี Munich hbf เอง...

ขึ้นชื่อว่า Hostel เนอะ จะเป็นที่พักแบบหอพักกึ่งโรงแรม เด็กวัยรุ่นจะเยอะ มีบาร์เบียร์ ที่พักราคาไม่แพงจึงไม่เหมือนโรงแรมจำพวก full service ราคาแพงส่วนมาก ใครมองหาความสบายให้มองข้ามตัวเลือกนี้ไปค่ะ

ที่นี่ดีอย่างนึงคือสิ่งอำนวยความสะดวกมีเยอะ เช่น ตู้ล็อกเกอร์ฝากของ ตู้ขายน้ำอัตโนมัติ เครื่องซักผ้า มีฟรี wifi (ที่ต่อไม่ค่อยติด) มีบาร์เบียร์ ห้องอาหาร front 24 hrs ฯลฯ

ห้องพักที่ Jaeger's Hostel คืนนี้เป็น 2 single bed with private bathroom ค่ะ สรุปสั้นๆ ดังนี้

1. มีทีวี ตู้เสื้อผ้า ปลั๊กไฟให้ 

2. ห้องน้ำส่วนตัว ประตูห้องน้ำแล้วแต่เวรแต่กรรม ไม่ได้เป็นบานกระจกชั่วคราวแบบนี้ทุกห้อง มีสบู่ แชมพูให้ พร้อมไดร์เป่าผม

3. มีฮีตเตอร์ ไม่มีแอร์ เปิดหน้าต่างเอา

4. ชั้น 4 มี wifi บ้างไม่มีบ้าง เชียร์บอลเสียงดังเสียงก็ทะลุขึ้นมาได้

5. ห้องค่อนข้างแคบ ไม่เหมาะสำหรับช้อปปิ้งเยอะๆ แค่กระเป๋าคนละใบยังเดินลำบาก

6. ที่นอนโอเค หมอนแล้วแต่เวรกรรม เละเป็นโจ๊กจนไม่น่าใช่หมอนก็มี ประเภทแรนด้อมเอา

คิดซะว่าซุกหัวนอน พรุ่งนี้ก็เดินทางก็พอค่ะ - -

=============================================

Day 2 : June 10, 2016

วันนี้ทุกจะเริ่มทยอยเดินทางมาเจอกันค่ะ แต่เราวางแผนจะไป Fussen เพื่อขึ้นรถไปปราสาทนอยฯ เย็นค่อยกลับมิวนิคไปเจอทุกคนที่เหลือ

เช้านี้เราทานอาหารเช้าที่โฮสเทล ราคา 4.98 Euro หรือก็ 5 Euro น่ะแหล่ะ (แกไม่ยอมทอนเศษ) ถือว่าเป็นราคาที่เรารับได้ ไม่แพงมากเพราะถ้าซื้ออะไรมากินเองก็คงไม่ต่างกัน เผลอๆ แพงกว่าด้วย



บาร์เบียร์ของที่นี่ค่ะ ส่วนของอาหารเช้าก็เดินเลยเค้าเตอร์นี้ไปนี่แหล่ะ เอาใบเสร็จค่าอาหารเช้าส่งให้พนักงาน เราจะได้จานชาม แก้วน้ำ ช้อนส้อม 1 ชุดเพื่อไปตักอาหารค่ะ



ไม่ค่อยหิวเลยตักมาแค่นี้... ชาไม่อร่อยเลย เข้มเกิน

รถไฟเราเป็นรอบ 7.58 น. เดินทางไปเมือง Fussen เป็นครั้งแรกอีกแล้วที่ต้องเดินงงในสถานีรถไฟมิวนิค ด้วยความที่เราก็เดินทางมาพอสมควรเนอะ skill การสังเกต การอ่านป้ายก็น่าจะใช้ได้อยู่ อาศัย common sense ส่วนตัวก็พอถูไถไปได้

ในที่สุดเราก็ไปถึงชานชาลารถไฟของเราจนได้ อ่านป้ายให้ถูกนะคะ ชานชาลาอะไร ออกเวลาไหน ถ้าเลยเวลาที่ระบุไว้แปลว่ารถออกไปแล้วเน้อ (มีคุณลุงคนนึงเดินมาถามชานชาลา ปรากฏว่าเลยเวลาไปเรียบร้อยแล้ว คุณลุงตกรถไปแล้วนั่นเอง...)



ขึ้นให้ถูก class นะ ซื้อ 2nd class แต่เดินไปนั่ง 1st class ระวังโดนปรับนะคะ



รถไฟดีมาก สะอาดสะอ้าน มีห้องน้ำ มีคนเดินเก็บขยะในถังตลอดทาง และคนตรวจตั๋วจะเดินตลอดทุกสถานีที่จอด





โชคดีมาก อากาศดี มีแดด อากาศไม่ร้อนมากแค่เหงื่อพอซึม (เพราะหลังจากนี้จะไม่เจอแดดอีกเลย)



สำหรับตั๋วรถไฟของเยอรมัน ซื้อได้ที่ bahn.de นะคะ ลองเช็คและเปรียบเทียบกับตั๋ว bayern ticket ด้วยนะคะว่าอันไหนถูกกว่ากัน แต่อันนี้เทียบกันแล้วต่างกันไม่มากเลยขออันนี้ละกัน เพราะตั๋ว bayern มีราคาพิเศษแต่เฉพาะรถไฟรอบหลังเก้าโมงเช้าเป็นต้นไป เรากลัวว่าจะเที่ยวไม่ทันเลยยอมจองแยกจากตั๋ว bayern มารอบเช้า 7.57 น.แทน ไปถึง Fussen ก็สิบโมงพอดี 

จองตั๋วรถไฟทุกครั้งต้องพริ้นท์ลงกระดาษไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ด้วยนะคะ มี QR code ในมือถือก็จริงแต่พนักงานอยากให้ใช้กระดาษมากกว่าค่ะ กันเนียนมั่วไรงี้ มีแสตมป์เป็นหลักฐานด้วย

หรือถ้าไม่อยากจองหน้าเว็บไซต์ก็ไปซื้อได้ที่เค้าเตอร์ขายตั๋วที่สถานีรถไฟนะคะ รถไฟเส้นนี้ไม่มีระบุหมายเลขที่นั่ง ไม่ต้องกลัวเต็มค่ะ (แต่ถ้าไปช่วงเทศกาลก็ควรจองล่วงหน้านะ)





เมื่อถึงเมือง Fussen แล้ว ให้เดินตามฝูงชนกลุ่มใหญ่ไปขึ้นรถบัสเพื่อขึ้นเขาไปซื้อตั๋วเข้าชม Neuschwanstein กับ Hohenschwangau castle ค่ะ จำราคาตั๋วรถบัสไม่ได้แต่ดูหน้ารถให้ถูกคันนะคะ 

ตอนเราไปขึ้น คนจีนเยอะมาก รถเต็มขนาดที่ว่าที่นั่งเต็ม ที่เหลือให้ยืนกันเลยทีเดียว

ตัวรถบัสจะผ่านหมู่บ้านระหว่างทางตลอดสาย ใครมีเวลาว่างได้นอนค้างที่เมือง Fussen ก็มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่างนะคะ trekking จักรยาน เดินเที่ยวในเมืองก็ยังได้ค่ะ เมืองเล็กนิดเดียวแต่กิจกรรมเยอะเลย


รถจะมาจอดตรง bus stop นะคะ มีตั๋วขายและห้องน้ำให้เข้า ตู้หยอดเหรียญสีเหลืองที่อยู่ข้างหน้าคือตู้ขายแสตมป์ค่ะ สำหรับติดโปสการ์ดใบละ 90 cents ซึ่งที่นั่นมีที่ขายแสตมป์แค่ที่เดียวเอง ตอนที่เราจะกลับ แสตมป์หมดไปเรียบร้อยแล้ว - -


คิวซื้อตั๋วค่อนข้างยาว และเลือกชมปราสาทได้เฉพาะตามเวลาที่ระบุไว้ในตั๋วเท่านั้น โดยหน้าห้องขายตั๋วจะมีบอกเวลาที่ว่างสามารถเลือกได้อยู่ค่ะ แต่เราจะได้รอบไหนขึ้นอยู่กับว่าคนเยอะแค่ไหน เลือกภาษาอะไรค่ะ พนักงานขายจะเป็นคนเลือกให้เอง

เราเลือกตั๋วแบบ combination Hohenschwangau + Neuschwanstein castle ราคา 23 euro 



ด้านหลังนี้เป็นปราสาท Hohenschwangau ค่ะ ขึ้นได้สองทาง ด้านหลังร้านขายของที่ระลึกก็เป็นอีกที่ทางขึ้นได้ แน่นอนว่าเดินขึ้นเขานะ เรางี้หอบแฮ่กเลย = =

การจะขึ้นเขาชมปราสาทมีหลายวิธี เดิน รถม้า รถบัส แล้วแต่เวลาและกำลังทรัพย์ ส่วนของ Hohenschwangau เดินกับรถม้าเท่านั้นค่ะ



เดินไป ชมวิวไป ถ่ายรูปไป ชิลๆ กำลังสบาย





ร่มรื่นมาก อิจฉาลุงป้าคู่นี้ = =



มองไปทางขวา เห็นทะเลสาบ Alpsee ด้วย





ในนี้มีไกด์ 2 ภาษานะคะ เยอรมันกับอังกฤษ ยังเป็นไกด์เดินนำอธิบายไปพลางๆ

Hohenschwangau เป็นหนึ่งในปราสาทของ King Ludwig II แห่งแคว้นบาวาเรียเคยพำนักในวัยเยาว์ โดยมีพระบิดาของพระองค์หรือ King Maximillian II ทรงเป็นเจ้าของ อยู่ทางตอนใต้ของเยอรมัน ตัวปราสาทเป็นสีเหลืองอ่อน ขนาดกระทัดรัดไม่ใหญ่มาก (เมื่อเทียบกับ Neuschwanstein ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม) 

เมืองที่เรามาเป็นหมู่บ้าน Hohenschwangau ชื่อเดียวกับปราสาทค่ะ อยู่ใกล้กับเมือง Fussen และอยู่ใกล้กับชายแดน Austria มากเพียงแค่ข้ามเขาไปก็ถึงแล้ว 

Hohenschwangau ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในปี 1397 ภายใต้ชื่อ Schwanstein ซึ่งภายหลังในศตวรรษที่ 19 มีการสลับชื่อกันระหว่างสองปราสาทค่ะ ในยุคแรกๆ ยังเป็นแค่ป้อมปืนใหญ่เท่านั้นและได้ผลัดเปลี่ยนมือมาเรื่อยๆ จนถึงยุคของคุณปู่ King Maximillian I ได้ขายปราสาทหลังนี้ไปและได้ King Maximillian II ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานซื้อกลับมาในปี 1832 ได้ซ่อมแซมและเข้าไปอยู่แทนที่ปราสาทอีกหลังตามความประสงค์ของพระบิดาของพระองค์

Hohenschwangau เป็นปราสาทที่เอาไว้มาพักผ่อนฤดูร้อนและฤดูล่าสัตว์ค่ะ ตัว King Maximillian II Queen Marie of Prussia และลูกๆ 2 คน คือ Ludwig (King Ludwig II of Bavaria) และ Otto (King Otto I of Bavaria) โดย King และ Queen จะพำนักในตัวปราสาท ส่วนลูกๆ ทั้งสองนอนในส่วนต่อเติมค่ะ

ราชินีมารีทรงโปรดการปีนเขามาก ไกด์เล่าว่า ภูเขาแถบนี้พระนางปีนมาหมดแล้ว พระนางช่างสตรองยิ่งนัก... แม้แต่รูปประดับภายในปราสาทยังมีรูปพระนางมารีแต่งองค์ทะมัดทะแมงเลยค่ะ

ต่อมา King Max II (ย่อชื่อไปอีก) ประชวรได้ 3 วันก็สิ้นพระชนม์ King Ludwig II ในวัย 18 ชันษาได้ขึ้นครองราชย์และย้ายเข้าไปในอยู่แทนที่พระบิดา ส่วน Queen Marie ก็ยังคงอาศัยอยู่ในปราสาทเช่นเดิมในช่วงฤดูร้อน 

ตัว Ludwig เองนั้นชื่นชอบ Wagner มาก ทั้งละครเวที บทประพันธ์ทั้งหลาย ภายในปราสาทบางส่วนจึงมีภาพวาดตามเรื่องราวบทประพันธ์ของ Wagner ด้วย 

King Ludwig II นั้นไม่ได้แต่งงานค่ะ เดิมทีได้หมั้นหมายกับDushess Sophie Charlotte แห่ง Austria ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติกับพระนาง Sisi (ดูภาพและเรื่องราวของพระนางได้ในบล็อกปีก่อนที่เวียนนานะคะ) แต่ภายหลังได้ยกเลิกการหมั้นไปเพราะไม่มีวี่แววจะได้อภิเสกจริงๆ สักที (หมั้นเดือนมกราคมและเลื่อนไปเรื่อยๆ จนพ่อฝ่ายหญิงถอนหมั้นในเดือนตุลาคม) พระองค์จึงอยู่เป็นโสดจนถึงวาระสุดท้ายค่ะ แต่มีหลักฐานบางอย่างบ่งบอกว่าพระองค์เป็นเกย์แต่ก็มิได้แสดงออกอย่างชัดเจนแต่อย่างใดเนื่องด้วยพระองค์นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิคมาก (ในยุคนั้นแคว้นบาวาเรียไม่ได้มีการลงโทษผู้ที่รักร่วมเพศเหมือนในหลายๆ พื้นที่น่ะค่ะแต่กระนั้นพระองค์ก็ยังอดทนอดกลั้นอยู่ได้)

นอกจากการละคร บทประพันธ์ของ Wagner แล้ว สิ่งที่พระองค์ชื่นชอบมากอีกอย่างคือ ปราสาท พระองค์มีแผนการสร้างปราสาทอยู่หลายหลังเลยทีเดียว แต่ประสาทหลังสุดท้ายในยุคที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่คือ Neuschwanstein ซึ่งยังไม่เสร็จดีด้วย พระองค์ได้แรงบันดาลใจมาจาก Eugène Viollet-le-Duc's work ที่ PierrefondsPalace of Versailles ใน France และ Wartburg ที่ Thuringia ด้วยความที่ชอบมากและเห็นว่าในบาวาเรียยังไม่มีปราสาทแนวนี้จึงโปรดให้สร้างขึ้นมาบ้างค่ะ ซีรีส์ปราสาทของ King Ludwig II มีทั้งหมด 5 หลังค่ะ Herrenchiemsee, Linderhof, Hohenschwangau, Neuschwanstein, และ Residenz Palace ใน Munich อาจจะมีอีก 3 หลังถ้าพระองค์ไม่สิ้นพระชนม์ไปก่อน (Falkenstein ที่ร่างแบบไว้แล้ว ปราสาทแนว Byzentine ใน Graswangtal และปราสาทฤดูหนาวแบบจีนใน Tyrol ที่ยังไม่เริ่มออกแบบ) 

ทั้งหมดนี้พระองค์ได้ใช้ทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดสร้างและเกณฑ์ชาวบ้านแถบนั้นมาช่วยตรงนี้ด้วย ชาวบ้านรัก King Ludwig II มากเพราะทำให้ชาวบ้านมีงานทำ มีเงินใช้ สร้างจนกระทั่งพระองค์ล้มละลายไม่มีเงินทำปราสาทต่อ (ถ้าใจไม่รักทำไม่ได้นะเนี่ย) 

วันที่ 12 มิถุนายน 1886 พระองค์ถูกควบคุมตัวด้วยข้อกล่าวหา "วิกลจริต" (declare insane) โดยไม่ได้รับการสืบสวนและถูกนำตัวไปไว้ที่ Berg Castle ทางตอนใต้ของ Munich 
วันที่ 13 หลังมื้ออาหารค่ำ พระองค์และหมอ Gudden (คนเดียวกับที่กล่าวหาพระองค์ว่าเป็นคนวิกลจริต) ได้ออกไปเดินเล่นริมทะเลสาบ Starnberg โดยไร้ผู้ติดตาม และไม่มีใครเห็นทั้งสองคนอีกเลยจนถึง 10.30 pm มีคนไปพบร่างทั้งสองคนในทะเลสาบ ครึ่งท่อนบนจมไปในน้ำ นาฬิกาของพระองค์หยุดเดินที่ 6.54pm 

เดิมทีสรุปว่าพระองค์ทรงฆ่าตัวตาย แต่หลังจากชันสูตรศพแล้ว ในปอดไม่มีน้ำเข้าไปผิดวิสัยคนโดนกดน้ำหรือจมน้ำตายและตัว Ludwig ก็เป็นคนว่ายน้ำแข็งตั้งแต่เด็ก ทะเลสาบสูงแค่เอวจึงเป็นไปไม่ได้ว่าจะจมน้ำตายหรือฆ่าตัวตายได้  ส่วนหมอ Gudden ก็มีลักษณะเหมือนถูกรัดคอจึงสันนิษฐานว่าถูกรัดคอจนตาย (ไม่แน่ใจว่าถูกยิงหรืออะไรด้วยรึเปล่า) ไม่มีหลักฐานอื่นเพิ่มเติม

มีหลายทฤษฎีที่ว่าตายหรือไม่ตายยังไง ว่าก็บอกพระองค์กำลังขึ้นเรือหนีแต่ถูกยิงที่หลังล้มลงก่อน บ้างก็ว่าพระองค์หนีไปหาอดีตคู่หมั้นแล้ว บ้างก็ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์เพราะหัวใจวายเพราะน้ำเย็นจัด

ไม่มีใครสรุปได้แน่ชัดนะคะ ปล่อยให้เป็นปริศนาต่อไป....

3 ปีต่อมาได้มีการสร้างไม้กางเขนเป็นอนุสรณ์ตรงจุดที่ King Ludwig II สิ้นพระชนม์ ส่วนตำแหน่งก็มีน้องชายอย่าง King Otto I ขึ้นแทน แต่สุดท้ายก็ถูกหมอ Gudden เจ้าเดิมวินิจฉัยว่าพระองค์ไร้ความสามารถ มีอาการป่วยทางจิตจึงต้องลงจากตำแหน่งแล้วให้ท่านลุงอย่าง Luitpold ขึ้นครองราชย์แทนจนสิ้นอายุขัย 91 ชันษาแล้วให้ลูกชายองค์โตของพระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อในนาม King Ludwig III (ชื่อ Ludwig เหมือนกัน)




คุณลุงที่เป็นไกด์พาชมปราสาทก่อนจบทัวร์ได้อวยพรให้เราว่า Enjoy your sunny day, maybe only one day, you may see good weather like this. อ่า แสดงว่าที่ผ่านมาฝนตกมาตลอดเลยแต่วันนี้แดดออกวันเดียว โชคดีอะไรอย่างนี้!!! 








น้ำพุรูปหงส์ ในสวนเพราะสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์เป็นหงส์ค่ะ 

เราลงมาที่ทะเลสาบ Alpsee กันดีกว่า เวลาเหลือเยอะมาก จะเข้า museum ก็ยังได้ (แต่เราไม่เข้าค่ะ)



มีความพรีเวดดิ้งด้วยยยยยยย คู่นี้เป็นว่าที่บ่าวสาวชาวจีนค่ะ 

บรรยากาศดี โชคดีมากที่มาถ่ายกันวันแดดออกพอดี









ตัวปราสาท Neuschwanstein อยู่บนภูเขาค่ะ สูงกว่า Hohenschwangau ด้วยความตั้งใจของ King Ludwig เอง คืออยากจะสร้างปราสาทที่สูงกว่าของท่านพ่อให้ได้ เรียกว่าเป็นความคาดหวังเลยแล้วก็หมายมั่นไว้มากถึงกับมีกล้องส่องทางไกลใน Hohenschwangau เพื่อส่องดู Neuschwanstein ตอนกำลังก่อสร้างเลยก็ว่าได้

เราเลือกที่จะขึ้นปราสาทด้วยรถบัสค่ะ ค่ารถจำไม่ได้แต่ไม่แพงมาก มีทั้งแบบขาเดียวและแบบไป-กลับ เราเลือกซื้อแบบขาขึ้นขาเดียวพอ เพราะรอรถนานมาก แล้วเดินไปปราสาทเอา ได้มุมสวยๆ มาด้วย



ตรงด้านข้างปราสาท (ตรงทางออก) มีป้าย Free wifi อยู่ คือเป็นอินเตอร์เน็ตฟรีสำหรับนักท่องเที่ยวค่ะ เน็ตเร็วปรู๊ดปร๊าด เด็กวัยรุ่นไปนั่งเล่นกันเพียบ ซึ่งดีมากกกกกกกกกก เราไปนั่งเล่นยืนเล่นอยู่นานเลย วิดีโอคอลก็ดีงามค่ะ 5555




มีโดดร่มกันด้วย เค้าขึ้นไปยังไงน้าาาา

จุดนี้เป็นจุดชมวิวปราสาทค่ะ เนื่องจากสะพาน Marienbrucke ปิดปรับปรุง (มีป้ายบอกตั้งแต่จุดซื้อตั๋ว) ตรงนี้ก็เลยไว้ชมวิวแทน พอได้อยู่



ตัวปราสาทสร้างทับ Schwanstein fortress ของเดิมค่ะ Schwan = swan, Neu = new

Schloss Neuschwanstein แปลว่า new swan on the rock castle

ส่วน Hohenschwangau = High swan region 




สะพาน Marienbrucke ที่ปิดปรังปรุงอยู่ เราจะถ่ายได้ตอนไม่มีคนก็ตอนนี้แหล่ะ :P (ปลอบใจตัวเอง)








ทางเข้าจะมีจอมอนิเตอร์เอาไว้แจ้งเลขรอบที่จะเข้าและเวลานะคะ 

ปราสาทค่อนข้างกว้างและใหญ่ ทางเดินซับซ้อน ใครที่ต้องขึ้นรถไฟหรือจองรถอะไรไว้ควรเผื่อเวลาเอาไว้ด้วยนะคะ แค่ปราสาทนี้ก็เดินไปชม.กว่าๆ แล้วค่ะ ไหนจะเดินออกจากปราสาท เดินลงเขา เดินไปขึ้นรถบัสอีก

 ข้างในปราสาทห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีรูปมาฝากนะ แต่ข้างในสวยมาก (ส่วนตัวแล้วคิดว่า Hohenschwangau สวยกว่าค่ะเพราะยังไงก็ทำเสร็จก่อน Neuschwanstein สร้างยังไม่เสร็จดี เจ้าของก็ไปซะก่อน) แต่ก็เป็นปราสาทที่ยังไงก็ต้องแวะแหล่ะค่ะ ส่วนใหญ่เลือกจะมาที่นี่มากกว่า Hohenschwangau อีก ทั้งๆ ที่สวยพอๆ กัน



รูปจากจุดชมวิวด้านบนที่บอกไป เห็นปราสาทไม่เต็มหลังเหมือนบน Marienbrucke แต่ก็โอเคอยู่



(นี่รีบมาก วิ่งกระจายยังมีกะใจหันมาถ่ายรูปอีกนะ)

หลังจากนี้คือวิ่งค่ะ เพราะออกมาจากปราสาทก็บ่ายสามกว่าแล้ว เราจองตั๋วรถไฟรอบสี่โมงเย็นเอาไว้ แบบเหงื่อแตกเลยค่ะ เพราะทางเดินไกลมาก ทางลงเขาก็ไกล จะรอรถก็ไม่ทัน รถม้าก็วิ่งช้าเหลือเกิน ไม่ได้ๆๆๆ ต้องวิ่งลงเขาเท่านั้น แบบเสียงเท้าดังมาก เดินหลบขี้ม้าตลอดทาง - -" เหงื่อซึมเพราะกลัวตกรถมาก เดินๆๆๆๆ จนถึงป้ายรถเมล อยากจะซื้อแสตมป์ติดโปสการ์ดก็หมดอีก 

เดชะบุญรถบัสมาพอดีแล้วเป็นบัสที่บรรทุกคนได้เยอะมาก ราวๆ 3-4 โบกี้ได้ แล้วคนขับก็เหมือนรู้ว่าทุกคนรีบมาก ขาลงแกซิ่งลืมโลกเลยจ้า มารถติดเอาตอนเข้าเมือง Fussen แล้ว เรานี่เหงื่อแตกเลย อีกไม่ถึงสิบนาทีจะสี่โมงเย็นแล้ว (คุณก็รู้ใช่มั้ยคะว่ารถไฟเยอรมันตรงเวลาขนาดไหน!!!) 

นั่นแหล่ะค่ะตอนที่รถบัสจอดนี่รู้เลยว่าใครไปรถไฟรอบเดียวกับเราบ้าง ทุกคนออกสตาร์ทตั้งแต่ประตูเปิดละ วิ่งหน้าเริ่ดเลยจ้าาาาาาาาาา วิ่งแบบกูไม่ทันแล้ววววววววววว หอบแฮ่กๆๆๆๆ

2 นาทีก่อนรถไฟจะมาถึง.....เชี่ย...หนูทำได้ (และทุกคนทำได้!!!)

ไปๆ มาๆ รถไฟมาเลทจ้ะ เลทประมาณ 5 นาทีได้ แหม...นี่นั่งหอบดังจนคนข้างๆ หันมามอง...



ขากลับเจอสาวๆ ไทย 4 นางนั่งกลับมาด้วยกัน แต่ไม่ได้คุยกันหรอกนะ นั่งใกล้ๆ กันเท่านั้น

ความเงิบมาอยู่ที่ว่า powerbank ไฟหมดและ iphone ก็กำลังจะแบตหมด แต่ก็ต้องคุยกับพี่แป๋ว นัดแนะอะไรกัน....เลยต้องรีบเปิด save mode ด่วน 

ไปถึง Munich ราวๆ หกโมงเย็น เดินกลับโฮสเทลไปชาร์จแบต iphone กับ powerbank แล้วทุ่มนึงค่อยนั่งรถไฟลง Marienplatz แล้วไป Hofbrauhaus ทุกคนรออยู่ที่ร้านนะ

วันนี้สตรองดีจริงๆ เดินทางคนเดียวตลอดเลย 5555



Marienplatz คือจัตุรัสกลางเมืองมิวนิค ข้างหลังคือ New City Hall (หอนาฬิกา)



ขอบอกว่านี่คือเวลาทุ่มกว่าเกือบสองทุ่มนะคะ พี่สว่างเหมือนสี่โมงเย็นบ้านเราเลย - -"

ความจริงเราอยากถ่ายรูปวิว แสงสีตอนกลางคืนมาก แต่กว่าพี่จะมืดคือสามทุ่มกว่า สี่ทุ่ม ล้มเลิกความคิดไปเลยจ้ะ นอนดีกว่า...ทริปนี้ไม่มีตัวพลังเยอะเหมือนทริปก่อนด้วยนะ อดเลย

เดินไป Hofbrauhaus ทางซับซ้อนนิดหน่อยแต่ใช้เน็ตได้ ใช้ google maps เป็นทุกอย่างก็ง่ายค่ะ





คนเยอะ ทีมงานวุ่นวาย เด็กเสิร์ฟที่นี่แข็งแกร่งมาก ถือแก้วเบียร์ข้างละ 3-4 แก้ว เราแก้วเดียวก็ไม่ไหวแล้ว - -"



Dark beer original ของที่นี่ ดื่มไม่หมดนะฮะ เหลือ 1/3 พอละ

พี่แป๋วสั่ง Lemon beer หวานจนนึกว่าเอาน้ำหวานมาให้

อาหารก็อย่างที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน ขาหมู ไส้กรอก potato dumpling (มันฝรั่งนึ่งเป็นก้อนเหมือนซาลาเปาแต่ยังคงเป็นมันฝรั่งอยู่นะ ไม่ใช่เนื้อขนมปัง) แล้วก็พวกผักดองของเค้าน่ะค่ะ บอกไม่ถูกว่าคืออะไร

รูปที่ถ่ายมาใช้ไม่ได้เลย ไม่ขอลงละกัน 555555 ในร้านค่อนข้างมืดค่ะ ถ่ายมาแล้วแป้ก





ร้านสวยนะคะ คนเยอะตลอดเวลา แนะนำให้รีบไปช่วงที่คนไม่เยอะ เช็คช่วง peak ได้ในกูเกิ้ลนะคะ พิมพ์ชื่อร้านลงไปจะมีกราฟความ peak ให้ดูค่ะ

จากนี้เราก็กลับโรงแรมนอน...

ร้านค้าส่วนใหญ่ของที่นี่จะปิดราวๆ 19.30-20.30 ค่ะ แล้วแต่ร้าน เราออกจากร้านก็สามทุ่มละ กลับโรงแรมนอนเท่านั้น = = อยากถ่ายรูปแต่เหนื่อยแล้ว...

เราต้องย้ายห้องไปนอนห้อง dorm สำหรับ 4 คน แต่เรากับพี่แป๋วเหมาห้องไว้ 

สรุป Dorm's room ของ Jaeger's hostel

1. wifi เข้าไม่ถึงค่ะ คาดว่าล็อคเอาไว้ อยากเล่นต้องลงไปที่ล็อบบี้แทน แต่บางทีอยู่ชั้น 3-4 ตอนกลางคืนก็ connect ไม่ได้นะคะ เพราะคนใช้เยอะ

2. ห้องน้ำไม่มีผ้าเช็ดเท้า ไม่มีสบู่แชมพูให้เลย ไม่มีไดร์เป่าผม ไม่มีทีวีแน่นอน มีแต่ล็อกเกอร์ให้คนละตู้

3. ฟูกบาง เตียงเป็นเตียงไม้ 2 ชั้นและเอียดอ๊าดทุกครั้งที่ขยับตัว

4. ชั้น 2 เวลามีบอลแมชสำคัญหรือเป็นวันหยุดเสียงจะดังมาก ปิดหน้าต่างก็ไม่ช่วย

5. ใครไม่ได้เอาผ้าเช็ดตัวมา ไปเช่าได้คนละ 1 ยูโร ใช้เสร็จเอาไปคืนที่เค้าเตอร์ด้วย



กูแก่แล้วสินะถึงคิดว่าไอ้พวกนี้มันดูลำบาก - -" ทั้งๆ ที่โฮสเทลที่เคยนอนมันก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่

พรุ่งนี้เราต้องตื่นเช้าเพื่อไปเที่ยว Linderhof และเมือง Omerammergau จ้า


พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ :D




Create Date : 19 กรกฎาคม 2559
Last Update : 25 กรกฎาคม 2559 15:15:31 น.
Counter : 2852 Pageviews.

5 comments
  
ปราสาทและอาคารร้านค้าใกล้ๆทะเลสาบสวยจนน่าไปแน่นอน!!! :D
โดย: SquidMan.ExE IP: 1.10.195.66 วันที่: 25 กรกฎาคม 2559 เวลา:12:07:06 น.
  
น่าสนุกนะนู๋เป้
โดย: สาวดาว IP: 182.53.180.254 วันที่: 25 กรกฎาคม 2559 เวลา:17:02:19 น.
  
พี่ดาวไม่ยอมไปด้วยกันอ่า -3-
โดย: อัลปาก้าจัง วันที่: 25 กรกฎาคม 2559 เวลา:22:08:17 น.
  
รบกวนสอบถามค่ะ เน็ทจาก instasim ใช้แบบแพ็คเกจไหนคะ แล้วโอเคมั้ยคะ ต้องไปรูทเดียวกันเลย ยังตัดสินใจไม่ได้
โดย: ชะเอม IP: 203.146.192.6 วันที่: 31 มีนาคม 2560 เวลา:15:20:12 น.
  
คุณชะเอม

ขอโทษที่ตอบช้านะคะ

ใช้แพ็คเกจสำหรับโซนยุโรปค่ะ ราคาโอเคแต่รู้สึกว่าถ้าเป็นตอนนี้ sim2fly จะคุ้มกว่านะคะ
ตัว instasim อันนี้เราพลาดมาแล้วคือลองเติมเงินผ่าน paypal เอง ปรากฏว่าได้มาไม่ครบแพ็คเกจ เหมือนระบบมันงงๆ อ่ะค่ะ(แต่สุดท้ายก็ใช้ได้นะ) เติมเป็นเงินไทยผ่านธนาคารไทยกลับถูกกว่า แบบต้องให้ทางร้านเติมเงินให้น่ะค่ะ

ส่วนตัวไม่ค่อยเชียร์ให้ใช้เพราะความยุ่งยากเวลาแพ็คเกจหมดแล้วต้องเติมเงิน ถ้าใช้ส่วนตัว แนะนำ sim2fly แทนค่ะ (ไม่ได้โฆษณานะ ลองเทียบแล้วมันง่ายกว่าจริงๆ)
โดย: อัลปาก้าจัง วันที่: 9 เมษายน 2560 เวลา:0:04:25 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัลปาก้าจัง
Location :
ราชบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของ Piyoko-chan !!


เจ้าของบล็อกชื่อ เป้ ค่ะ

แต่งหน้าก็พอไหว แต่งตัวไม่ได้เรื่อง(ในบางที)

ตอนนี้มีหมวดท่องเที่ยวแล้ว ความฝันอีกอย่างคือได้เที่ยวทั่วโลกค่ะ จะพยายามรีวิวให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงทริคและเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างประเทศให้ได้ชมกันค่ะ


เอาเป็นว่า นั่งอ่านขำๆ ไปแล้วกันนะคะ ^^

ถูกใจบล็อก donate สมทบทุนค่าเดินทางในทริปต่อๆ ไปได้ที่นี่เลย..
https://www.paypal.me/yanisapae

ขอบคุณล่วงหน้าค่า