ตุลาคม 2557

 
 
 
1
2
4
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
29
30
31
 
 
All Blog
EU Trip 7-20 Sep 14 : Chapter 2 Venice(ภาคจบ)
  สวัสดีค่ะ กลับมาต่อทริปยุโรป เมืองเวนิสแล้ว

ขอบอกว่า เวนิสเป็นเมืองที่เราได้เที่ยวเยอะที่สุดแล้วในบรรดา 5 เมืองที่ได้ไปอยู่ค่ะ

วันที่ 11 กันยายน

เริ่มวางแผนเที่ยวกันใหญ่ แต่คราวนี้เราจะไม่เดินแล้วค่ะ เราจะใช้ public water bus แทน

ก่อนจะเที่ยวก็ต้องเติมพลังกันก่อนจ้า

Pausania Hotel อาหารเช้าเริ่ม 8.00-10.30 น. ค่ะ 

เราเคยไปนั่งรอตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง ปรากฏว่าพนักงานชายที่วันก่อนยกกระเป๋าให้เรา แกก็เพิ่งมาก่อนแปดโมงไม่เท่าไหร่เอง มาพร้อมพนักงานฟร้อนท์ผู้หญิงเลยค่ะ

น้องชายคนนี้ทำหลายหน้าที่นะคะ น่าจะเป็นเบลบอยคนเดียวในโรงแรมเลยพ่วงหน้าที่เตรียมอาหารเช้า แล้วก็ชงกาแฟให้ด้วยค่ะ




อาหารเช้าจะมีประมาณนี้ค่ะ สารพัดขนมปัง ทั้งแผ่น ทั้งบัน ทั้งครัวซอง มีเนยจืด แล้วก็เนยอะไรอีกอย่าง จำไม่ได้

ไอ้เครื่องสีเงินๆ ข้างๆ เหยือกนม มันคือที่กดแยมผลไม้ค่ะ อยากได้รสไหนเอาถ้วยเล็กๆ ตรงหน้าไปวางไว้แล้วกดเอา 

มีซีเรียลแบบจืด แบบมูสลี แล้วก็แบบช็อกโกแลต ส่วนในตู้ครอบเป็นไส้กรอก แฮม ไรงี้ค่ะ ในถาดถัดมาเป็นโยเกิร์ตสารพัดรสชาติ ทั้งรสธรรมชาติ สตรอเบอรี่ มิกซ์เบอรี่ แล้วก็กล้วย(อันนี้ชิมแล้ว โอเคเลยค่ะ)

รูปล่าง มีผลไม้สด ผลไม้ในน้ำเชื่อม(ในชามแก้ว) น้ำเปล่า น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด(ไม่โอเค) และน้ำ ACE (ผสมหลายอย่างค่ะ หน้าตาเหมือนน้ำส้มแต่อร่อยนะ)

คุณน้องพนักงานชายจะเดินมาถามที่โต๊ะว่าเราอยากได้ชาหรือกาแฟ ถ้าเป็นกาแฟ น้องจะถามว่าอยากได้อะไร เอสเปรสโซ่ คาปูชิโน่ คาเฟลาเต้ ถ้าเป็นชา คุณน้องจะเอาน้ำร้อนมาเสิร์ฟให้เรา แล้วเราก็เลือกชาเองบนโต๊ะค่ะ (มีวางไว้ให้แล้ว ชา twinings น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลไดเอท ครีมเทียม นม) และมีถังใส่เศษขยะบนโต๊ะเช่นกัน ฮา

ก่อนออกเดินทาง เราแวะปรึกษาคุณพนักงานหญิงคนเก่งของเราก่อนว่าเราจะเดินทางไปโรมยังไงดี เพราะไฟลทบินเช้าสุดคือ 6 โมงเช้า มีเรือ มีแท็กซี่ไปสนามบินมั้ย (ยังไม่ได้ซื้อตั๋วแต่มาปรึกษาก่อน)

นางแนะนำให้เราขึ้นรถไฟแทนค่ะ รถไฟรอบสิบโมงครึ่ง เวลาเดินทางราวๆ 3 ชม.ครึ่ง และแนะนำให้เราใช้บริการรถไฟของ italo เพราะรถค่อนข้างใหม่ ราคาโอเคและที่สำคัญ ราคา economy class กับ first class (prima) ราคาใกล้กันมาก ต่างกันแค่ 2 ยูโรเอง!! แถมมีน้ำและของว่างให้อีกต่างหาก

รถไฟจะไปลงที่สถานี Rome Tiburtina ไม่ใช่ Termini ค่ะ 

ตกลงกันได้แล้วเราก็ให้นางช่วยซื้อตั๋วให้เลย เพราะหน้าทำรายการเป็นภาษาอิตาเลี่ยนหมด - -"

รายละเอียดลองดูที่เว็บนี้ค่ะ //www.italotreno.it/en/Pages/default.aspx



เรียบร้อย ออกเดินทางกันเลย!!!

อยากที่บอกไปแล้วว่า ถ้าอยากซื้อตั๋วรถอะไรก็ตาม มองหาร้าน Tabacchi ไว้ หรือสัญลักษณ์รูปตัว T ค่ะ ตรงลานกว้างมีอยู่ร้านนึง บอกว่าขอตั๋ว single ราคา 7 ยูโร ตั๋วอายุ 24 ชม.ค่ะ ขึ้นลงกี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัด



หน้าตาตั๋วเป็นแบบนี้

ก่อนจะขึ้นเรือ เราต้อง validate ตั๋วก่อนนะ ด้วยการยื่นไปตื๊ดที่เจ้าเครื่องนี้!!



มีอยู่ทุกท่าเรือค่ะ เราตื๊ดบัตรกันตอนราวๆ 10 โมงกว่าๆ เพราะงั้นเราก็จะใช้งานได้จนถึงวันที่ 12 กันยา เวลา 10 โมงกว่าเช่นกัน 

ตื๊ดครั้งเดียวนะคะ ตื๊ดไปหลายรอบก็ไม่มีผลอะไร 5555




พี่บอกว่า ถ้าไม่ validate ตั๋วจะโดนปรับนะจ้ะ 



ป้ายท่าเรือ Ca'Rezzonico ข้างหลังเป็น museum ค่ะ



ป้ายแบบนี้จะบอกสายที่เรือจะมาจอดนะคะ ท่านี้มีแค่เรือสาย 1 เท่านั้นที่จะมาจอด พร้อมบอกซ้ายขวาจะไปที่ไหนบ้าง 

ถ้ามีมากกว่า 1 สาย จะแยกป้าย แยกท่ากันค่ะ อย่างเช่นที่ San Marco เป็นชุมทางเรือ ทุกสายจะไปจอดที่ท่านี้ ดังนั้นแกจะแยกท่ากันชัดเจนมากๆ ค่อยๆ ดูป้ายไปนะคะ


ถึงท่า San Marco แล้ววววววว วันนี้อากาศดีค่ะ เมื่อคืนฝนตกหนักมากกกกกกกก วันนี้ฟ้าเลยสดใสแดดจ้าทั้งวัน



อย่างที่บอก เราจะมาย้ำ Doge's Palace, The Bridge of Sighs แล้วก็ St.Mark's Basilica





ถ่ายย้อนเข้าไปหาโบสถ์ หอระฆัง และหอนาฬิกา



นี่คือสะพานที่เราต้องไปค่ะ แต่ยังไม่ใช่สะพานเป้าหมายนะ ดูจำนวนคนซะก่อน มาไม่ผิดแล้ว!!




นี่คือ The Bridge of Sighs ค่ะ 

สะพานถอนใจ เป็นสะพานที่ว่ากันว่า นักโทษที่ถูกตัดสินคดี (จาก Doge's Palace) จะเดินผ่านสะพานนี้แล้วมองแสงตะวันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะต้องเข้าจำคุกรับโทษ

เดี๋ยวเราจะเดินบนสะพานนี้กันค่ะ :) นักโทษจะรู้สึกอย่างไร ติดตามชมต่อนะคะ






ถ่ายเรือกอนโดล่าลำนี้ไว้ เพราะลุงคนที่เล่นกีต้าร์นั่นแหล่ะค่ะ แกคงเอามาเองแหล่ะ นั่งเรือไป ฟังเพลงไป มันได้อารมณ์เวนิสม๊ากกกกกกกกกก 

ทุกวันนี้ยังไม่รู้ว่าแกเล่นเพลงอะไรเลยค่ะ คุ้นหูแต่ไม่รู้ชื่อเพลง TvT


เราตัดสินใจเข้าชม Doge's Palace กันโดยที่ไม่รู้ว่ามันคือสถานที่แบบไหน (คลำไปเรื่อย ไม่รู้อะไรเลย - -") เราต่อแถวซื้อบัตรเข้าชมกัน ต่อคิวได้ราวๆ 20 นาทีก็ได้เข้าแล้วค่ะ ที่คิวยาวๆ คือรอซื้อตั๋วนะ ไม่ใช่อะไร ตั๋วราคา 16 ยูโร

ใครอยาก skip the line ไม่ต้องต่อคิว ซื้อตั๋วออนไลน์ที่หน้าเว็บได้นะคะที่ //palazzoducale.visitmuve.it/en/pianifica-la-tua-visita/tickets/

อันนี้มี secret tour ด้วย จะพาไปสถานที่เฉพาะที่ไม่เปิดให้ชมทั่วไป ว้าววววววววว แอบเห็นเค้าไขกุญแจประตูที่เข้า secret tour ด้วยค่ะ อยู่ตรงข้ามห้องน้ำพอดี



เข้ามาแล้ววววว

เล่ากันก่อน...

Doge's Palace ทำไมต้อง Doge??

Doge เป็นตำแหน่งหัวหน้าผู้พิพากษาและเป็นผู้นำสูงสุดของสาธารณรัฐเวนิส (The Republic of Venice) ในสมัยก่อนค่ะ แน่นอนว่า Doge ต้องมาจากการเลือกตั้งในสภาของแวดวงชั้นสูงก่อนและต้องเป็นผู้อาวุโสที่มีความฉลาดหลักแหลมเป็นสำคัญ เวนิสมี Doge ปกครองเป็นเวลากว่าพันปี

Doge คนสุดท้ายของเวนิสคือ Ludovico Manin ซึ่งสละตำแหน่งในปี 1797 เป็นปีที่นโปเลียนเข้ามายึดเวนิสเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ต่อมาเวนิสพยายามประกาศตัวเป็นสาธารณรัฐอีกครั้งเพื่อต่อต้านการควบรวมเมืองเข้ากับออสเตรีย ตำแหน่ง Doge ก็หายไปค่ะ แต่ไปใช้ชื่ออื่นๆ แทน เช่น dictator, collective heads of state รวมไปถึง triumvirate (แบบมีผู้ปกครองสามคน)

ดังนั้น Doge's Palace จึงเปรียบเสมือนสถานที่ทำงานของ Doge แหล่ะค่ะ เป็นที่ทำการบริหารบ้านเมืองขั้นสูงสุด มีศาลตัดสิน มีห้องประชุม มากมายสารพัด ตกแต่งสถานที่อย่างงดงาม และมีการใช้งานจริงจนถึงปี 1923 ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น museum ให้เราได้เข้าชมกันค่ะ







พี่คนนี้คาดว่าเคยอยู่บนเสานอก palace มาก่อนค่ะ ถ้าใครจำได้จะมีเสายักษ์คู่นึงอยู่ข้างนอก ต้นนึงเป็นสิงโต อีกต้นคือพี่คนนี้แหล่ะ เราแอบเรียกว่าพี่ไกรทอง 555

ชื่อแกจริงๆ คือ St. Theodore ค่ะ





บันไดชื่อว่า Scala dei Giganti (Giants' Staircase) บันไดของยักษ์





The Golden Staircase



ความสวยงามมันอยู่บนเพดานนี่แหล่ะค่ะ :)




Sala del Senato (The Senate Chamber) 

เดิมชื่อว่า Sala del Pregadi เพราะว่า Doge ขอให้สมาชิกวุฒิสภาเข้าร่วมประชุมที่ห้องนี้ สว.ที่จะเข้ามาในห้องนี้ได้จะต้องเป็นผู้อาวุโสขององค์กรสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดในเวนิส สร้างในศตวรรษที่ 13 และมีการพัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงศตวรรษที่ 16 ได้ใช้เพื่อตรวจสอบการเมืองและการคลัง เช่น ด้านการผลิต ด้านอุตสาหกรรม การค้า และนโยบายต่างประเทศ







รูปบนเพดานห้องค่ะ





The Chamber of the Council of Tens

เล่าคร่าวๆ เกี่ยวกับห้องนี้แล้วกัน ห้องนี้เป็นห้องประชุมสมาชิก 10 คนที่ได้รับเลือกจากวุฒิสมาชิกและมาคัดเลือกอีกครั้งโดยสภาสูงสุด ทั้ง 10 คนนี้ ร่วมกับ Doge และ ที่ปรึกษาอีก 6 คน รวมทั้งหมดเป็น 17 คน ที่นั่งรูปครึ่งวงกลมยังมีให้เห็นในห้องนี้ค่ะ (ถ่ายมาแต่รูปวาด ไม่ได้ถ่ายสถานที่เลย ขอโทษด้วยค่ะ - -")






The Compass Room

ห้องไม้สี่เหลี่ยมเล็กนี้ เป็นห้องสำหรับนั่งคอยก่อนที่ผู้พิพากษาสูงสุดจะเรียกตัวค่ะ ตัวห้องสร้างไว้กั้นทางเข้าห้องของ the three Heads of the Council of Ten และ the State Inquisitors ซึ่งถ้าอยากเข้าสองห้องนี้ ต้องซื้อ secret tour เข้าไปนะคะ

ต่อไปเป็นห้อง Armories (ห้องเก็บอาวุธ) แล้วล่ะค่ะ ขอเอาลงแค่บางส่วนนะ บางรูปก็เงาเยอะจนดูไม่รู้เรื่อง






FYI ปืนส่วนใหญ่มาจากเยอรมันค่ะ นอกนั้นก็ฮอลันดา (ฮอลแลนด์) รัสเซีย อิตาลีผลิตแค่กล่องใส่ดินปืน - -"



พักสายตาแป๊บนึงแล้วไปกันต่อจ้า





ขออภัยในความห่วยนะคะ T T ใช้ iphone4 ถ่ายแบบรีบๆ รู้งี้ใช้กล้องคอมแพคก็ดี

Salle de Grand Conseil (The Chamber of the Great Council)

ห้องนี้มีขนาดยาว 53 เมตร กว้าง 25 เมตร เป็นห้องที่กว้างและยิ่งใหญ่ที่สุดใน Doge's Palace และเป็นหนึ่งในห้องที่กว้างที่สุดในยุโรปด้วย

ใช้จัดประชุมของสมาชิกสภาสูงสุด โดยสภามีสิทธิในการเรียกพิจารณาฝ่ายบริหารและนิติบุคคลของรัฐมารวมตัวกันเมื่อเห็นว่าอำนาจในมือมีมากเกินไปและสมควรต้องตัดทอนลง ขุนนาง 1200 ถึง 2000 คนจะเข้ามาในสภาและพิจารณาตัวเป็นผู้พิทักษ์กฎหมายซึ่งเป็นรากฐานของฝ่ายบริหารทั้งหมดในรัฐ ทุกวันอาทิตย์ เมื่อระฆังแห่ง St. Mark ดังขึ้น สมาชิกสภาจะมารวมตัวกันในหอประชุมพร้อมกับ Doge ซึ่งรับตำแหน่งประธานบนโพเดี้ยมกลาง ส่วนที่ปรึกษาของท่านจะนั่งสองแถวหลังสุดของความยาวห้อง (ถ้าแปลผิดขออภัยค่ะ)













Salle de Scrutinio (The Chamber of the Scrutinio)

เป็นห้องที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 ค่ะ ในยุคของ Doge Francesco Foscari สำหรับเอาไว้ใช้ในขั้นตอนการลงคะแนนสำคัญๆ ของรัฐ

รูปประดับภายในห้องมีแต่รูปทหารที่แสดงถึงชัยชนะเพื่อยกระดับแสนยานุภาพทางด้านการทหารมากกว่าจะแสดงถึงสติปัญญาด้านการเมือง




ในห้องเดียวกันนี้เอง ท้ายห้องมีประตูชัยอันงามสง่า ผลงานของ Andrea Tirali เพื่อเป็นการรำลึกถึง Doge Francesco Morosini Peloponnesiaco ผู้ที่เสียชีวิตในปี 1694 ระหว่างที่เวนิสยึดครอง Peloponnese (คาบสมุทรทางตอนใต้ของกรีซ ครอบครองโดยชาวสปาร์ต้า) ได้สำเร็จจากตุรกี
(มีรูปปั้นของแกที่ห้องเก็บอาวุธด้วยนะคะ ย้อนขึ้นไปดูได้)



มาที่ไฮไลท์ของเรากันบ้างค่ะ

เมื่อออกจากห้อง The Chamber of the Great Council ซึ่งเป็นห้องพิจารณาคดีห้องหนึ่งในวัง ผู้ที่ถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกก็ต้องออกจากห้องนี้เพื่อไปเข้าคุกโดยเดินข้าม The Bridge of Sighs 

มาตามรอยนักโทษด้วยกันค่ะ





ทางแคบมากๆ



ภาษาอิตาลีของ The Bridge of Sighs คือ Ponte dei Sospiri

สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1614 จาก Doge's Palace เพื่อนำนักโทษใหม่เข้าสู่ที่คุมขัง ตัวสะพานแบ่งเป็นสองฝั่ง ซึ่งแต่ละฝั่งก็จะมีห้องต่างกันออกไป สำหรับทางที่เราจะเข้าไปเป็นทางที่เข้าสู่ The chambers of the Magistrato alle Leggi และ the Quarantia Criminal
ส่วนอีกทางที่กลับเข้า Doge's Palace จะนำเข้าสู่ The State Advocacy Rooms และ The Parlatorio 

ดูหน้าต่างฝั่งขาเข้า(คุก)กันบ้าง 




เมื่อเข้าไปแล้ว... จะเป็นคุกใต้ดินค่ะ ลูกกรงเหล็กหนาๆ 2 ชั้นที่หน้าต่าง หนีไม่ได้แน่ๆ




รูเล็กๆ ที่กำแพง มีไว้ส่งอาหารให้นักโทษในคุกค่ะ (แอบไปฟังป้าไกด์คนนึงมา)



ห้องอะไรไม่รู้ไม่มีบอก แต่มีห้องแบบนี้เรียงกันหลายห้องเลยล่ะค่ะ



ดูลูกกรงเหล็กซะก่อน แข็งแรงทนทาน

ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคุกอย่างที่เห็นแหล่ะค่ะ เค้าจะให้เราเดินวนๆๆๆ อยู่ในคุกจนออกมานี่แหล่ะ แล้วก็กลับไปที่สะพานถอนใจอีกทีค่ะ






น่าถอนใจมั้ยล่ะคะ จะได้เห็นวิวสวยๆ แบบนี้เป็นครั้งสุดท้าย...ก่อนจะเข้าสู่คุกอันมืดมิด



ว่าแล้วเราก็เดินมาจนบ่ายคล้อย ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ใน Doge's Palace มีคาเฟ่ให้เราได้ทานอาหารด้วยค่ะ เดินจบคอร์สในวังก็ลงมาเจอร้านอาหารทันที

มีสั่งแบบแยกเดี่ยวแล้วก็เป็นเซตด้วย เราสั่งเป็นเซตกันค่ะ



สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ รสชาติใช้ได้นะ

ในเซตจะมีน้ำเปล่า 1 ขวด + สปาเก็ตตี้ (บังคับเลือก) + ผลไม้ในน้ำเกลือ (แอปเปิ้ล+สับปะรด+แคนตาลูบ) จำราคาไม่ได้ค่ะ ขออภัย = =



เสร็จเรียบร้อย ออกมาข้างนอก ต่อด้วย St. Mark's Basilica กันจ้า




St. Theodore บนยอดเสาฝั่งตะวันตก



Lion of Venice บนเสาฝั่งตะวันออก


อ่ะๆ เราต่อคิวเข้าโบสถ์กันดีกว่าค่ะ วันนี้น้ำท่วมขังหน้าโบสถ์ St.Mark เพราะฝนตกหนักเมื่อคืนก่อน ทางเจ้าหน้าที่เลยเอาโต๊ะมาวางเรียงต่อๆ กันให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าโบสถ์ได้อย่างสะดวกโยธิน (เราเลยหมดข้อสงสัยว่าทำไมถึงมีโต๊ะมาวางๆ อยู่หน้าโบสถ์)

St. Mark's Basilica เข้าชมฟรีในส่วนของโบสถ์นะคะ ถ้าต้องการขึ้นชั้นบนต้องเสียเงินเพิ่มเติม (จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่) แล้วก็ถ้าต้องการชม Oro Tesoro ก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 2 ยูโรค่ะ

ขออภัยในภาพห่วยๆ อีกครั้ง ทำไมถึงใช้แต่ไอโฟนถ่ายรูป ไม่เข้าใจ T T



St. Mark's Basilica มีชื่อเต็มๆ ว่า The Patriarchal Cathedral Basilica of Saint Mark

เป็นโบสถ์ในนิกายโรมันคาธอลิคในเขตปกครองของ Archbishop แห่งเวนิส โบสถ์แห่งนี้เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแบบ Italo-Byzantine ที่เป็นที่รู้จักที่สุดแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้

การตกแต่งของโบสถ์นี้ เป็นโมเสคทองคำทั้งหมดซึ่งแสดงถึงฐานะร่ำรวยและอำนาจของชาวเวเนเชี่ยน โบสถ์แห่งนี้เป็นที่รู้จักในนาม Chiesa d'Oro (Church of Gold) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11






ทีนี้ เราค่อนข้างสงสัยค่ะว่า ไอ้ Oro Tesoro (Golden Treasure) มันคืออะไร ยอมจ่ายเงิน 2 ยูโรเพื่อไปเจอสิ่งนี้ค่ะ





ไม่มีคำอธิบายอะไรจากตรงนี้ค่ะ มันเป็นทองคำ กับหินสี ดูเลอค่าจริงจัง 








ออกไปกันเถอะค่ะ บายๆ 2 ยูโรของฉัน - -"





ส่วนที่ชาวคริสต์สามารถเข้ามานั่งสวดภาวนาได้ค่ะ





ต้องลาจาก St.Mark's Basilica กันตรงนี้ล่ะจ้า


จากนี้เราจะนั่งเรือเที่ยวรอบเวนิสกันค่ะ ก็เรือเมลที่เราจ่ายเงินไปนั่นแหล่ะ :)

ขึ้นเรือสายนี้ค่ะ วนรอบเกาะ 1 รอบ https://www.venice-rentals.com/info/route-02.php

ตอนแรกเราจะลงที่ St. Giorgio แต่เปลี่ยนใจ นั่งเรือเล่นชิลๆ ดีกว่า สายนี้วนยาวด้วยสิ















นี่คือสถานีรถไฟของเวนิสค่ะ ลงที่ป้าย Ferrovia นะ พรุ่งนี้เราจะมาขึ้นรถไฟไปโรมกันที่นี่แหล่ะค่ะ

ถ้าเดินไปทางซ้ายมือในรูป จะเป็นห้างเล็กๆ ค่ะ มี Mango Sephora และ Muji ด้วยค่ะ







ลงเรือกันต่อ เจอสะพาน Rialto แล้ว ณ ที่นี้เราได้เจอกับ...



เจ้าบ่าว-เจ้าสาวในเรือกอนโดล่า!!!

ขอบอกว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นค่ะ เพราะตลอดทริปนี้ เราเจอคู่แต่งงานเยอะมากกกกกกกจริงๆ

นอกจากคู่แต่งงานแล้ว เด็กแฝดก็เป็นอีกอย่างที่เจอตลอดเช่นกัน เอ้ะ..หรือจะเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง 5555



หมดแล้วค่ะสำหรับเวนิส

เช้าวันที่ 12 เราอาศัยเรือเมลเช่นเดิม สาย 1 ไปลงที่ Ferrovia เพื่อขึ้นรถไฟกันค่ะ



สำหรับที่นี่ เราอาศัยดูบอร์ดเป็นหลักเนอะ รถไฟจะไม่บอกชานชาลาจนกว่าจะใกล้ boarding ราวๆ 10-15 นาทีค่ะ 




ไปแล้วจ้าาาาา Prima อย่างเราต้องไปตู้ Smart XL ตู้หน้าๆ เลยจ้า



สำหรับตู้ Prima (First class) เก้าอี้จะจัดแบบ 1-2 ตัวใหญ่นั่งสบายกว่า economy class ที่เป็นแบบ 2-2 ค่ะ เอ้อลืมบอก มี Free wifi ด้วยนะคะ แต่เน็ตช้าหน่อยนะ 

สัมภาระเก็บขึ้นเหนือศีรษะนะคะ (ลำบากมากถ้ากระเป๋าหนัก)



เก้าอี้สำหรับ 4 คนค่ะ มีแค่ตู้ละ 1 ชุด

ต่อไปนี้เป็นการรีวิวที่นั่งและสิ่งอำนวยความสะดวกนะคะ



ที่นั่งกว้างสบาย วางเท้าได้ไม่อึดอัด มีที่วางเท้าด้วย




ปลั๊กขากลมแบบยุโรป อยากชาร์จไฟต้องมีหัวแปลงนะคะ ส่วนช่องล่างคือที่ใส่ขยะแหล่ะ



มีไฟอ่านหนังสือด้วย



ขนมและเครื่องดื่ม สำหรับ Prima นะคะ ตอนที่เรานั่งมีเสิร์ฟ 2 ครั้ง ฟรี มีทั้งเครื่องดื่มร้อน-เย็น ไม่มีแอลกอฮอล์ค่ะ

ส่วนใครที่ยังไม่อิ่ม อยากหาอะไรทานอีก ตู้ 7 มีตู้ขายของอัตโนมัติค่ะ มีกาแฟด้วย



พนักงานหญิง friendly มากจ้า

รีวิวห้องน้ำ ล้ำมาก



จะเข้าออกต้องกดปุ่มนะคะ หน้าห้องน้ำก็เหมือนกัน ถ้าจะล็อกห้องก็ต้องกดปุ่มค่ะ และกดอีกครั้งเพื่อเปิดประตู



ใช้งานเสร็จ กดปุ่มเพื่อทำความสะอาดนะคะ



อ่างล้างมือ ซ้ายสุด-สบู่ ถัดมา-น้ำ ขวาสุด-ลมเป่ามือ

ชอบห้องน้ำบนรถไฟมากค่ะ 5555



รถไฟขบวนนี้ วิ่งเร็วสูงสุด 300 km/hr นะคะ




เหมือน desktop window เลย ฮา



จบไปแล้วสำหรับทริปเมืองเวนิส พบกันใหม่ตอนหน้า Roma!! 

สวัสดีจ้า



Create Date : 03 ตุลาคม 2557
Last Update : 3 ตุลาคม 2557 15:16:32 น.
Counter : 3220 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัลปาก้าจัง
Location :
ราชบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของ Piyoko-chan !!


เจ้าของบล็อกชื่อ เป้ ค่ะ

แต่งหน้าก็พอไหว แต่งตัวไม่ได้เรื่อง(ในบางที)

ตอนนี้มีหมวดท่องเที่ยวแล้ว ความฝันอีกอย่างคือได้เที่ยวทั่วโลกค่ะ จะพยายามรีวิวให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงทริคและเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างประเทศให้ได้ชมกันค่ะ


เอาเป็นว่า นั่งอ่านขำๆ ไปแล้วกันนะคะ ^^

ถูกใจบล็อก donate สมทบทุนค่าเดินทางในทริปต่อๆ ไปได้ที่นี่เลย..
https://www.paypal.me/yanisapae

ขอบคุณล่วงหน้าค่า