เด็กคลินิก 9 - วันแรกที่คลินิก


วันแรกที่คลินิก

     หลังจากอาจารย์หมอนันท์เดินมาบอกพวกเราเรื่องอนุญาตให้นักศึกษาไปพักที่คลินิกของท่านได้ โดยข้าพเจ้ารับอาสาเป็นคนแรก ข้าพเจ้าไม่ทราบหรอก...ว่าคลินิกของท่านอยู่ตรงไหน รู้เพียงอยู่ไม่ได้ไกลจากศิริราชเท่าไหร่ ถามรุ่นพี่ปีสองหรือพี่ ๆ รุ่นก่อน ๆ ที่เรารู้จัก กลับไม่มีใครเคยไปที่คลินิกอาจารย์หมอสักคน ทราบแต่เพียงอยู่ใกล้กรมบังคับคดี (ปัจจุบันย้ายสำนักงานไปอยู่ย่านบางขุนนนท์แล้ว) แม้ข้าพเจ้าจะนั่งรถประจำทางผ่านเส้นทางนั้นทุกวันและพยายามมองหาอย่างตั้งใจแต่กลับหาไม่เจอ
     กลับถึงบ้าน...ข้าพเจ้าบอกกับแม่ ซึ่งท่านก็ไม่ว่าอะไร จริง ๆ แล้วท่านไม่เคยตัดพ้อกับเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องเรียนของข้าพเจ้า ท่านมักเคารพในการตัดสินใจของข้าพเจ้าเสมอ
เช้าวันถัดมา...ข้าพเจ้ายังพยายามมองหาคลินิกอาจารย์หมออย่างตั้งใจอีกครั้ง ทั้งสองฝากถนน แต่ก็ยังไม่เจออยู่ดี ช่วงสายของวันหลังเรียนวิชาแรกผ่านไป อาจารย์หมอก็เดินมาบอกข้าพเจ้าให้ไปที่คลินิกพร้อมท่านในช่วงเย็น จริง ๆ มันก็ปกติเหมือนทุกวัน...เพียงแต่เย็นวันนี้ ข้าพเจ้าจะเดินออกจากศิริราชไปพร้อมกับอาจารย์หมอและสิ่งที่มีติดกระเป๋าสะพายนอกจากหนังสือก็คือ...แปรงสีฟันหนึ่งด้ามพร้อมยาสีฟันแบบพกพา...เท่านั้น


        เสียงทักทายเรื่องไปพักกับอาจารย์หมอที่คลินิก เป็นเหมือนคำถามที่รู้คำตอบ เย็นวันนั้น...สายตาหลายคู่เหลือบมองดูข้าพเจ้าเดินถือกระเป๋าอาจารย์หมอเดินตามท่านออกจาก OPD. เก่าไป ข้าพเจ้าเดินตามหลังท่าน เว้นระยะไว้ประมาณหนึ่งช่วงตัว ระหว่างทาง...อาจารย์มักหยุดสนทนากับสาว ๆ ทั้งพยาบาลและเจ้าหน้าที่ ที่เข้ามาทักทายด้วยความเคารพอยู่ไม่ขาด ผอมบางอวบบ้าง บางท่านรอบเอวประมาณสองคนโอบ อายุคราวแม่ข้าพเจ้าทั้งนั้น อาจารย์เดินก้มหน้าและเงยขึ้นยิ้มทักทายตามเสียงของเขาเหล่านั้น ข้าพเจ้าเดินตามและหยุดอย่างสำรวมตามจังหวะการเดินของท่าน มันไม่เพียงแค่ในศิริราชหรอก เพราะระหว่างทางก็ไม่ต่างกัน แม่ค้าขายดอกไม้ เถ้าแก่ร้านขายยาและอีกหลายต่อหลายคน มักหันมาทักทายท่านเหมือนคนคุ้นเคยที่คบหากันนานปี ข้าพเจ้าเดินตามและมาหยุดรอสัญญาณไฟที่สี่แยกไฟแดง ก่อนเดินตามท่านไป ผ่านร้านตัดผมท่านชาย ร้านขายหนังสือและของชำ ผ่านหน้าซอยบ้านช่างหล่อ ร้านตัดเสื้อผ้าสุภาพสตรี ก่อนถึงร้านอาหารตามสั่งซึ่งเป็นร้านเกือบสุดท้ายของอาคารครึ่งปูนครึ่งไม้เก่า ๆ (ปัจจุบันเป็นร้านอะไรไม่เคยสังเกต แต่ต่อมากลายเป็นร้านรุ่งอาร์ต จำหน่ายอุปกรณ์หล่อ ทั้งไฟเบอร์และทองเหลือง) ห้องสุดท้ายของตึกนั้นเป็นประตูบานเฟี้ยมไม้เก่า ๆ ที่พื้นถนนสูงกว่าร่วมครึ่งเมตร มีอิฐบล็อกวางเรียงเป็นขั้นลงไป บนบานประตูไม้ติดป้ายเล็ก ๆ สำนักงานแพทย์ บอกเวลาปิด-เปิด นอกนั้นข้าพเจ้าไม่สังเกตอะไรที่จะบงชี้ได้ว่าเป็นคลินิกรักษาผู้ป่วย อาจารย์หมอนันท์ใช้กุญแจไขแม่กุญแจและเปิดประตูไม้ไว้เพียงสองบานเท่านั้น ภายในมืดสนิทผสมกับกลิ่นอับจากความชื้น ภายในเป็นพื้นปูนเก่า ๆ แตกทรุดเป็นทาง ท่านเอื้อมมือเปิดสวิทช์ไฟที่เก่าพอ ๆ กับอาคาร แสงเหลืองนวลจากหลอดไส้ที่ผนังห้องสว่างให้พอเห็นทาง จากที่ข้าพเจ้ายืนด้านซ้ายติดผนังวางเก้าอี้ไม้มีพนักไว้ 4 ตัว ตามทางที่เดินผ่านไปด้านหลัง ด้านขวากันผนังไม้ที่ตีโครงแบบหยาบ ๆ เป็นห้องสีเหลี่ยมสองห้อง ห้องด้านหน้าเหมือนเป็นที่จ่ายยาแต่คงไม่ได้ใช้งานแล้ว มีเพียงเคาเตอร์ไม้เก่า ๆ ห้องด้านหลังเป็นห้องตรวจที่มีเก้าอี้ไม้ไว้สามตัว ตัวหนึ่งเป็นที่นั้งของท่าน โต๊ะวางอุปกรณ์การตรวจ เครื่องวัดความดัน ถาดสำลี หม้อนึ่งและติดผนังด้านในเป็นเตียงสูงมีโต๊ะรองก้าวขึ้นเตียงที่ปูด้วยผ้าพลาสติกสีฟ้า ในห้องตรวจอาจารย์หมอมีเพียงหลอดนิออนสั้นติดไว้ที่ผนังเพียงดวงเดียว ท่านให้ข้าพเจ้าวางสำภาระท่านไว้ที่เก้าอี้ด้านนอกห้องก่อนเดินนำข้าพเจ้าเดินผ่านบานประตูไม้ครึ่งท่อนที่แกว่งไปมาไปด้านหลังห้องตรวจ ห้องด้านหลังมีหลอดนิออนติดไว้ที่ผนังด้านซ้ายอีกหนึ่งหลอดด้านในว่างเปล่า มีชั้นไม้วางยาเรียงไว้และตู้เย็นใบเล็กสีเขียววางบนอิฐบล็อก ที่พื้นติดผนังวางโหลแก้วขนาดใหญ่ไว้ ด้านขวาเป็นบันไดไม้สูงชันมีแท่นพักเพื่อเดินขึ้นไปด้านบน ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านคงไม่ได้ขึ้นไปอย่างแน่นนอน เบื้องหน้าเยื้องไปทางขวาเป็นประตูไม้ชายผุ ที่เปิดไปเป็นที่ซักล้างและห้องน้ำที่มีไฟหลอดไส้เพียงหนึ่งดวง
     ข้าพเจ้ามิได้ถูกเลี้ยงมาอย่างผู้มีฐานะ บ้านที่ข้าพเจ้าอาศัยก็เริ่มต้นด้วยแสงสว่างจากหลอดไส้เพียงหลอดเดียวเช่นกัน บรรยากาศที่ข้าพเจ้าเผชิญอยู่ตรงหน้าจึงมิได้ทำให้ข้าพเจ้าประหวาดหวั่นสักเท่าไหร่ เพียงไม่คาดคิดว่านี้คือคลินิกของอาจารย์ข้าพเจ้าเท่านั้น อาจารย์หมอพาข้าพเจ้าทัวร์แต่เพียงด้านล่างเท่านั้น ก่อนหันมาถามข้าพเจ้าว่า”อยู่ได้ไม๊” “ได้ครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างไม่ต้องคิด ใบหน้าที่ยิ้มในความนิ่งหันมองข้าพเจ้าประหนึ่งเย้ยหยัน แต่ท่านยิ้มแค่นั้นจริงๆ ที่เหลือเป็นความรู้สึกของข้าพเจ้าล้วน ๆ ท่านให้ข้าพเจ้าขึ้นไปสำรวจที่พักด้านบนเอง ส่วนท่านกลับไปประจำที่ ณ ห้องตรวจของท่าน ถัดที่พักบันไดสู่ด้านบนมีประตูไม้กั้นที่ปลายบันได ด้านซ้ายเป็นผนังปูนของห้องด้านหน้า ด้านขวาประหนึ่งชานบ้านพื้นปูกระดานไม้มีข้าวของวางระเกะระกะ กองหนังสือ กะโหลกหล่อ เสื่อที่ปูนทิ้งไว้ด้านข้างมีมุ้งและหมอนเก่า ๆ ผนังไม้ด้านหลังเลื่อนเป็นช่องอากาศ หลังคาสังกะสี ที่ริมระเบียงบันไดมีโต๊ะเก่า ๆ ตั้งไว้ใกล้หน้าต่างแบบกระทุ้งบานใหญ่ตรงช่องบันได ทุกอย่างเต็มไปด้วยฝุ่น
     ข้าพเจ้าไม่รู้จะเริ่มจากอะไรกับสิ่งที่ข้าพเจ้าพบอยู่ตรงหน้า วางกระเป๋าสะพายไว้แถวหัวเสาบันไดก่อนลงไปซื้อข้าวไก่ผัดน้ำพริกเผาไข่ดาวจากหน้าวัดวิเศษ น้ำดื่มขวดขุ่นและสบู่ไว้อาบน้ำ (ที่ข้าพเจ้าจำเมนูนี้ได้ เพราะมันไม่ถูกใจข้าพเจ้าสักเท่าไหร่) ข้าพเจ้าเดินผ่านห้องตรวจด้านล่างนั้นไป พลางเหลียวมองอาจารย์ ท่านนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ที่เก้าอี้ไม้ เมื่อซื้อสิ่งจำเป็นเหล่านั้นเสร็จก็รีบกลับทันที อาจารย์นั่งอ่านหนังสือเล่มพอดีมืออยู่ในห้องตรวจ ข้าพเจ้ารีบก้มหลังเดินผ่านห้องนั้นไปเพื่อไปตั้งหลักในจุดที่ข้าพเจ้าควรอยู่ ดึงชายเสื้อออกจากกางเกงแล้วยึดโต๊ะริมระเบียงเป็นที่มั่น สายตาทอดไปนอกหน้าต่างกระทุ้งบานใหญ่นั้น เผื่อว่าจะเจอมิตรที่ข้าพเจ้ารู้จัก จะได้ส่งเสียงบอกให้รู้ว่าข้าพเจ้าอยู่ตรงนี้...แต่ก็ไม่มีแม้เงา แสงแห่งวันกำลังผ่านไป แสงจากไฟริมทางเริ่มส่องสว่าง ข้าพเจ้าทอดสายตามองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา หนึ่งในคนเหล่านั้นคือ ชายร่างใหญ่ผมหงอกยาวประบ่าหนวดเครารุงรัง สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั่นกางเกงผ้าสีน้ำตาลมอซอ เดินสะพายถุงผ้า ข้าพเจ้ามองตามร่างท่านไปจนสุดทาง ท่านคือ โดม สุขวงศ์ แห่งพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ ซี่งท่านเดินผ่านหน้าคลินิกเป็นประจำ...ทุกวัน

ในวันที่ไม่มีใคร...มันก็ไม่มีใคร จริง ๆ .




Create Date : 17 กรกฎาคม 2559
Last Update : 17 กรกฎาคม 2559 20:24:55 น.
Counter : 1659 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pine studio
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 30 คน [?]



First link Second link Third link
New Comments
กรกฏาคม 2559

 
 
 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog