บล๊อกของลุง กับป้า ที่ชอบการท่องเที่ยว
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2559
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
2829 
 
7 กุมภาพันธ์ 2559
 
All Blogs
 
ตอน 7- พิพิธภัณฑ์คานธีิอนุสรณ์ มธุไร


จากเทวาลัยศรีมักษีสุนทเรศวร ก็ไปที่พิพิธภัณฑ์คานธีอนุสรณ์ (Gandhi Memorial Museum) อยู่ห่างออกไปราว 1.5 กม. 

พิพิธภัณฑ์คานธีอนุสรณ์ (Gandhi Memorial Museum)


หลังการจากไปของมหาตมคานธี ในปี พศ. 2491 / 1948  ชาวอินเดียทุกชนชั้นร่วมใจกันบริจาคเงินนับล้านรูปี เพื่อสร้างอนุสรณ์สถานระลึกถึง  "บิดาแห่งอินเดีย"  ในการนี้ได้เลือกหาสถานที่เพื่อจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้น 7 แห่ง และ 1 ใน 7 แห่งนั้น คือ "พิพิธภัณฑ์คานธีอนุสรณ์" แห่งมธุไร  



ปี 1955 รัฐบาลแห่งรัฐทมิฬนาฑู ได้มอบพระราชวังที่มีพื้นที่ 13 เอเคอร์ (ราว 32.5 ไร่) นี้เป็นของขวัญแก่ All India Gandhi Smarak Nidhi  (สืบเนื่องจากการที่มีผู้บริจาคมากมาย เพื่อสนับสนุนการสร้างพิพิธภัณฑ์คานธีอนุสรณ์ จึงได้มีการก่อตั้ง National Trust - บรรษัทกองทุนแห่งชาติ ซึ่งได้รับชื่อว่า "Gandhi Smarak Nidhi" เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ท่าน) เพื่อเป็นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์  


พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในอาคารประวัติศาสตร์ ที่เคยเป็นพระราชวังฤดูร้อนของรานี มันกัมมัล (Rani Mangammal) แห่งราชวงค์นายกะ สร้างราวปี คศ. 1670 ซึ่งภายหลังตกอยู่ในความครอบครองของ Nawab แห่ง Carnatic (เขตการปกครองเดิมที่รู้จักกันว่า Carnatice ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของเจนไน) ที่ปกครองแคว้นทางใต้ของอินเดีย ระหว่าง ปี 1690 - 1801 เคยอยู่ในความครอบครองของทั้งบริษัทอินเดียตะวันออก และผู้มีอำนาจอื่น ๆ   พระราชวังได้เป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการของผู้ปกครองอังกฤษแห่งมธุไร ...... ในการปรับปรุงพระราชวัง มีการต่อเติมอาคารทางทิศเหนือ และยังได้สร้างห้องสมุด  โรงมหรสพเปิด และอาคารอื่นอีก  2 - 3 อาคาร


อดึตนายกรัฐมนตรีเยาวหราล เนห์รู เป็นประธานเปิดพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ในวันที่ 15 เมษายน พศ. 2505/1959  พิพิธภัณฑ์ได้รับเลือกให้เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งสันติภาพ จากการคัดเลือกขององค์การสหประชาชาติ (United Organisation - UNO) จากพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วโลก



บรรษัทกองทุนแห่งชาติ The Gandhi Smark Nidhi  ได้มอบเงินสนับสนุน 10 ล้านรูปี เพื่อก่อตั้งพิพิธภัณฑ์คานธีอนุสรณ์ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและงานของท่าน  ณ  สถานที่ต่าง ๆ ในอินเดีย ทั้งหมดมี 7 แห่ง คือ New Delhi.  Barrackpore ใกล้ Calcutta.   Patna.   Wardha.   Ahmedabad.   Mumbai.  Madurai.

การจัดแสดงเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์คานธีอนุสรณ์ มธุไร แบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คืิอ  "การต่อสู้เพื่ออิสรภาพของประเทศอินเดีย" (India Fights for Freedom)   "ชีวประวัติของมหาตมคานธี"   (Visual Biography of Mahatma Gandhi)  และ "ชิ้นส่วน วัตถุ หรืออะไรที่ท่านใช้ที่ยังคงอยู่ และแบบจำลอง" (Relics and Replicas)


นิทรรศการเริ่มตั้งแต่มีชาวตะวันตก คือ  นักเดินเรือชาวยูโรป วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) เข้ามา การต่อต้านชาวยุโรปครั้งแรก ๆ ในปี 1767  จนอังกฤษเข้ามา ได้ชัยชนะและปกครองอินเดีย เรื่่อยมาถึงช่วงรวมกันต่อสู้....การก่อตั้ง Indian National Congress ในปี 1885  และการเกิดขึ้นของพรรคมุสลิม ปี 1909 

จนเมื่อยุคสมัยของมหาตมะคานธีเริ่มต้น เมื่อกลับมาจากแอฟริกาใต้ ปี 1915


 ระเรื่อยไปถึงเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในช่วงเวลาการต่อสู้นั้น ๆ



 กับหลานสาว




มีบันทึกเรื่องราวการเยือนอินเดียใต้ 14 ครั้ง ของมหาตมะคานธี รวมถึงครั้งที่มาเยือนเทวาลัยมีนักษี  




จนมาถึง ปี 1945 ที่มีข้อตกลงที่แบ่งชนมุสลิมแยกไปเป็นประเทศปากีสถาน 




ปี 1947 ประเทศอินเดียเป็นเอกราช  มีการปกครองและรัฐธรรมนูญของตนเอง

นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการเรื่องเครื่องแต่งกาย อันเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติชีวิตของมหาตมะคานธี และประวัติศาสตร์อินเดีย  นั่นคือ ครั้งที่ท่านเยือนมธุไรเมื่อ 21 กันยายน พศ. 2464/1921  ได้สังเกตุเห็นการแต่งกายเรียบง่ายแบบพื้นเมือง  

วันรุ่งขึ้น ท่านจึงได้เปลี่ยนวิธีการแต่งกาย โดยหันมาใช้ผ้าฝ้ายนุ่งห่มอย่างที่เห็นเป็นภาพจนตามาโดยตลอดชีวิต (หนังสือ "อินเดียเริ่มที่นี่่..."หน้า 365) 

ในส่วนที่เกี่ยวกับวัสดุเครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่มของมหาตมะคานธี มีประมาณ 100 ชิ้น 
ที่เป็นของดั้งเดิม  ที่สำคัญคือผืนผ้าเปื้อนเลือดที่ท่านสวมใส่ ในวันที่ถูกลอบสังหาร


แม้จะกล่าวว่าผ้าชิ้นนี้ไม่ได้ชิ้นดั้งเดิม หากเป็นชิ้นที่เอามาแทน แต่ก็ยังรัาไว้

อย่างดี  ในกล่องแก้วสูญญากาศ เพีื่อให้เราระลึกถึงวันสำคัญในประวัติศาสตร์อินเดีย


ท่านมหาตมะคานธีกับกัสตรูบา ภริยา


Mahatma Gandhi - มหาตมะคานธี (คำว่า "มหาตมะ" เป็นภาษาสันสกฤต

หมายถึง "จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ - Great Soul"  มีความหมายเช่นเดียวกับ

นักบุญ (saint) ในศาสนาคริสต์) ท่านรพินทรนาถ ฐากูร เป็นบุคคลแรกที่ใช้

คำเรียกที่ยกย่องนี้)  


ท่านมหาตมะคานธีได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งชาติ (Father of the Nation)  

เกิดวันที่ 2 ตุลาคม คศ. 1869 ในแคว้นคุชราชทางทิศตะวันตกของอินเดีย  

.... วันที่ 30 มกราคม คศ. 1948 ในตอนเย็น ขณะอยู่กลางสนามหญ้า กำลัง

สวดมนต์ไหว้พระตามกิจวัตร   ขณะที่กำลังพูดว่า "เห ราม" แปลว่า 

"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า"



นาถูราม โคทเส ชาวฮินดูผู้คลั่งศาสนา ไม่ต้องการให้ฮินดูมานฉันท์กับมุสลิม ได้ยิงปืนใส่คานธี 3 นัด จนล้มลง และเมื่อแพทย์มา ก็พบว่า ท่านได้สิ้นลมหายใจแล้วในวัย 78 ปี 





เพื่อระลึกถึงท่าน วันที่ 2 ตุลาคม ของทุก ๆ ปี จึงได้รับการประกาศเป็นวันหยุดแห่งชาติของอินเดีย (Gandhi Jayanti)  และเป็นวันสากลแห่งการลดความรุนแรง (Internation Day of Non-Violence) อีก 2 วัน ที่รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดแห่งชาติ  คือ วันประกาศอิสรภาพ (Independence Day - 15 สิงหาคม)  และวันสาธารณรัฐ (Republic Day - 26 มกราคม)  

ท่านได้อยู่ในใจของชาวอินเดียทุกคนแล้ว  ทั้งในใจของชาวโลกอีกมากมาย "บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้หัวใจอันกล้าหาญ ที่สามารถนำชาวอินเดียทั้งประเทศ ให้ร่วมมือร่วมใจกันกอบกู้เอกราชให้แก่ประเทศของตนเอง โดยใช้หลักอหิงสา  และสร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่แห่งคุณความดี ที่จะจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของโลกตลอดไป"

..ขอแสดงความคารวะท่านอย่างสูงสุดมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ....


จากพิพิธภัณฑ์คานธีอนุสรณ์มาแล้ว ก็ไปเดินแถวในตัวเมืองมธุไร  ไม่นานก็ถึงเวลาไปดูแสงและเสียง (Light and Sound) ทีี่พระราชวังติรุมไลนายกะ 

พระราชวังติรุมไลนายกะ  (Thirumalai Nayak Palace)


พระราชวังอยู่ห่างจากเทวาลัยมีนักษีไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 1.5 กม.  ก่อสร้างในปี 1636 โดยกษัตริย์ติรุมไลย์นายกะ  ในตระกูลของอุปราช (นายกะ)  มีผู้ช่วยเหลือออกแบบและดูแลเป็นสถาปนิกชาวอิตาเลียน

อาคารที่เห็นปัจจุบัน เป็นพระราชวังหลักที่เป็นที่ประทับของกษัตริย์  บริเวณพระราชวังเดิมมีอาณาบริเวณใหญ่กว่าปัจจุบันถึง 4 เท่า (ไม่ได้มีโอกาสชมพระราชวังในเวลากลางวัน ภาพกลางวันทั้งหมดจาก internet ค่ะ)

     พระราชวังประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นที่พักของราชวงค์  โรงละคร  เทวาลัย  ส่วนที่ 2 เป็นอาคารพักรวม อาคารยานพาหนะ และอาวุธ  ทั้งยังมีส่วนที่เป็นที่แสดงดนตรี สระน้ำ และสวน 

.....ลานขนาดใหญ่ที่ยังคงอยู่ปัจจุบัน วัดได้ 3,900 ตร.เมตร....



 ล้อมรอบด้วยเสากลมขนาดใหญ่กว่า 200 ต้น  ตกแต่งประดับประดาด้วยศิลปะปูนปั้นบนเพดาน โดม และหัวเสาโดยรอบ



ทางตะวันตก คือ อาคารที่ออกว่าราชบัลลังก์  เป็นโถงกว้างใหญ่ ยกฐานเป็นรูปโดม 8 เหลี่ยม   ห้องนี้จะนำไปสู่โถงเต้นรำ  พระราชวังยังใช้เป็นที่พักของเจ้าหน้าที่ตุลาการ และบริหารบางส่วนอีกด้วย  



  กษัตริย์ติรุมไลย์นายกะ จะใช้พระราชวังนี้เป็นที่เฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ  อีกทั้งทุก ๆ วัน จะจัดให้มีการเต้นรำ และการแสดงดนตรี.. 



พระราชวังถูกทำลายโดยพระราชนัดดา (หลานชาย)  Chokkanata Nayak  ส่วนสิ่งของมีค่าถูกนำไปไว้ที่อื่น ๆ  

ในศต.ที่ 19 Lord Napier ผู้ปกครองมัทราส (เจนไน) ระหว่างปี 1866 - 1872 ได้ดำเนินการปรับปรุงบางส่วนของพระราชวัง โดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมและ  Indo - saracenic  คือ การออกแบบโดยผสมผสานสถาปัตยกรรมพื้นเมืองแบบ Indo-Islamic และ แบบอินเดีย (Indian architecture) เข้ากับสถาปัตยกรรมแบบโกธิค (Gothic) และแบบ นีโอ-คลาสสิค (neo-classical) ที่เป็นที่นิยมในอังกฤษสมัยวิคตอเรียด้วยกัน



ปัจจุบัน แม้จะเหลือเพียงลานสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ และอาคารที่เชื่อมต่อกันอีก 2-3 อาคาร  ก็ยังมองเห็นความยิ่งใหญ่แห่งยุคของติรุมไลย์นายกะที่หายไป 

หลังจากที่ประเทศอินเดียเป็นเอกราช  พระราชวังได้รับการประกาศให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ   ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมโบราณคดีแห่งทมิฬนาฑู  เปิดให้เข้าชม ตั้งแต่ 9.00 น. - 17.00 น. 

กลางคืนมีการแสง สี เสียง (ภาษาทมิฬและอังกฤษ) ค่าเข้าชม 50 รูปี   



มีเพียงใช้แสง เสียงบรรยาย และเสียงประกอบการบรรยาย เช่น เสียงก้องของม้าควบ  ม้าร้อง  เสียงฟันดาบ  ไม่มีผู้แสดงประกอบ





เล่าเรื่องราวความรุ่งเรืองของราชวงค์นายกะ  กษัตริย์ตริรุมไลย์นายกะ การก่อสร้างพระราชวัง เหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่  และสุดท้ายการเข้ามาของบริษัทอินเดียตะวันออก 

กลับจากชมแสง สี เสียง แวะร้านอาหารเจ้าประจำ อยู่ที่สถานีรถประจำทาง (Periya bus station)  กินตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย อร่อย และราคาไม่แพง เป็นอาหารท้องถิ่นที่สั่งประจำ



วันแรกได้โรตีกับไข่ทอด วันหลังมีโรตีกับแกงไก่ มีใบตองเป็นจานเหมือนที่ตริชี่ค่ะ




ร้านอยู่ด้านหน้าของสถานีรถ Periya   อยู่ตรงข้ามกับร้านที่เห็นในรูป คือ จะส่งรูปไปให้เขา แต่ร้านอาหารไม่มีที่อยู่  ก็เลยส่งผ่านไปทางร้านตรงข้ามแทนค่ะ



คนทำโรตีแสนอร่อย สังเกตุโรตีในถังด้วย คงขายดี และเจ้าของร้านที่มีอัธยาศัยดี ... อีกวันที่มธุไรที่อิ่มทั้งอาหารตา และอาหารท้องค่ะ ...

บล๊อคหน้า 3 สว. จะพาไปชมพระอาทิตย์ตกที่ดินแดนสุดอนุทวีปอินเดีย "กันยากุมารี" หรือ "กันนิยากุมารี" ค่ะ


ขอบคุณภาพจาก internet 
ข้อมูลจากวิกิพีเดีย และ 
//www.gandhimmm.org/
//www.madurai.com/palace.htm





Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2559 15:34:50 น. 0 comments
Counter : 3422 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 1920579
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 1920579's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.