จากนั้นก็เดินกันไปเรื่อย ๆ จนถึง Binondo เรียกโดยชาวฟิลิปปินส์ หรือ Chinatown ตั้งอยู่ตรงข้ามแม่น้ำ Pasig ตรงข้ามกับกำแพงเมืองเก่า Intramuros
บิออนโด (Binondo) หรือ ไชน่าทาวน์มะนิลา (Chinatown Manila)
บิออนโด หรือ ไชน่าทาวน์มะนิลา มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและไม่ธรรมดาเลยค่ะ เพราะเป็นไชน่าทาวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เจริญรุ่งเรืองก่อนการมาถึงของสเปนในปี 1571 เดิมเป็นศูนย์กลางธุรกิจ การเงินของเมือง เป็นย่านขายส่งและขายปลีก ที่มีตั้งแต่เพชรพลอยจนถึงเครื่องหอม
บิออนโด สร้างโดย Luis Perez Dasmarinas ผู้ปกครองชาวสเปน ในปี 1584 สำหรับเป็นที่อาศัยผู้อพยพชาวจีน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเปลี่ยนชาวจีนไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิค ตามความคิดริเริ่มของนักบวชคณะโดมินิกันชาวสเปน ชาวจีนถูกบังคับให้มานับถือศาสนาคาทอลิค หรือไม่ก็จะถูกประหารชีวิต
Luis Perez Dasmarinas มีบทบาทสำคัญในการสังหารหมู่ชาวจีนถึง 24,000 คน หลังการจลาจลของชาวจีนในปี 1603 เหตุผลคือ เพื่อเป็นการชดใช้การเสียชีวิตของบิดาของเขาโดยน้ำมือของผู้อพยพ
เดิมเขตนี้อนุญาติเฉพาะผู้อยู่อาศัยชาวคาทอลิคเท่านั้น ผู้ที่ไม่ใช่คาทอลิคได้รับอนญาติเข้ามาหลัง ปี 1790
สิ่งแรกที่เห็นเมื่อถึงไชน่าทาวน์ คือ Chinese Goodwill Arch เปรียบเสมือนป้ายต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่เข้ามาในพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่าง
เมื่อเดินมาจนเห็นซุ้มประตูอีกซุ้มหนึ่ง ก็รู้ว่าสิ้นสุดเขตไชน่าทาวน์แล้ว
ไชน่าทาวน์มะนิลามีชื่อเสียงเพราะเป็นไชน่าทาวน์จริง ๆ ขายสินค้าจากจีน อาหารจีนแบบฮ่องกง ร้านค้าที่อยู่ในบ้านแบบจีน ทั้งยังมีสภาพภูมิทัศน์ที่คณะนักบวชคาทอลิคสเปนได้ทิ้งร่องรอยไว้ เห็นได้จากโบสถ์ที่ตั้งอยู่ทั้งหัวและท้ายของถนน Ongpin ซึ่งเป็นถนนหลักของไชน่าทาวน์ มีโบสถ์บิออนโด และโบสถ์ซานตาครูซ
โบสถ์บิออนโดสร้างปี 1596 เป็นการผสมผสานรูปแบบบารอคสเปน และศิลปจีน อย่างหอระฆังที่มีรูปทรงแบบเจดีย์
ทางใต้สุดของถนน Ongpin จะพบโบสถ์ซานตาครูซ และน้ำพุ Carriedo ซึ่งตั้งตามชื่อของ Carriedo Y Peredo ผู้ที่ชาวมะนิลารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอย่างมาก เพราะเป็นผู้ที่ริเริ่มระบบน้ำประปาให้แก่มะนิลา
โบสถ์ซานตาครูซ (Santa Cruz Church) ตั้งหันหน้าไปทางพลาซ่าซานตาครูซ และติดกับซุ้มประตูที่เข้าสู่ย่านไชน่าทาวน์ สร้างครั้งแรกในปี 1608 โดยพระสงฆ์คณะเยซูอิต และต่อมาได้กลายมาเป็นโบสถ์ที่บริการแก่ผู้อพยพชาวจีนที่อพยพมามะนิลามากขึ้น และหลาย ๆ คนได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคาทอลิค
ภายในโบสถ์ซานตาครูซ
อาคารโบสถ์เคยได้รับความเสียหายอย่างหนักเหตุจากแผ่นดินไหว และถูกทำลายลงในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารปัจจุบันสร้างแล้วเสร็จในปี 1957 ในรูปแบบบารอค ปัจจุบันทั้ง 2 โบสถ์ยังคงให้บริการประชาชนในพื้นที่
ที่ไชน่าทาวน์มะนิลา นอกจากโบสถ์แล้ว ก็ยังมีศาลเจ้าจีนอีกหลายแห่ง รวมทั้งพิพิธภัณฑ์บาไฮซีนอย ที่จัดแสดงเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนฟิลิปปินส์
จากไชน่าทาวน์แล้วก็ค่อย ๆ เดินสำรวจกรุงมะนิลาค่ะ ที่ชอบมาก ๆ และรู้สึกว่าดูเหมือนจะเป็นสัญญลักษณ์ และเอกลักษณ์ของประเทศฟิลิปปินส์เอาทีเดียว คือ Jeepneys
MARJAY
Jeepneys เป็นส่วนหนึ่งของระบบขนส่งมวลชนของประเทศฟิลิปปินส์ที่เป็นที่นิยมมาก แรกเริ่มที่เกิด Jeepneys ขึ้นมา ก็เนื่องมาจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพอเมริกันเริ่มออกจากฟิลิปปินส์ รถจี๊บจำนวนมากของกองทัพได้ถูกนำมาขายให้กับชาวฟิลิปปินส์ ผู้ซึ่งดัดแปลงให้รถจิ๊บนี้สามารถบรรทุกคนได้มากขึ้น โดยเพิ่มหลังคาโลหะ เพิ่มสีสัน และและตกแต่งด้วยเครื่องประดับ เป็นการสร้างสรรค์ของเหลือใช้ในสงคราม ให้กลายมาเป็นการขนส่งสาธารณะที่ราคาไม่แพง
Jeepneys เริ่มเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงเริ่มควบคุมให้อยู่ในกฏระเบียบ คือ พนักงานขับรถต้องมีใบอนุญาติเฉพาะ มีเส้นทางที่ตามที่กำหนดไว้ (เขียนอยู่ข้างรถ) และค่าโดยสารที่เหมาะสม (ช่วงที่ไป ค่ารถคนละ 7 เปโซ ประมาณ 5.50 บาทค่ะ)
แม้ว่าในอดีต Jeepneys ถูกดัดแปลงมาจากรถเก่า แต่ Jeepneys ปัจจุบันมาจากโรงงานในประเทศเอง มีข้อมูลว่าโรงงานที่เกาะเซบู ผลิต Jeepneys จำนวนมากจากอะไหล่รถบรรทุกมือสองจากญี่ปุ่น แต่ส่วนตัวถังทำในประเทศ ทุกชิ้นประกอบเข้ากันด้วยมือ
GOD, D' CHARMELENE & ENVOY
MARIA
ARIES
Jeepneys มีความยาวประมาณ 2 เมตร ภายในมีที่นั่งยาวเหมือนรถ 2 แถวบ้านเรา Jeepneys จริง ๆ จะต้องมีสีสันสดใส ตกแต่งด้วยเครื่องประดับแวววาว เช่น ภาพวาด ลายจุด ลายเส้น มีไฟหลายดวง และมีชื่อของตัวเอง
คำว่า Jeepneys เชื่อกันว่ามาจากคำว่า "jeep" (รถจี๊บ) และ "knee" (เข่า) เพราะเพื่อรับผู้โดยสารได้มากขึ้น ผู้โดยสารต้องนั่งชิดจนเข่าติดกัน (ก็เหมือนบ้านเรา แต่บ้านเราที่นั่งเต็มแล้ว เบียดกันแล้ว ยังมียืนอีกด้วยค่ะ)
ที่มะนิลามียานพาหนะอีกอย่างหนึ่งบนท้องถนน คือ Pedicab หรือรถสามล้อถีบบ้านเรา ที่ฟิลิปปินส์เรียกสามล้อถีบว่า "traysikad, trisikad หรือ sikad หรือ padyak แปลว่าถีบด้วยเท้า ใช้เดินทางระยะใกล้ ๆ และยังเป็นที่นิยม พบเห็นทั่วไปบนท้องถนนที่มะนิลา
นอกจากรถสามล้อถีบ แล้วยังมีรถม้าที่ใช้เดินทางจริง ๆ ไม่ใช่สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น