MAEHONGSON :: พระธาตุดอยกองมู
ความเดิมจาก บ้านรักไทย พวกเราเดินทางย้อนกลับเข้าเมืองแม่ฮ่องสอนอีกครั้ง ซึ่งระหว่างทางที่ลงมาจากบ้านรักไทยถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนก็หลับกันสนิทมาตลอดทาง มาดูข้างหลังรถกันบ้างดีกว่า ว่าหนุ่มสองคนของเราเป็นอย่างไรกันบ้าง
อ้าว.. หายไปไหนหนึ่งหน่อล่ะนั่น สงสัยอยู่ในกองผ้าด้านหลังนั่นล่ะ เพราะอากาศข้างนอกรถนั้น หนาวเชียวล่ะ โชคดีของพวกเราจริงๆ ที่มาช่วงจังหวะหนาวจับใจพอดี ส่วนสาเหตุที่พวกเราย้อนกลับไปตัวเมืองแม่ฮ่อนสอนอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ผ่านมาแล้วนั้นก็เพื่อจุดประสงค์หลักคือไปเอาประกาศนียบัตรผู้ขับและผู้มาเยือน 1,864 โค้งที่สำนักงานหอการค้าจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั่นเอง แหม.. ก็นะมาทั้งทีต้องมีอะไรติดไม้ติดมือไปแปะฝาบ้านกันหน่อย ใจ่ว่าแม่ฮ่องสอนจะได้มาบ่อยๆ เสียเมื่อไหร่
วันนี้โชคดีของพวกเราอีกแล้วที่คนไม่เยอะ ไม่ต้องรอคิวนาน ซึ่งใบประกาศนี้หากเป็นผู้ขับก็ต้องมีใบขับขี่มาแสดง ส่วนผู้มาเยือนก็ต้องมีบัตรประชนชนมาแสดงด้วยเช่นกัน ค่าธรรมเนียมการขอใบประกาศก็ยี่สิบบาท นึกเสียว่าช่วยค่าหมึกพิมพ์เจ้าหน้าทีก็แล้วกัน ได้แล้ว.. ใบประกาศของชั้น
มันช่างภูมิใจจริงๆ หลับได้หลับดีตั้ง 1,864 โค้ง และเมื่อทุกคนได้รับใบประกาศกันเรียบร้อยเป็นที่พอใจแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปนมัสการพระธาตุดอยกองมู ซึ่งเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอนล่ะ
ก่อนอื่นเรามารู้จักประวัติของวัดพระธาตุดอยกองมูกันก่อนดีกว่า วัดพระธาตุดอยกองมู (Wat Phra That Doi Kong Mu) ตั้งอยู่บนยอดดอยกองมูสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1.300 เมตร เดิมเรียกว่า "วัดปลายดอย" ภายในวัดมีพระธาตุเจดีย์ที่สำคัญสององค์คือ พระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่สร้างเมื่อจุลศักราช 1222 ตรงกับ พ.ศ 2403 เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระมหาโมคัลลานะเถระซึ่งนำมาจากประเทศพม่า โดยศรัทธาผู้สร้างชื่อ จองต่องสู่และนางเหล็กผู้เป็นภรรยา
This temple is situated a top The Doi Kong Mu hill. About 1,300 Metres above sea level once has called "Wat Plai Doi". Inside Wat Phra That Doi King Mu are two important pagodas housing the holv remains of Buddhist monks. The large pagoda was built in 1860. It houses the remains of Phra Maha Mok Khall na Thera brought form Myanmar (formerly Burma) by the builder named Chong Tong Su and Lek, his wife.
ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อจุลศักราช 1236 ตรงกับ พ.ศ 2417 โดยศรัทธาผู้สร้างชื่อ พญาสีหนาทราชาเจ้าผู้ครองเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก
The small pagoda was built in 1874 by Phaya Sihanat Racha, The frist ruler of Mae Hong Son.
สิ่งหนึ่งที่ทำให้พระธาตุแห่งนี้มีความแปลกไม่เหมือนใครนั่นก็คือ วิธีนมัสการองค์พระธาตุนี่ล่ะ โดยปกติเราก็ใช้ดอกไม้ธูปเทียนกันธรรมดา แต่ที่นี่กลับไม่ใช่ เค้าใช้แบบนี้ล่ะ
แปลกไหมล่ะ น้องตูนบอกว่าเค้าหมายถึงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่เกี่ยวข้องกันอย่างไรนั้น ผู้เขียนไม่ทราบจริงๆ ค่ะ เพื่อนๆ ท่านใดรู้ความหมายอย่าลืมโพสบอกกันบ้างนะคะ
หลังจากที่ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินไปหยอดตู้บริจาคและรับเครื่องนมัสการคนละหนึ่งชุด หนักเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย อารมณ์เหมือนยกกระถางต้นไม้ขนาดย่อมๆ เลยล่ะ น้องตูนบอกว่าพวกเราต้องเดินวนรอบพระธาตุสามรอบซึ่งต้องตั้งจิตอธิษฐานด้วยนะ พวกเราก็เริ่มเดินวนทางซ้ายจนครบสามรอบตามที่น้องตูนบอกไว้ ซึ่งหลังจากนั้นแต่ละคนก็แยกย้ายไปจุดธูปเทียนตามวันเกิดของแต่ละคน
เรากับน้องผึ้งเกิดวันเดียวกันคือวันอังคารก็ตรงมายังพระนอนเลยล่ะ จุดธูปเทียนนมัสการเป็นที่เรียบร้อยก็วางเครื่องบูชาตามคนอื่นๆ โดยไม่ได้เฉลียวใจสงสัยแต่ประการใด
จากนั้นก็เดินไปหากลุ่มเพื่อนๆ ทำไมช้ากันจังนะ ทำบุญยี่สิบบาทจะขอกันสักสิบล้านเลยหรือไงเนี่ย (นึกในใจนะ) ที่ไหนได้เห็นเพื่อนๆ กำลังสาละวนกับการแกะไม้วางค้ำกันอยู่นั้นเอง แล้วกัน.. เค้าต้องวางกันแบบนี้เหรอ เรากับน้องผี้งจึงเดินกลับไปยังจุดเดิม เพื่อแกะยางไม้ค้ำแล้ววางค้ำอย่างที่เห็นนี่ล่ะ
แต่อยากฝากถึงทางวัดจังเลยว่า มัดยางแน่นไปหรือเปล่าคะนั่น แกะยากมาก แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะว่า เค้ามีเคล็ดอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงให้แกะยางยากขนาดนั้น สุดท้ายก็ได้เท่าที่เห็น แต่ขอบอกว่าค้ำไม้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะใช้เวลาพอสมควรทีเดียว
เมื่อเสร็จการนมัสการพระธาตุเป็นที่เรียบร้อย พวกเราแต่ละคนก็แยกย้ายกันเก็บภาพตามอัธยาศัย ซึ่งบนพระธาตุแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งสามารถมองเห็นแม่ฮ่องสอนได้ไกลสุดสายตาเลยล่ะ
และที่สำคัญก็เป็นมุมมหาชนด้วยเช่นกัน ใครมาสถานที่แห่งนี้ก็ต้องเก็บภาพตรงจุดนี้ เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงพระธาตุดอยกองมู
พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่เกือบชั่วโมงแล้วมั้งเนี่ย ถึงแก่กาลเวลาต้องเคลื่อนที่แล้วล่ะ ขืนช้าอีกนะได้ไปถึงปายมืดแน่ๆ แต่พี่เจตกับหน่อยหายไปหว่า นั่นแน่.. แอบสวีทกันสองคนอีกแล้ว ว่าแต่กำลังถ่ายอะไรกันอยู่นะ
รูปปั้นช้างสวยเชียว เหมือนช้างจริงมากๆ แหม.. จะถ่ายกันสองคนเหรอ ฝันไปเถอะ พวกเราประจำที่ สุดท้ายเป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะ หนาแน่นเชียว เรื่องแบบนี้มันยอมกันได้เสียที่ไหนล่ะ
หลังจากถล่มถ่ายกับช้างอย่างเป็นที่หน่ำใจแล้ว (ถ้าช้างมีชีวิตคงบ่นแน่ๆ ว่าเมื่อไหร่พวก.. จะไปสัที หนักนะเฟ้ยแต่ละคนอ่ะ) จากนั้นพวกเราก็เดินขึ้นไปด้านบน เพื่อไปตีระฆังเอาฤกษ์เอาชัยกันเสียหน่อย และก็แอบแวะถ่ายรูปตรงจุดชมวิวอีกจุดบนพระธาตุแห่งนี้ ถึงจะรีบแค่ไหนแต่ก็อย่าเผลอนะ เก็บหมดล่ะ
เล่ามาก็หลายตอนแล้ว ยังไปไม่ถึงปายเสียที ต้องบอกก่อนว่าทริปนี้รูปเยอะมากๆ ต้องตัดเป็นตอนเยอะหน่อย ยังไงอย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
Create Date : 14 ธันวาคม 2550 |
Last Update : 30 ธันวาคม 2556 0:08:40 น. |
|
4 comments
|
Counter : 2268 Pageviews. |
|
|
|
|